เชื่อว่าชาวแอนดรอยด์คงจะพอได้ยินชื่อแอนดรอยด์เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดที่มีชื่อว่า Android L กันไปบ้างแล้วนะครับ แต่อาจจะมีอีกหลายคนที่ยังไม่รู้ว่าแอนดรอยด์เวอร์ชั่นนี้มีอะไรเปลี่ยนไปจากเวอร์ชั่นเดิมคือ Android Kitkat บ้าง ผมเลยหาข้อมูลมาเล่าให้เพื่อนชาวแอนดรอยด์ได้รับรู้กันก่อนที่จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการจากทาง Google ในช่วงเดือนหน้าเดือนตุลาที่จะถึงนี้ครับ
ขณะนี้ Android L ก็ยังคงเป็นเวอร์ชันสำหรับนักพัฒนาอยู่ (Android L Developer Preview) อยู่นะครับ โดย Android L นั้นถูกยกเครื่องปรับโฉมใหม่หมดจดให้อยู่บนการออกแบบดีไซน์ที่เรียกว่า Material Design ซึ่งทีมงานออกแบบของกูเกิลได้รับแรงบันดาลใจมาจากกระดาษ และน้ำหมึก ดูเหมือนเป็นภาพศิลปะที่ดูเรียบหรูดูน่าเชื่อถือ, มีการเล่นแสงเงา พร้อมสีสันที่สดใสหลากหลาย และรองรับกับการนำไปใช้งานกับอุปกรณ์ในทุกๆ แพลทฟอร์ม และทุกๆ ขนาดของหน้าจอแสดงผล ตั้งแต่นาฬิกา, สมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต, โน๊ตบุ๊ค, คอมพิวเตอร์, โทรทัศน์ หรือแม้กระทั่งหน้าจอแสดงผลในรถยนต์ และมี APIs (Application Programming Interface) ใหม่ๆ สำหรับนักพัฒนาอีกกว่า 5,000 รายการเลยทีเดียว เรียกได้ว่านักพัฒนาจะมีอะไรให้เล่นให้ลองอย่างเต็มอิ่ม รวมทั้งยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ๆ สำหรับผู้ใช้งานอีกมากมาย ซึ่งพอจะสรุปได้คร่าวๆดังนี้ครับ
-
เบราว์เซอร์ Chrome โฉมใหม่
ความโดดเด่นของ Material Design นั้นก็ได้นำมาใช้เพื่อการยกเครื่องเบราว์เซอร์ Chrome ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นกราฟฟิคเคลื่อนไหวที่ลื่นไหลต่อเนื่อง, สีสันที่เปลี่ยนแปลงไปตามรูปภาพที่เรากำลังค้นหา, คำสั่ง New Pages Sliding In และที่สำคัญก็คือกราฟฟิคต่างๆ ที่เคลื่อนไหวในเบราว์เซอร์ Chrome โฉมใหม่นี้ มีความเร็วมากถึง 60 เฟรมต่อวินาที
-
Personal Unlocking การปลดล็อคหน้าจออัจฉริยะ
ความฉลาดอีกอย่างของหน้า Lock Screen ก็คือการปลดล็อคหน้าจอโดยอัตโนมัติเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม หรืออยู่ในสถานการณ์ที่เหมาะสม เช่นหากเราได้ตั้งค่าสถานที่ (Location) เอาไว้ และกำลังอยู่ในบริเวณดังกล่าว หรือมีการสวมใส่อุปกรณ์บลูทูธ สมาร์ทโฟนก็จะสามารถรับรู้ได้ และปลดล็อคหน้าจอให้โดยอัตโนมัติแบบไม่ต้องเสียเวลาใส่รหัส PIN หรือปลดล็อคด้วยวิธีการอื่นๆ เลยทีเดียว
-
ประสิทธิภาพที่เหนือกว่า ด้วย Android Runtime (ART) และเทคโนโลยีการประมวลผลแบบ 64-bit
แต่เดิมบนระบบปฏิบัติการ Android 4.4 KitKat ตัว Runtime อย่าง ART (Android Runtime) เป็นเพียงตัวเลือกหนึ่งสำหรับนักพัฒนา หรือคนที่ชอบลองของใหม่เท่านั้น แต่พอมาถึงระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุดอย่าง Android L ตัว ART นั้นได้ถูกกำหนดให้เป็นตัว Runtime มาตรฐานเรียบร้อยแล้ว ซึ่ง ART สามารถทำงานได้เร็วกว่าตัว Runtime ยอดนิยมก่อนหน้านี้อย่าง Dalvik Runtime ถึงสองเท่า ซึ่งนี่ก็คงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Android L นั้นมีประสิทธิภาพในการทำงานที่เหนือกว่าเดิม รวมทั้งสามารถทำงานร่วมกับสถาปัตยกรรมแบบ ARM, x86 และ MIPS ได้เป็นอย่างดี
สำหรับ ART นั้น จะมีการแปลงภาษา (Compilation) ในรูปแบบของ AOT (Ahead-of-Time) ซึ่งเป็นการแปลงไว้ล่วงหน้าครั้งแรกเพียงแค่ครั้งเดียว ดังนั้นเมื่อมีการเรียกใช้งานแอพพลิเคชั่น ก็จะไม่ต้องเสียเวลาประมวลผลซ้ำอีก ซึ่งทรัพยากรของระบบ เช่นหน่วยความจำ ก็จะถูกใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากกว่า Dalvik Runtime เรียกได้ว่าหากทุกอย่างลงตัวสมบูรณ์เมื่อไหร่ ART ก็น่าจะทำให้อุปกรณ์แอนดรอยด์ ให้ความรู้สึกที่ลื่นไหลไม่แพ้อุปกรณ์ในฝั่งของไอโอเอส (iOS)และอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ Android L นั้นมีประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมก็คือการรองรับเทคโนโลยีการประมวลผลแบบ 64-bit ซึ่งจะได้รับผลประโยชน์แบบเต็มๆ จากขนาดของหน่วยความจำ Register ที่ใหญ่กว่า, การรองรับกับการทำงานข้ามแพลทฟอร์ม และรองรับการใช้งานกับหน่วยความจำที่มีขนาดใหญ่ขึ้นได้ ดังนั้นหากดูในภาพรวมแล้วก็จะเห็นว่า ช่องว่าง หรือความแตกต่างระหว่างสมาร์ทโฟน กับอุปกรณ์เฉพาะทางอื่นๆ ก็จะยิ่งแคบลงทุกที หากเทียบกันง่ายๆ ก็เรียกได้ว่าสามารถเข้าใกล้กับประสิทธิภาพของเครื่องเล่นเกมคอนโซล หรือแม้กระทั่งหน่วยประมวลผลภาพกราฟฟิคบนเครื่องคอมพิวเตอร์เลยทีเดียว
-
ประสิทธิภาพด้านกราฟฟิคทีดีขึ้นด้วย Android Extension Pack
Android L นั้นได้เพิ่ม Android Extension Pack ที่รองรับมาตรฐาน OpenGL ES 3.1 เอาไว้ให้ จึงเหมือนเป็นการยกเอาประสบการณ์ของการแสดงผลภาพกราฟฟิคบนเครื่องคอมพิวเตอร์ มาใส่เอาไว้ในสมาร์ทโฟนเลยก็ว่าได้ ซึ่งก็หมายความว่า Android Extension Pack นั้นจะช่วยเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ให้กับการแสดงผลภาพกราฟฟิคเกมส์ต่างๆ บนสมาร์ทโฟน ให้สวยงามสมจริงมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการไล่เฉดเงาในระดับสูง, แสงที่สวยงามขึ้น, การสะท้อนที่สมจริง และเอฟเฟคควันไฟที่ดีขึ้น
-
ประหยัดพลังงานได้มากกว่าด้วย Project Volta
สำหรับ Project Volta นั้นเป็นเครื่องมือ หรือ APIs ตัวใหม่ ที่จะช่วยให้การรันแอพพลิเคชั่นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพร้อมๆ กับการประหยัดพลังงาน โดยใน Android L นั้นจะมีการติดตั้งโหมดการทำงานแบบ Battery Saver Mode มาให้เป็นมาตรฐาน ซึ่งหากเทียบกับโหมดการทำงานทั่วๆ ไป ก็จะสามารถยืดระยะเวลาในการใช้งานในแต่ละวันไปได้อีกราวๆ 90 นาที หรือ 1 ชั่วโมงครึ่ง
-
ใช้งานได้หลายโหมดภายในเครื่องเดียว
การใช้งานได้หลายโหมดภายในเครื่องเดียว หรือ Android for Work นั้นนับว่าเป็นฟีเจอร์ที่น่าสนใจมากๆ ระหว่างการทำงานก็อาจจะใช้งานในรูปแบบหนึ่ง และระหว่างการเล่นการอาจจะเลือกใช้งานในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งการใช้งานในลักษณะนี้ หลายท่านก็อาจจะเคยได้เห็นกันมาบ้างแล้วก่อนหน้านี้ใน BlackBerry 10 และล่าสุดกูเกิลก็ขอนำฟีเจอร์แบบนี้มาใส่เอาไว้ใน Android L บ้าง โดยใน Android L จะแยกเก็บข้อมูลสำหรับการทำงาน และข้อมูลส่วนตัวไว้คนละส่วนกัน ซึ่งคุณสมบัติของ Android for Work นี้ไม่ต้องอาศัยการติดตั้งแอพพลิเคชั่นเพิ่มเติมแต่อย่างใด และที่สำคัญก็คือ บรรดาผู้ผลิตสมาร์ทโฟนชั้นนำของโลกอย่าง HTC, Samsung, LG, Sony, Huawai และ Motorola ได้ออกมาตอบรับในการสนับสนุนฟีเจอร์ Android for Work นี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
-
หน้า Recent App ในมุมมองใหม่
ฟีเจอร์หนึ่งที่ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ต้องใช้อยู่เป็นประจำก็คือรายการแอพพลิเคชั่นที่เปิดใช้งานล่าสุด หรือ Recent App ซึ่งปุ่ม Recent App บน Android L จะดูคล้ายกับ Tab View ในเบราว์เซอร์ Safari บนระบบปฏิบัติการ iOS อยู่ไม่น้อย โดย Recent App ใน Android L นั้นจะมีลักษณะที่ดูเหมือนกับไพ่ที่เรียงซ้อนกัน และไพ่แต่ละใบ ก็จะมีรูปแบบของแสงเงา และสัดส่วนที่แตกต่างกัน เป็นรูปแบบเฉพาะตัว นอกจากนี้ในหน้า Recent App ยังมีช่องสำหรับการค้นหาข้อมูล และแท็บของเบราว์เซอร์ Chrome อยู่ด้วย ดังนั้นจึงสามารถสลับการทำงานในรูปแบบของ Multi-tasking ได้ง่ายกว่า
-
ช่องค้นหาข้อมูลอัจฉริยะบนหน้าโฮม
ช่องค้นหาข้อมูล (Search Box) บนหน้าโฮม ที่ไม่ค่อยจะมีประสิทธิภาพมากนักบนแอนดรอยด์เวอร์ชันเดิมๆ ถูกปรับปรุงให้ฉลาดขึ้นใน Android L โดยช่องค้นหาข้อมูลบนหน้าโฮมนี้จะสามารถจดจำได้ว่าผู้ใช้งานเคยค้นหาอะไรไว้บ้างในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะในแอพพลิเคชั่น หรือบริการต่างๆ หากมีการค้นหาอีกครั้งก็จะสามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวกรวดเร็วมากขึ้น
-
เพิ่มความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัว
เรื่องของความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัวในขณะที่ใช้งานนับว่าสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งแน่นอนว่า Android L ก็ได้พัฒนาความสามารถในเรื่องนี้ให้ดีขึ้นเช่นเดียวกัน ทั้งความปลอดภัยในส่วนของ Google Play Services และฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า Kill Switch ซึ่งสามารถควบคุมเครื่องได้ในขณะที่เครื่องถูกโขมย และป้องกันการสั่งคืนค่าเครื่องจากโรงงาน (Factory Reset) นอกจากนี้กูเกิลยังได้แบ่งประเภทของความเป็นส่วนตัวของหน้า Lock Screen และ Notifications เป็น 3 รูปแบบ ได้แก่สาธารณะ (Public), ส่วนตัว (Private) และความลับ (Secret)
--- คร่าวๆก็มีประมาณนี้ละครับ ก็ไม่รู้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากน้อย น่าประทับใจสักเพียงไหน จะตื่นเต้นเหมือนกับตอน IOS เปิดตัว IOS 7.0 หรือเปล่าก็ต้องรอดูการเปิดตัวซึ่งจะมีขึ้นในเดือนหน้าตุลาคมนี้ครับ โดยมีข่าวจาก 2 ค่ายแบรนด์มือถือชื่อดังออกมาให้ข้อมูลว่าหากมีการเปิดตัว Android L เมื่อไหร่ก็จะรีบอัพเดตให้กับมือถือของตนตามมาภายในระยะเวลาไม่นานเช่น HTC บอกว่าจะอัพเดตให้ HTC ONE M7 และ M8 หลังจากเปิดตัวภายใน 90 วัน หรือ SAMSUNG ก็มีข่าวว่าจะอัพเดต Android L ให้มือถือของตนรุ่น Galaxy S5 , Note 4 ภายในเดือนพฤศจิการยนนี้ ซึ่งก็คงต้องรอลุ้นกันต่อไปครับ
***เครดิตข้อมูลจาก thaimobilecenter ขอบคุณมากนะครับ...
Android L กับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของแอนดรอยด์บน Material Design พร้อมฟีเจอร์ใหม่อีกเพียบ!จะสู้ IOS พอไหวไหมมาดูกัน
ขณะนี้ Android L ก็ยังคงเป็นเวอร์ชันสำหรับนักพัฒนาอยู่ (Android L Developer Preview) อยู่นะครับ โดย Android L นั้นถูกยกเครื่องปรับโฉมใหม่หมดจดให้อยู่บนการออกแบบดีไซน์ที่เรียกว่า Material Design ซึ่งทีมงานออกแบบของกูเกิลได้รับแรงบันดาลใจมาจากกระดาษ และน้ำหมึก ดูเหมือนเป็นภาพศิลปะที่ดูเรียบหรูดูน่าเชื่อถือ, มีการเล่นแสงเงา พร้อมสีสันที่สดใสหลากหลาย และรองรับกับการนำไปใช้งานกับอุปกรณ์ในทุกๆ แพลทฟอร์ม และทุกๆ ขนาดของหน้าจอแสดงผล ตั้งแต่นาฬิกา, สมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต, โน๊ตบุ๊ค, คอมพิวเตอร์, โทรทัศน์ หรือแม้กระทั่งหน้าจอแสดงผลในรถยนต์ และมี APIs (Application Programming Interface) ใหม่ๆ สำหรับนักพัฒนาอีกกว่า 5,000 รายการเลยทีเดียว เรียกได้ว่านักพัฒนาจะมีอะไรให้เล่นให้ลองอย่างเต็มอิ่ม รวมทั้งยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ๆ สำหรับผู้ใช้งานอีกมากมาย ซึ่งพอจะสรุปได้คร่าวๆดังนี้ครับ
- เบราว์เซอร์ Chrome โฉมใหม่
ความโดดเด่นของ Material Design นั้นก็ได้นำมาใช้เพื่อการยกเครื่องเบราว์เซอร์ Chrome ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นกราฟฟิคเคลื่อนไหวที่ลื่นไหลต่อเนื่อง, สีสันที่เปลี่ยนแปลงไปตามรูปภาพที่เรากำลังค้นหา, คำสั่ง New Pages Sliding In และที่สำคัญก็คือกราฟฟิคต่างๆ ที่เคลื่อนไหวในเบราว์เซอร์ Chrome โฉมใหม่นี้ มีความเร็วมากถึง 60 เฟรมต่อวินาที
- Personal Unlocking การปลดล็อคหน้าจออัจฉริยะ
ความฉลาดอีกอย่างของหน้า Lock Screen ก็คือการปลดล็อคหน้าจอโดยอัตโนมัติเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม หรืออยู่ในสถานการณ์ที่เหมาะสม เช่นหากเราได้ตั้งค่าสถานที่ (Location) เอาไว้ และกำลังอยู่ในบริเวณดังกล่าว หรือมีการสวมใส่อุปกรณ์บลูทูธ สมาร์ทโฟนก็จะสามารถรับรู้ได้ และปลดล็อคหน้าจอให้โดยอัตโนมัติแบบไม่ต้องเสียเวลาใส่รหัส PIN หรือปลดล็อคด้วยวิธีการอื่นๆ เลยทีเดียว
- ประสิทธิภาพที่เหนือกว่า ด้วย Android Runtime (ART) และเทคโนโลยีการประมวลผลแบบ 64-bit
แต่เดิมบนระบบปฏิบัติการ Android 4.4 KitKat ตัว Runtime อย่าง ART (Android Runtime) เป็นเพียงตัวเลือกหนึ่งสำหรับนักพัฒนา หรือคนที่ชอบลองของใหม่เท่านั้น แต่พอมาถึงระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุดอย่าง Android L ตัว ART นั้นได้ถูกกำหนดให้เป็นตัว Runtime มาตรฐานเรียบร้อยแล้ว ซึ่ง ART สามารถทำงานได้เร็วกว่าตัว Runtime ยอดนิยมก่อนหน้านี้อย่าง Dalvik Runtime ถึงสองเท่า ซึ่งนี่ก็คงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Android L นั้นมีประสิทธิภาพในการทำงานที่เหนือกว่าเดิม รวมทั้งสามารถทำงานร่วมกับสถาปัตยกรรมแบบ ARM, x86 และ MIPS ได้เป็นอย่างดี
สำหรับ ART นั้น จะมีการแปลงภาษา (Compilation) ในรูปแบบของ AOT (Ahead-of-Time) ซึ่งเป็นการแปลงไว้ล่วงหน้าครั้งแรกเพียงแค่ครั้งเดียว ดังนั้นเมื่อมีการเรียกใช้งานแอพพลิเคชั่น ก็จะไม่ต้องเสียเวลาประมวลผลซ้ำอีก ซึ่งทรัพยากรของระบบ เช่นหน่วยความจำ ก็จะถูกใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากกว่า Dalvik Runtime เรียกได้ว่าหากทุกอย่างลงตัวสมบูรณ์เมื่อไหร่ ART ก็น่าจะทำให้อุปกรณ์แอนดรอยด์ ให้ความรู้สึกที่ลื่นไหลไม่แพ้อุปกรณ์ในฝั่งของไอโอเอส (iOS)และอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ Android L นั้นมีประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมก็คือการรองรับเทคโนโลยีการประมวลผลแบบ 64-bit ซึ่งจะได้รับผลประโยชน์แบบเต็มๆ จากขนาดของหน่วยความจำ Register ที่ใหญ่กว่า, การรองรับกับการทำงานข้ามแพลทฟอร์ม และรองรับการใช้งานกับหน่วยความจำที่มีขนาดใหญ่ขึ้นได้ ดังนั้นหากดูในภาพรวมแล้วก็จะเห็นว่า ช่องว่าง หรือความแตกต่างระหว่างสมาร์ทโฟน กับอุปกรณ์เฉพาะทางอื่นๆ ก็จะยิ่งแคบลงทุกที หากเทียบกันง่ายๆ ก็เรียกได้ว่าสามารถเข้าใกล้กับประสิทธิภาพของเครื่องเล่นเกมคอนโซล หรือแม้กระทั่งหน่วยประมวลผลภาพกราฟฟิคบนเครื่องคอมพิวเตอร์เลยทีเดียว
- ประสิทธิภาพด้านกราฟฟิคทีดีขึ้นด้วย Android Extension Pack
Android L นั้นได้เพิ่ม Android Extension Pack ที่รองรับมาตรฐาน OpenGL ES 3.1 เอาไว้ให้ จึงเหมือนเป็นการยกเอาประสบการณ์ของการแสดงผลภาพกราฟฟิคบนเครื่องคอมพิวเตอร์ มาใส่เอาไว้ในสมาร์ทโฟนเลยก็ว่าได้ ซึ่งก็หมายความว่า Android Extension Pack นั้นจะช่วยเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ให้กับการแสดงผลภาพกราฟฟิคเกมส์ต่างๆ บนสมาร์ทโฟน ให้สวยงามสมจริงมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการไล่เฉดเงาในระดับสูง, แสงที่สวยงามขึ้น, การสะท้อนที่สมจริง และเอฟเฟคควันไฟที่ดีขึ้น
- ประหยัดพลังงานได้มากกว่าด้วย Project Volta
สำหรับ Project Volta นั้นเป็นเครื่องมือ หรือ APIs ตัวใหม่ ที่จะช่วยให้การรันแอพพลิเคชั่นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพร้อมๆ กับการประหยัดพลังงาน โดยใน Android L นั้นจะมีการติดตั้งโหมดการทำงานแบบ Battery Saver Mode มาให้เป็นมาตรฐาน ซึ่งหากเทียบกับโหมดการทำงานทั่วๆ ไป ก็จะสามารถยืดระยะเวลาในการใช้งานในแต่ละวันไปได้อีกราวๆ 90 นาที หรือ 1 ชั่วโมงครึ่ง
- ใช้งานได้หลายโหมดภายในเครื่องเดียว
การใช้งานได้หลายโหมดภายในเครื่องเดียว หรือ Android for Work นั้นนับว่าเป็นฟีเจอร์ที่น่าสนใจมากๆ ระหว่างการทำงานก็อาจจะใช้งานในรูปแบบหนึ่ง และระหว่างการเล่นการอาจจะเลือกใช้งานในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งการใช้งานในลักษณะนี้ หลายท่านก็อาจจะเคยได้เห็นกันมาบ้างแล้วก่อนหน้านี้ใน BlackBerry 10 และล่าสุดกูเกิลก็ขอนำฟีเจอร์แบบนี้มาใส่เอาไว้ใน Android L บ้าง โดยใน Android L จะแยกเก็บข้อมูลสำหรับการทำงาน และข้อมูลส่วนตัวไว้คนละส่วนกัน ซึ่งคุณสมบัติของ Android for Work นี้ไม่ต้องอาศัยการติดตั้งแอพพลิเคชั่นเพิ่มเติมแต่อย่างใด และที่สำคัญก็คือ บรรดาผู้ผลิตสมาร์ทโฟนชั้นนำของโลกอย่าง HTC, Samsung, LG, Sony, Huawai และ Motorola ได้ออกมาตอบรับในการสนับสนุนฟีเจอร์ Android for Work นี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
- หน้า Recent App ในมุมมองใหม่
ฟีเจอร์หนึ่งที่ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ต้องใช้อยู่เป็นประจำก็คือรายการแอพพลิเคชั่นที่เปิดใช้งานล่าสุด หรือ Recent App ซึ่งปุ่ม Recent App บน Android L จะดูคล้ายกับ Tab View ในเบราว์เซอร์ Safari บนระบบปฏิบัติการ iOS อยู่ไม่น้อย โดย Recent App ใน Android L นั้นจะมีลักษณะที่ดูเหมือนกับไพ่ที่เรียงซ้อนกัน และไพ่แต่ละใบ ก็จะมีรูปแบบของแสงเงา และสัดส่วนที่แตกต่างกัน เป็นรูปแบบเฉพาะตัว นอกจากนี้ในหน้า Recent App ยังมีช่องสำหรับการค้นหาข้อมูล และแท็บของเบราว์เซอร์ Chrome อยู่ด้วย ดังนั้นจึงสามารถสลับการทำงานในรูปแบบของ Multi-tasking ได้ง่ายกว่า
- ช่องค้นหาข้อมูลอัจฉริยะบนหน้าโฮม
ช่องค้นหาข้อมูล (Search Box) บนหน้าโฮม ที่ไม่ค่อยจะมีประสิทธิภาพมากนักบนแอนดรอยด์เวอร์ชันเดิมๆ ถูกปรับปรุงให้ฉลาดขึ้นใน Android L โดยช่องค้นหาข้อมูลบนหน้าโฮมนี้จะสามารถจดจำได้ว่าผู้ใช้งานเคยค้นหาอะไรไว้บ้างในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะในแอพพลิเคชั่น หรือบริการต่างๆ หากมีการค้นหาอีกครั้งก็จะสามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวกรวดเร็วมากขึ้น
- เพิ่มความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัว
เรื่องของความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัวในขณะที่ใช้งานนับว่าสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งแน่นอนว่า Android L ก็ได้พัฒนาความสามารถในเรื่องนี้ให้ดีขึ้นเช่นเดียวกัน ทั้งความปลอดภัยในส่วนของ Google Play Services และฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า Kill Switch ซึ่งสามารถควบคุมเครื่องได้ในขณะที่เครื่องถูกโขมย และป้องกันการสั่งคืนค่าเครื่องจากโรงงาน (Factory Reset) นอกจากนี้กูเกิลยังได้แบ่งประเภทของความเป็นส่วนตัวของหน้า Lock Screen และ Notifications เป็น 3 รูปแบบ ได้แก่สาธารณะ (Public), ส่วนตัว (Private) และความลับ (Secret)
--- คร่าวๆก็มีประมาณนี้ละครับ ก็ไม่รู้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากน้อย น่าประทับใจสักเพียงไหน จะตื่นเต้นเหมือนกับตอน IOS เปิดตัว IOS 7.0 หรือเปล่าก็ต้องรอดูการเปิดตัวซึ่งจะมีขึ้นในเดือนหน้าตุลาคมนี้ครับ โดยมีข่าวจาก 2 ค่ายแบรนด์มือถือชื่อดังออกมาให้ข้อมูลว่าหากมีการเปิดตัว Android L เมื่อไหร่ก็จะรีบอัพเดตให้กับมือถือของตนตามมาภายในระยะเวลาไม่นานเช่น HTC บอกว่าจะอัพเดตให้ HTC ONE M7 และ M8 หลังจากเปิดตัวภายใน 90 วัน หรือ SAMSUNG ก็มีข่าวว่าจะอัพเดต Android L ให้มือถือของตนรุ่น Galaxy S5 , Note 4 ภายในเดือนพฤศจิการยนนี้ ซึ่งก็คงต้องรอลุ้นกันต่อไปครับ
***เครดิตข้อมูลจาก thaimobilecenter ขอบคุณมากนะครับ...