(แชร์ประสบการณ์) จากสาวเมืองที่คนตกท่อ (กทม) มาเป็นสาวชาวเกาะ ฟูลมูนปาร์ตี้ ครบรอบ 1 ปีนิด ๆ ที่อยู่รอดมาได้

สำหรับสาวๆ ที่อายุ 20 ปลายๆ หรือ 30 นิด ๆ ที่กำลังถามตัวเองว่า ทำไมฉันยังไม่มีอะไรเป็นของตัวเองเลย ชีวิตเหมือนไร้ทิศทาง คล้ายๆ จะเป็น lost girl  ตัวดิฉันก็เคยเป็นแบบนั้นนะ ทำงานไปเรื่อยๆ ถึงจะเบื่องานบ้างเบื่อสิ่งแวดล้อมในเมืองใหญ่ มันเหมือนไม่ใช่ตัวเรา แต่ทำไงได้ มันก็ต้องกินต้องใช้นะ ก็ต้องทำงานหาเงินกันไป อายุ 30 แหละ ยังไม่มีอะไรเป็นของตัวเองเลย ยังอาศัยพ่ออยู่ บางทีเพื่อนร่วมงานก็ถามทำไมไม่ซื้อรถหละ ทำไมไม่ซื้อสมาร์ทโฟนรุ่นนี้หละ คือ มันเหมือนเราอยู่ผิดที่ผิดทาง คนเราวัดกันแค่สิ่งของภายนอกจริงๆ หรอ ถ้าเราอยากดูเป็นคนประสบความสำเร็จในชีวิตเราต้องมีบ้าน 1 หลัง รถยนต์สักคัน หรืออะไรก็ได้ที่มันทำให้เราดูเหมือนคนมีอันจะกินหรือปล่าว คือถ้าคนอื่นอาจจะใช่แต่สำหรับดิฉัน มันไม่ใช่ ดิฉันคิดว่าการที่เราอยู่ในที่ๆ เราอยากจะอยู่ เติบโต มีความสุขกับที่ๆ ตรงนั้น ฉันว่ามันก็โอเคแล้วนะ ตอนนั้นก็คิดอะไรไม่มากไม่สนใจใครจะว่ายังไง ถึงพ่อจะบ่นเพราะอยากให้เรามีเป้าหมายในชีวิต ผ่อนบ้านสักหลังก็ดีนะ มีหนี้จะได้รู้จักรับผิดชอบ แต่ถ้าคนเราความฝันที่จะสำเร็จไม่เหมือนกันหละ เราต้องทนไหม ทนสร้างความสำเร็จตามความคิดคนอื่นๆ ไหม

ดิฉันก็เริ่มไม่ไหวแหละ อยากไปให้พ้นจากกรุงเทพฯ เมืองที่ฉันเคยอยู่กว่าเกือบ 20 ปี เพราะความอดทนเริ่มหมด ฉันตัดสินใจย้ายมาเกาะพะงัน เกาะที่สาวๆ ในพันธ์ทิพย์ ลือว่าหนุ่มแซ่บๆ จากทุกมุมโลกมาอยู่ที่นี้ (อันนี้นอกเรื่องนะ ยอมรับว่าจริงค่ะ เพราะเกาะปาร์ตี้อ้ะนะ แหล่งรวมวัยรุ่นละอ่อนๆ แบบจากที่เห็นแล้วคนนี้ก็หล่อคนนี้ก็แซ่บ เดี๋ยวนี้เฉยๆ แหละ 555)

การย้ายตัวเองมาอยู่เกาะนี้ มีสาเหตุค่ะ ไม่ใช่มาตามหาฝรั่งแซ่บนะ เพราะอดีตก็มีฝรั่งแซ่บเป็นของตัวเอง อิๆ แต่ที่ย้ายมาเพราะมีความชอบเกาะพะงัน มันแตกต่างจากเกาะอื่นๆ ที่เคยไป ชาวบ้านที่เป็นคนท้องถิ่นก็ยังมีเยอะ ไม่ใช่เฉพาะ พวกนายทุนเปิดโรงแรมใหญ่ ๆแบบ เกาะสมุย หรือ เกาะเล็กคับแคบเกินไปเหมือนเกาะเต่า เกาะพะงันเหมือนลูกสาวคนกลาง ไม่หวือหวาเติบโตเร็วเหมือนสมุย และไม่ดูเล็กๆ บอบบางเหมือนเกาะเต่า ด้วยว่าเคยไปเที่ยวเกาะนี้กับอดีตแฟน ก็เลยมีความคิดว่าสักวันฉันจะมาอยู่ให้ได้ ใช้เวลา 1 ปีกว่าๆ หลังจากไปเที่ยวเกาะพะงันครั้งแรก เพราะกะว่าจะรออดีตแฟนย้ายจากต่างประเทศมาอยู่ด้วยกัน แบบเริ่มต้นชีวิตตัวเองและชีวิตคู่ด้วยกันเลย ที่เกาะนี้ เอาวะเป็นไงเป็นกัน

แต่ด้วยความที่ตัวเองเป็นลูกสาวคนโตของบ้าน ทุกคนก็ฝากความหวังว่าจะต้องอยู่ดูแลครอบครัว ที่ประกอบไปด้วย พ่อ เมียพ่อ น้องสาวอีก 2 คน แต่ดิฉันคิดว่าดิฉันมีความฝันการที่ฉันจะย้ายตัวเองจากเมืองใหญ่มาติดเกาะ ไม่ได้หมายความว่าฉันจะทิ้งครอบครัว และอีกอย่างฐานะทางบ้านก็ไม่ได้ลำบาก ฉันย้ายออกมา ดิฉันอาจจะเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบขึ้นก็ได้ คงอารมณ์คล้ายๆ ไปอยู่ต่างประเทศมั้ง เพราะเรามาอยู่บนเกาะก็รู้จักแค่ญาติห่างๆ ของพ่อ แต่ญาติคนนี้ก็ดูแลเราดี แต่เราไม่ได้คิดจะหวังพึ่งใคร อยากสร้างชีวิตให้ตัวเองด้วยตัวเองจริงๆ พ่อก็ห่วงนะ ตามมาดูแต่สุดท้ายก็ต้องปล่อยลูกสาวสุดที่รักแต่ดื้อโคตร ให้มาเรียนรู้ชีวิตที่ตัวเองเลือกเอง อีกอย่างดิฉันก็อยากจะให้พ่อภูมิใจถ้าฉันสามารถสร้างสิ่งต่างๆ ด้วยมือตัวเอง แต่ขออยู่ในสถานที่ๆ ฉันชอบได้ไหม ดังนั้นการมาเป็นคนติดเกาะ จึงเป็นอะไรที่ท้าทายสำหรับดิฉัน ไม่มีห้าง ไม่มีโรงภาพยนตร์ ถ้าหมดหน้าไฮซีซั่น หรือไม่ใช่ช่วงฟูลมูน  ก็บ้านนอกดีๆ นี้เอง โอเคมี 7 eleven กับร้านอาหารอร่อยๆ ก็น่าจะอยู่ได้นะ ไม่ได้หลังเขามาก แต่เอาจริง คนที่ปาร์ตี้เก่ง ติดเพื่อน อย่างดิฉันจะอยู่ได้ไหมเนี๊ยะ คิดนะก่อนจะย้ายมา (พ่อดิฉันกลัว ว่าดิฉันจะมาติดเที่ยวปาร์ตี้ที่เกาะพะงัน เพราะตอนอยู่กรุงเทพฯ ดิฉันนี้ผีเสื้อราตรีเลยค่ะ ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น แดนซ์ ดื่ม ใช้ชีวิตกับแสงสีเกือบทุกอาทิตย์ แต่เชื่อไหมมาอยู่เกาะพะงันครบปี ไปเที่ยวปาร์ตี้ที่เค้าจัดๆ ไม่กี่ครั้ง เพราะเบื่อ ไม่ชอบ ชอบอยู่กับธรรมชาติแทนซะงั้น เปลี่ยนไปเลยค่ะ)

เดือนแรกที่มาอยู่ ก็มีความฝันความคิดหลายๆ อย่างๆ อยากเปิดร้านอาหารมีบาร์เล็กๆ ติดทะเล ดูแลกับอดีตแฟนหนุ่ม เหมือนในหนังรักเลย (ฝันค่ะ จริงๆ มันไม่ง่ายนะ ที่ดีๆ เค้าก็มีคนจับจองแล้ว หรือจะเช่าค่าที่ติดทะเลก็แพงมหาโหด ไม่รู้จะคุ้มที่ลงทุนไหม) ก็เลยคิดว่าหางานดีกว่า ส่วนอดีตแฟนให้เค้าปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมก่อน เพราะอารมณ์ยังงงๆ กับวัฒนธรรมคนไทย นิสัยคนไทย แต่อยากจะบอกสาวๆ เลยนะ ว่าการจะเริ่มชีวิตคู่ไม่ได้ง่ายอย่างที่เรากับคู่ของเราคิดไว้หรอกค่ะ มันมีปัจจัยหลายอย่าง ทัศนคติการใช้ชีวิต ถ้ามีความคิดไม่ตรงกัน ขัดแย้งมากกว่าที่จะยอมรับความคิดเห็นซึ่งกันและกัน รักแค่ไหนก็จบค่ะ  อยู่ด้วยกันจริงๆ แบบชีวิตคู่ไม่ถึง 5 เดือนก็ต้องโบกมือบ๊ายๆ ค่ะ เลยได้บทเรียนมาค่ะว่า การจะมีใครสักคน ถ้าเราต้องเปลี่ยนตัวเอง จนเหมือนเราสูญเสียความเป็นตัวเองมันมีแต่จะทุกข์ค่ะ ทั้งตัวเราทั้งอีกฝ่ายค่ะ สู้เราอยู่ด้วยตัวเอง มองตัวเองให้ออกค่ะว่าตัวเองต้องการอะไรในชีวิตกันแน่ คุณก็จะมีคววามสุขค่ะ

มาถึงตอนนี้อยากบอกเป็นข้อๆ หละกันว่า 1 ปีที่ได้ย้ายมาอยู่บนเกาะพะงัน ที่คนไทยมองว่ามีแต่พวกปาร์ตี้ และพวกฮิปปี้ มันไม่จริงเลยค่ะ บางทีคุณไม่ต้องไปถึงเมืองนอกบางประสบการณ์คุณก็จะได้จากการย้ายมาติดเกาะเหมือนดิฉัน

1. อย่างที่บอกค่ะ ว่าเดือนแรกคิดจะเปิดร้านอาหารเอง แต่เกรงว่าจะไปไม่ไหว ก็เลยตัดสินใจหางานทำค่ะ งานในเกาะพะงัน หลักๆ ก็จะเป็นพวกงานโรงแรมค่ะ เพราะเป็นเกาะท่องเที่ยว โชคดีที่ได้ภาษาอังกฤษ เพราะมีพื้นฐานมาจากที่เคยทำงานในกรุงเทพฯ (ใครที่อยากได้ภาษาอังกฤษแต่คิดว่ามีทุนไปเรียนภาษาที่เมืองนอกไม่ไหว และอยากได้ประสบการ์ณพูดจริง เจ็บจริง งงจริง มาทำที่นี้ คุณจะได้พูดแทบจะตลอด 24 ชั่วโมง เพราะนักท่องเที่ยว 99% เป็นต่างชาติค่ะ คนไทยบ้านเราไม่ค่อยมาค่ะ ไม่รู้ทำไม เสียดาย หาดในพะงันนี้สวยนะค่ะ ฝรั่งบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพื่อมาชมพระอาทิตย์ตกที่พะงัน ถึงจะไม่ดังเท่าฝั่งอันดามัน แต่เชื่อเถอะ คุณจะชอบเกาะพะงันถ้าได้มา)

สิ่งที่ได้อย่างแรกเลย ภาษาอังกฤษค่ะ ต่อจากนั้นถ้าขยันหน่อยอาจจะได้ภาษาที่สามเช่น รัสเซีย สเปน อิตาลี เยอรมัน เพราะนักท่องเที่ยวหลากหลายค่ะ ไม่ต้องไปไกลค่ะ  แต่ตอนแรกที่ได้งาน เนื่องจากไม่เคยทำงานโรงแรม แต่ด้วยว่าหน้าตาไม่ถึงกับทำให้นักท่องเที่ยวกลัว และภาษาก็พูดสื่อสารได้ ถึงจะไม่เก่งเป็นมืออาชีพ เพราะเรียนจากมหาลัยแล้วมาต่อยอดขวนขวายเอง ก็เลยมีทักษะการใช้ภาษาอังกฤษมา (เป็นกำลังใจให้คนที่อยากได้ภาษาอังกฤษ ถึงจะไม่ได้ไปเมืองนอกคุณก็พูดได้ค่ะ ถ้ามีความตั้งใจจริง) ทางโรงแรมก็ให้เป็นผู้ช่วยผู้จัดการ และ เป็นฝ่ายต้อนรับค่ะ เงินเดือนที่ได้รับ ตอนแรกก็แถบทำใจไม่ได้ จากเคยได้เกือบสี่หมื่น มาได้แค่ หมื่นห้า แต่คิดว่า ต่างจังหวัดเนอะ บ้านนอก เงินเดือนขนาดนี้ก็หรูแล้ว แต่ที่ได้มันมากกว่าเงินค่ะ ประสบการณ์ชีวิตล้วนๆ ที่ได้มา

2. การได้ร่วมงานกับเพื่อนบ้านค่ะ ไม่ว่าจะเขมร พม่า ต่อไปถ้าเราเปิดประเทศ ทุกคนคงได้มีเพื่อนร่วมงานเหมือนดิฉัน การที่เราเป็นคนไทยที่พูดภาษาอังกฤษเข้าใจที่สุด ในโรงแรมแล้ว (ลืมบอกไปโรงแรมที่ดิฉันทำงาน จะเป็นระบบแบบครอบครัว แต่เจ้าของเป็นต่างชาติค่ะ มีหุ้นส่วนคนไทย โรงแรมสวยค่ะอยู่บนเนินเขา เห็นพระอาทิตย์ตกดินสวยๆ ทุกวัน วันไหนฟ้าเปิด คุณค่ะ สวรรค์ดีๆเลยค่ะ ทำงานไปก็เหมือนมาพักร้อนไป ไม่เครียดค่ะ ไม่มีควันพิษ ไม่มีเสียงดัง ที่สำคัญรถไม่ติดด้วย ชอบๆ)

การทำงานกับคนพม่าก็สนุกไปอีกแบบนะค่ะ ส่วนมากที่นี้แรงงานจะมาจากพม่าซะส่วนมาก ด้วยว่าเค้าไม่อายที่จะพูดภาษาอังกฤษ ทำงานหนักได้ ไม่อู้เท่าไหร่ แต่พอเค้าอยู่นานๆ เค้าก็จะหัวหมอค่ะ เหมือนมีอำนาจต่อรอง แล้วที่สำคัญคนพวกนี้เค้าจะมีกลุ่มสมาคมของเค้า คงเหมือนคนไทยไปอยู่ต่างประเทศ แต่ก็จะมีพวกเหยียดเชื้อชาติค่ะ อย่างคนไทยบางคนก็จะไม่ชอบพม่า แต่ดิฉันว่าคนเหมือนกัน ทำงานเป็นลูกจ้างเหมือนกันจะมานั่งเหยียดกันทำไม แต่อย่างว่าค่ะ คนเรานานาจิตตัง อีกอย่างคนพม่า เค้าจะสอนกันเองไม่ได้นะค่ะ คือบางทีเราให้เค้าไปเตือนกันเอง เค้าจะบอกว่าพี่ไปเตือนเหอะ เค้าไม่ฟังพม่าด้วยกัน คุ้นๆ เนอะ นิสัยเหมือนพี่ไทยเราเลย

แต่การที่เราได้ทำกับคนต่างภาษาแล้วมาจากประเทศที่การพัฒนายังช้ากว่าเรา มันก็ยากนะ แต่ถามว่ามันก็สนุกและซาดิสต์ไปอีกแบบ คือกว่าจะเข้าใจก็ต้องใช้ทั้งการพูด ทำท่าทางประกอบเหมือนทายคำ แต่พอเราเจอคนซื่อๆ แล้วเค้าพยายามจะพูดกับเราแบบเพราะๆ มันก็จะฮาดี คือ ถ้าอยู่กรุงเทพฯ ดิฉันคงไม่ได้มีโอกาสเจอคนแบบนี้ มีเหตุการณ์หนึ่ง คือเราก็รู้ว่าคนพม่าเค้าจะพูดไทยไม่ชัดหรือใช้คำพูดสวยๆ ไม่เป็น แบบเหตุการณ์นี้ คือน้องพม่าคนนี้เค้าเคยทำงานกับดิฉัน แต่ตอนนี้ลาออกแล้วเค้าอยากมาเจอแฟนปัจจุบันของดิฉันที่ทำงาน

ดิฉัน : ว่าไงน้อง มาหาใครจ้ะ (ยิ้มหวานแบบสาวไทยใจงาม)
นาย : (ยิ้มตอบพร้อมยกมือไหว้) พี่xx ผมมาหาผัวพี่ครับ (ยิ้มแบบมั่นใจมากโชว์ฟันดำ จากการเคี้ยวหมากมาอย่างโชกโชน)
ดิฉัน : เอ่อ อะไรนะ อ๋อมาหา xxx หรอ ฮาๆ เรียกแฟนดีกว่าไหม เรียกผัวพี่เขิน
นาย : (ทำหน้างง) อ้าวอยู่ด้วยกัน ก็ต้องเรียกผัว (ยังจะเถึยง)
ดิฉัน : เอ่อจ้ะ แต่เรียกแฟนแหละพี่ขอร้อง

นี้แหละความซื่อและการไม่รู้จะประดิษฐ์คำพูดของคนพม่า พูดสลับบ้าง พูดให้งงบ้าง เป็นเรื่องปกติ ตอนนี้คุ้นเคยแหละ เพราะว่าชินแล้วเริ่มเดาถูกทางว่าเค้าต้องการอะไร

แต่คนพม่าถ้าเราซื้อใจเค้าได้ อาจจะด้วยเค้ารู้สึกถึงรังสีอำมหิตของคนไทยบางคนที่ชอบเหยียดเชื้อชาติ เค้าจะไม่ค่อยชอบคนไทยเท่าไหร่ เพราะเค้ารู้สึกว่ามองเค้าแบบเชิงดูถูก (ซึ่งไม่น่ารักเลยค่ะ จุดนี้สำหรับคนไทยบางคน) แต่ถ้าจริงใจกับเค้ามองเค้าเหมือนมนุษย์ด้วยกัน เค้าจะรักคุณมาก รักจริงๆ นะ รักแบบคนครอบครัวเดียวกัน แล้วเค้าจะฟังทุกอย่างที่คุณบอก และจะไม่ดื้อมากเท่าไหร่ ตรงนี้ยอมรับว่ายากนะจะซื้อใจใครสักคน แต่ 1 ปีที่ผ่านมาก็ทำได้ค่ะ เป็นที่รักของเจ้านายและพี่ๆ น้องๆที่ทำงานด้วยกัน ไม่ว่าจะต่างเชื้อชาติ (ที่ทำงานมีทั้ง ยุโรป พม่า ไทย ปะปนกันค่ะ) เราปฏิบัติกับเค้าแบบเท่าเทียมกัน เหมือนเพื่อน มนุษย์ด้วยกัน เราก็จะมีความสุขค่ะ มีเหตุผล ไม่เหวี่ยงวีน จะคนชาติไหนเค้าก็รักเราค่ะ

ดิฉันได้ประสบการณ์เรื่องการใช้ชีวิตทำงานร่วมกับคนต่างเชื้อชาติ วัฒนธรรม ตรงนี้เป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่า ทำให้เรามั่นใจว่า ต่อไปถ้าเราโตขึ้นอยากจะมีธุรกิจเป็นของตนเอง แล้วต้องทำงานกับคนต่างชาติต่างภาษา เราก็เอาอยู่ค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่