สวัสดีจ้า พอดีเพิ่งไปฮ่องกงกลับมา ซึ่งเป็นครั้งแรกที่แพลนทริปเองทุกสิ่งอย่าง บวกกับอยากแชร์เรื่องอื่นนอกจากการเที่ยวด้วย อย่างวัฒนธรรม หรือวิถีชีวิตของคนฮ่องกงในมุมมองเราเองค่ะ (จริงๆ ก่อนหน้านี้เคยไปแล้วครั้งนึง แต่ไปกับกลุ่มที่บริษัท เลยไม่ได้แพลนอะไรเองเลย)
เพิ่งกลับมาเมื่อวานนี้ตอนเที่ยงคืนกว่า ซึ่งมาอ่านข่าวเพิ่งรู้ว่าไต้ฝุ่นเข้าฮ่องกง (วันที่ 16) พอดูรายละเอียด ในขณะที่เราอยู่บนเครื่อง เค้าประกาศเป็น Level 8 แล้วจ้าาา ตอนนั่งอยู่บนเครื่องก็เสียวๆ เพราะสัญญาณให้รัดเข็มขัดเดี๋ยวดับ เดี๋ยวติดตลอด แล้วเครื่องสั่นมาก (ตอนนั้นทำไรไม่ได้นี่ นั่งนึกถึงเจ้าแม่ทับทิมที่ห้อยติดตัวอย่างเดียวเลย
)
เกริ่นมาเยอะแล้ว ขอบอกรายละเอียดคร่าวๆ ของทริปนี้ก่อนนะ
-ระยะเวลา: 4 คืน 5 วัน
-งบประมาณ: (เอาจริงๆ จำค่าตั๋วไม่ค่อยได้ เพราะจองตั้งแต่ต้นปีที่มีโปรของ Air Asia) รวมๆ แล้วน่าจะ 30-35K มั้ง รวมค่ากิน โรงแรม เที่ยว ตั๋วต่างๆ
-เป้าหมาย: เพราะคราวที่แล้วไปพวก A must ไปแล้ว คราวนี้เลยลองหาอะไรที่แบบ local หรือพวกของกินที่ต้องไปลอง (เน้นชิม) และไปมองหาโค้ท รองเท้า เสื้อผ้าสำหรับหน้าหนาว แต่ก็มีไปซ้ำบางที่นะอย่าง Disneyland ++ความชอบส่วนตัวอยากกลับไปเก็บให้ครบ++
ขอเริ่มด้วย Day 1 เลยแล้วกัน
(City Gate Outlet, Hotel Check-in, Harbour City, Avenue of Star)
++ขอเล่าเรื่องเที่ยวก่อน ส่วนเรื่องวิถีชีวิตจะสอดแทรกบ้าง แต่จะรวมเป็นเกร็ดไว้ตอนท้ายนะเจ้าาาา++
Flight: เราตั้งใจจองไฟลท์เช้า เพราะไปถึงจะได้ยังมีเวลาเที่ยว ไฟลท์ที่จองออก 6.30 a.m. ไปถึงฮ่องกงก็ประมาณ 10 โมงกว่าเกือบ 11 โมง (เวลาฮ่องกง) ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ ไปถึงก็ซื้อ Octopus Card เลย เพราะต้องใช้อยู่แล้ว (แนะนำสำหรับคนที่ยังไม่เคยไปเลย เพราะร้านอาหารส่วนใหญ่, 7-11, Mc สามารถแตะบัตรนี้จ่ายได้เลยนะเออ)
ตอนไปถึงคนยังไม่เยอะมาก เดินไปเอากระเป๋าแบบชิลๆ ได้เลย
City Gate Outlet: จากนั้นเราเลือกที่จะไปเดินดูของที่ City Gate Outlet ก่อน เพื่อเช็คราคา ถ้าถูกจริงวันสุดท้ายกะจะกลับมาเก็บตกที่นี่อีกครั้ง เพราะใกล้สนามบิน จากสนามบินเดินออกมาตามทางเลย จะเห็นป้ายบอกว่าไป Bus Terminal ก็ดิ่งไปเลยจ้ะ แล้วก็นั่งสาย S1 ไปลงป้าย City Gate Outlet (บนรถจะมีป้ายไฟมีตัววิ่งบอกสถานีต่อไป จำไม่ได้ว่าบนรถมันขึ้นว่า City Gate หรือ Tung Chung Station แต่ทั้งสองที่คือป้ายเดียวกัน ป้ายนี้คนลงเยอะ ไม่ต้องห่วง) จากสนามบินมาที่นี่ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีไม่เกิน
มาถึงดิ่งไปดูร้านที่มีเสื้อโค้ทก่อน ปรากฎเจอร้านแรกเข้าไปถึงกับติด stun แปป (ชื่อร้านแนวฝรั่งเศส ขึ้นด้วยตัว M จำไม่ได้ว่าร้านอะไร เพราะเดินออกมาเร็วมาก) คือเห็นแล้ว อุ้ย! โดนใจ เปิดราคามาหมื่นกว่าเหรียญ คิดเป็นเงินไทยก็สี่หมื่นกว่า เลยสอดป้ายกลับเข้าไปที่เดิม แล้วเดินออกมาอย่างตัวเล็กๆ ++มีสายตาพนักงานมองส่ง เพราะเข้าไปแล้วออกมาเร็วมาก++
**City Gate Outlet ตามความเห็นเราเหมาะสำหรับคนที่ชอบแบรนด์แบบ High-end มากๆ อ่ะ คือสำหรับคนใช้แบรนด์เนมอยู่แล้ว มาที่นี่อาจจะว่าถูก แต่เราปกติใช้แต่ของตลาดนัด ธรรมดาๆ เจอราคาระดับนี้เข้าไป ผ้าเช็ดปากยังซื้อไม่ได้เลยมั้ง แต่ถ้าเป็นพวกรองเท้ากีฬา เสื้อผ้าแบบ sports (พวก Nike, Puma, Quick Silver ทั้งหลาย) อันนี้ราคาพอรับได้อยู่ตามสมควร (อยากรู้มีร้านอะไรบ้างลองดู
ที่นี่ นะ)
++เพราะไปถึงเร็ว แต่โรงแรมให้เช็คอินได้บ่ายสอง เลยเดินอยู่ในนั้นแหละ วนไป วนมา แต่ซื้ออะไรไม่ได้เลย อิๆ พอได้เวลาก็ออกมา เตรียมไปโรงแรมต่อ++
Hotel Check-in: โรงแรม M1 ที่เราเลือกอยู่ย่าน Yau Ma Tei ซึ่งถือว่าทำเลดี เพราะใกล้ย่าน Tsim Sha Tsui, Mongkok แหล่งของกิน ตลาด และร้านต่างๆ แล้วแถว Yau Ma Tei เองก็มีร้าน มีของกินสะดวกสบายอยู่ เรานั่ง MTR Tung Chung ไปลง Lai King (ใช้เวลาประมาณ 20 นาที) แล้วก็เปลี่ยนสายไป Tsuen Wan หรือสายสีแดงเพื่อไปลงสถานี Yau Ma Tei (ประมาณ 13 นาที) รวมๆ แล้วประมาณ 30 นาที มาถึงสถานีก็พอดีใกล้ๆ เวลาเช็คอิน
โรงแรม M1 ให้เลือก Exit C เราว่าใกล้สุด ขึ้นมาถึงให้หันขวาจะเห็นร้าน Bonjour แล้วเลี้ยวซ้ายเป็นซอยเล็กๆ มีสามแยก ซ้ายมือจะสังเกตว่ามีร้านมินิมาร์ท Circle K กับร้านอาหารไทย อัมพวาอยู่ แต่ให้เราเลี้ยวขวา เดินไปไม่ไกล (ช่วงกลางวันร้านที่เดินผ่าน ขวามือจะปิดซะส่วนใหญ่ มีแต่ร้านทำโลงศพ!!! ที่เปิดกลางวัน กับร้านตัดผม ส่วนซ้ายมือจะเป็นสวนสาธารณะเล็กๆ ที่คนแก่ชอบมานั่งคุยกัน และรำไทเก๊กกันตอนเช้าๆ) เดินมาถึง โรงแรมจะอยู่ขวามือเรา จะเห็นป้ายโรงแรมชัดเจนเลย
**โรงแรมนี้ระดับ 3 ดาว ถือว่าโอเคเลยนะ แต่งสไตล์ modern ใช้กระจก อลูมิเนียม หรือพวกหินเงาๆ ทำให้ดูโปร่ง และหรู เน้นโทนสีดำ ขาว เทา
เราจองผ่าน booking.com ตอนมันมีโปรพอดี พัก 3 คืนขึ้นไป แถม 1 คืน (เราพัก 4 คืนพอดี) เลยประหยัดไปได้คืนนึง ราคาประมาณ 11xxx บาท/ 4 คืน รวมค่าอาหารเช้าแล้ว มีน้ำอุ่น Wi-Fi ให้ โทรทัศน์จอใหญ่ (ดูแต่ช่อง Pearl เพราะช่องอื่นเป็น Cantonese หมด ฟังไม่ออกง่ะ)
++หลังจากเก็บของเรียบร้อย ก็ได้เวลาไป Harbour City ต่อ ที่นี่ไฮไลท์เราอยู่ที่ร้าน Donguri Republic ร้านสำหรับสาวก Ghibli Studio มีโตโตโร่ตัวใหญ่เบิ้มอยู่หน้าร้าน++
Harbour City: อยู่ย่าน Tsim Sha Tsui ใกล้ๆ กับ Avenue of Stars เดินดูของฆ่าเวลา รอไปดู Symphony of Lights ตอนสองทุ่มได้เลย
จาก Yau Ma Tei นั่งสาย Tsuen Wan ไปลง Tsim Sha Tsui (เลือกทางออก A1 Jamia Islamic) ออกมานอกสถานีปั๊ป หันขวาเลย เดินสอง สามก้าวจะเจอถนนแล้วเลี้ยวขวาอีก (มีป้ายบอกทางอยู่ตรงนี้) จากตรงนี้เดินตรงไปยาวๆ เลย จะผ่านสวนสาธารณะเกาลูนด้วยถ้าจำไม่ผิด (ไม่ได้ขึ้นไปดู) เดินต่อไปอีก พอเจอถนนอีกให้ข้ามถนนเลย จะเห็นทางเข้าห้างอยู่ มีป้าย Harbour City ชัดเจน (ห้างนี้จะมีการแบ่งเป็นปีกๆ มีชื่อเรียกอย่าง Ocean Terminal, Gateway Arcade, Star Annex, LCX แนะนำเข้าไปถึงคว้าแผนที่ก่อนเลยค่ะ ตอนแพลนลองลิสต์ร้านที่อยากแวะ แล้วจดชั้น กับโซนมาด้วยก็ดีนะ มาถึงก็เดินหาตามนั้นเลย ไม่งั้นจะงงได้)
Donguri Republic (L3, Ocean Terminal): ร้านนี้โดนใจมากกกก ทุกอย่างน่ารักหมด (ของในร้านตอนไปจะเน้นพวกโตโตโร่ Kiki Spirited Away) เดินถ่ายรูปของ ดูของเพลินมากๆ ++ซื้อของเล็กๆ ติดมือกลับมาด้วย อดไม่ได้ อิๆ++
Page One (L3, Gateway Arcade): ร้านหนังสือ และเครื่องเขียน มีของเล่นหรือพวกของไอเดียๆ เก๋ๆ แนว Loft บ้านเราด้วย ตอนไปหนังสือลดราคาเยอะมาก 50-70% มีทั้งหนังสือเก่า และใหม่ ใครชอบอ่านหนังสือ รับรองว่าร้านนี้ถูกใจ
Lock On (L3, Gateway Arcade): มีหลาย block เรียงกันเลย อยู่ใกล้กับร้านหนังสือนั่นแหละ ขายตั้งแต่เครื่องสำอางค์ กระเป๋าเป้ แว่นกันแดด ยันของกิ๊ฟช็อป เดินดูเพลินๆ ดีเหมือนกัน (แต่ไม่ซื้อ เพราะในหัวนี่คำนวณเป็นเงินไทยตลอดเลย กลับมานี่คิดเลขเก่งขึ้นนิดนึง)
Jean-Paul Hevin Chocolatier (L2, Ocean Terminal): คืออันนี้เดินผ่าน แล้วคุ้นๆ ว่าเคยอ่านรีวิวที่ไหนซักที่ บอกว่ามันเลอค่ามาก เลยเข้าไปด้อมๆ มองๆ มาการอง สุดท้ายก็สอยมาลองซัก 2 รสเป็นพิธี Dark Chocolate-Choco Pistachio (ชิ้นละตั้ง 26 เหรียญ หรือประมาณ 108 บาท!! *ก็บ้าจี้ซื้อกันไป) ปกติไม่เคยเข้าใจคนชอบกินมาการองเลย เพราะเคยกินแล้วรู้สึกมันหวานน้ำตาลอย่างเดียว ไม่รู้อร่อยตรงไหน? แต่พอลองกินอันนี้ บรรลุเลย ของจริงๆ มันอร่อยอย่างนี้นี่เอง คือหอม เข้มข้นมากกกกก รส pistachio ก็หอม มีเนื้อแน่นๆ ชัดเจน *Fin ปลื้มปริ่มอยู่ในใจ*
LADUREE (L3, Gateway Arcade): มาต่อกันที่มาการองอีกร้าน (นี่ไม่ได้อยู่ได้แพลนนะเนี่ย) เดินผ่านแล้วการตกแต่งร้านสะดุดตา เพราะเน้นสีพาสเทล มีกล่องๆ จัดเรียงสวยงาม แต่ถ้าไม่มองเข้าไป นึกว่าขายเครื่องสำอางค์ แล้วเอามาการองปลอมมาเรียงเสริมเก๋ๆ เราจัดมาลอง 3 ชิ้น (ราคาชิ้นละ 25 เหรียญ) Columbia Chocolate-หอม เข้มข้น รสขมกว่าร้านแรก Pistachio-แพ้ร้านแรก หวานไปหน่อย ไม่หอมด้วย Salted Caramel- อันนี้โอเคเลย หอมคาราเมล แล้วมีรสเค็มๆ มันๆ ถือว่าอร่อย
Honeymoon Dessert (L3, Gateway Arcade): แพนเค้กมะม่วง กับเต้าฮวยมะม่วง (ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร) ร้านอยู่ในโซน City Super ใกล้ๆ กับร้านหนังสือ Page One นั่นเลย เห็นเค้าว่าอร่อยกัน เลยจัดมาสองเมนูนั่นแหละ Mango pancake-แป้งบางดี เนียนๆ แต่ข้างในรู้สึกว่าครีมเยอะไปหน่อย เลี่ยนๆ (ปกติไม่ค่อยชอบกินครีม) แต่โดยรวมถือว่าโอเค มะม่วงชิ้นใหญ่อยู่ อีกอันเต้าฮวยมะม่วง-อันนี้น้ำที่เห็นก็คือน้ำมะม่วง กินเข้าไปคำแรกก็หอมน้ำดอกไม้นะ มะม่วงก็หวานใช้ได้ แต่ไอเต้าหู้ที่ใส่มาเยอะมากๆๆ คือกินอย่างอื่นจะหมดแล้ว เหลือเต้าหู้บานเลย แล้วมันจืดไง เลยกินเท่าที่กินได้
City Super: อันนี้เข้าไปโฉบๆ เล่น ข้างในก็ขายของสด ผลไม้ อาหารทั่วไปเหมือนบ้านเรา แต่ที่สะดุดคือเดินผ่านจุดนี้ กลิ่นทุเรียนผสมขนุนโชยมาเตะจมูกเลย (คือเอามาวางรวมกัน กลิ่นก็ผสมกันไป) ที่นี่ทุเรียน มะม่วง ขนุน ผลไม้เขตร้อน น่าจะถือว่าเป็นของมีราคานะ จากที่เห็นทุเรียนเกือบเละ สองพูน้อยๆ ราคา 40-50 HKD หรือ 160-170 กว่าบาท ส่วนขนุนก็ถูกลงมาหน่อย มิน่าเวลาเค้ามาเมืองไทย จะโอ้โห้เฮะ กับผลไม้มากๆ ก็ทั้งถูกและดีนี่นา
++ถ้าลองเดินไปตรงฝั่งที่มันติดกับอ่าว ที่เป็นกระจกใสจะมองเห็นวิวสวยๆ มีเรือเทียบท่า ยิ่งใกล้เย็นๆ นะแสงสวยมาก ใครอยากถ่ายรูปมันจะมีชั้นนึงที่เป็นระเบียงยื่นออกไป ให้ถ่ายรูปสวยๆ ได้ ไม่มีกระจกบัง++
Avenue of Stars: พอได้เวลา ประมาณหกโมงกว่า ก็เลยออกจาก Harbour City ทางเดิมที่เข้ามา เพื่อจะไปจับจองที่นั่งดู Symphony of Lights ออกมาเลี้ยวขวา เดินตรงไปเรื่อยๆ จะผ่าน 1881 Heritage ด้วย (เป็นห้างที่เน้นสถาปัตยกรรมหรูหรา คนชอบไปถ่ายรูป แต่ไม่ค่อยซื้อหรอก) เดินไปเรื่อยๆ จนถึงแยกใหญ่ๆ จะเห็นหอนาฬิกาอยู่ฝั่งตรงข้าม ก็ข้ามถนนไปโลด ก็ถึงแล้วววว ตอนไปมีจัดแสดงโคมไฟสวยๆ รูปต่างๆ (ตอนนี้โดนไต้ฝุ่นซัดกระจายหมดเลย) ลมเย็นๆ เดินไปเรื่อยๆ ซักพักก็ขึ้นไปชั้นสอง ตรงระเบียงอ่าว จะมีที่ให้นั่งรอดูโชว์อยู่ เราโชคดีไปถึงเร็ว ก็เลยถือโอกาสนั่งพักเท้า ถ่ายรูปเล่น
พอใกล้ๆ เวลาจะมีเสียงประกาศบอกเป็นระยะๆ ว่าเหลืออีกกี่นาที โชว์จะเริ่ม วันที่เราไปเป็นวันที่เค้าจะบรรยายโชว์เป็นภาษาจีน (จะมีเวียนๆกันไป) พอเริ่มก็จะมีเพลง แสงสีตามตึกฝั่งตรงข้าม โชว์จะเริ่มด้วยการแนะนำตึก พอพูดถึงตึกไหน ไฟตึกนั้นก็จะกระพริบรับ จากนั้นก็จะแสดงไปเรื่อยๆ ตามเพลง (ทั้งโชว์ประมาณ 15 นาที) ส่วนตัวก็เฉยๆ นะ รู้สึกว่ามันเห็นไม่ค่อยชัดหรือไงไม่รู้ อย่างพวกเลเซอร์ที่ยิงๆ ก็ดูจางๆ บางๆ (อาจจะเป็นเพราะสภาพอากาศมั้ง) แต่ไหนๆ ไปถึงฮ่องกงทั้งที ก็ต้องไปดูหน่อยล่ะ
++แล้วแล้วก็จบวันแรก กลับโรงแรม เตรียมตัวไป Disneyland ต่อวันรุ่งขึ้น++
[CR] เที่ยวฮ่องกง ชิมไปเรื่อย/window shop/บอกเล่าวิถีฮ่องกงในมุมมองเรา
เพิ่งกลับมาเมื่อวานนี้ตอนเที่ยงคืนกว่า ซึ่งมาอ่านข่าวเพิ่งรู้ว่าไต้ฝุ่นเข้าฮ่องกง (วันที่ 16) พอดูรายละเอียด ในขณะที่เราอยู่บนเครื่อง เค้าประกาศเป็น Level 8 แล้วจ้าาา ตอนนั่งอยู่บนเครื่องก็เสียวๆ เพราะสัญญาณให้รัดเข็มขัดเดี๋ยวดับ เดี๋ยวติดตลอด แล้วเครื่องสั่นมาก (ตอนนั้นทำไรไม่ได้นี่ นั่งนึกถึงเจ้าแม่ทับทิมที่ห้อยติดตัวอย่างเดียวเลย )
เกริ่นมาเยอะแล้ว ขอบอกรายละเอียดคร่าวๆ ของทริปนี้ก่อนนะ
-ระยะเวลา: 4 คืน 5 วัน
-งบประมาณ: (เอาจริงๆ จำค่าตั๋วไม่ค่อยได้ เพราะจองตั้งแต่ต้นปีที่มีโปรของ Air Asia) รวมๆ แล้วน่าจะ 30-35K มั้ง รวมค่ากิน โรงแรม เที่ยว ตั๋วต่างๆ
-เป้าหมาย: เพราะคราวที่แล้วไปพวก A must ไปแล้ว คราวนี้เลยลองหาอะไรที่แบบ local หรือพวกของกินที่ต้องไปลอง (เน้นชิม) และไปมองหาโค้ท รองเท้า เสื้อผ้าสำหรับหน้าหนาว แต่ก็มีไปซ้ำบางที่นะอย่าง Disneyland ++ความชอบส่วนตัวอยากกลับไปเก็บให้ครบ++
ขอเริ่มด้วย Day 1 เลยแล้วกัน
(City Gate Outlet, Hotel Check-in, Harbour City, Avenue of Star)
++ขอเล่าเรื่องเที่ยวก่อน ส่วนเรื่องวิถีชีวิตจะสอดแทรกบ้าง แต่จะรวมเป็นเกร็ดไว้ตอนท้ายนะเจ้าาาา++
Flight: เราตั้งใจจองไฟลท์เช้า เพราะไปถึงจะได้ยังมีเวลาเที่ยว ไฟลท์ที่จองออก 6.30 a.m. ไปถึงฮ่องกงก็ประมาณ 10 โมงกว่าเกือบ 11 โมง (เวลาฮ่องกง) ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ ไปถึงก็ซื้อ Octopus Card เลย เพราะต้องใช้อยู่แล้ว (แนะนำสำหรับคนที่ยังไม่เคยไปเลย เพราะร้านอาหารส่วนใหญ่, 7-11, Mc สามารถแตะบัตรนี้จ่ายได้เลยนะเออ)
ตอนไปถึงคนยังไม่เยอะมาก เดินไปเอากระเป๋าแบบชิลๆ ได้เลย
City Gate Outlet: จากนั้นเราเลือกที่จะไปเดินดูของที่ City Gate Outlet ก่อน เพื่อเช็คราคา ถ้าถูกจริงวันสุดท้ายกะจะกลับมาเก็บตกที่นี่อีกครั้ง เพราะใกล้สนามบิน จากสนามบินเดินออกมาตามทางเลย จะเห็นป้ายบอกว่าไป Bus Terminal ก็ดิ่งไปเลยจ้ะ แล้วก็นั่งสาย S1 ไปลงป้าย City Gate Outlet (บนรถจะมีป้ายไฟมีตัววิ่งบอกสถานีต่อไป จำไม่ได้ว่าบนรถมันขึ้นว่า City Gate หรือ Tung Chung Station แต่ทั้งสองที่คือป้ายเดียวกัน ป้ายนี้คนลงเยอะ ไม่ต้องห่วง) จากสนามบินมาที่นี่ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีไม่เกิน
มาถึงดิ่งไปดูร้านที่มีเสื้อโค้ทก่อน ปรากฎเจอร้านแรกเข้าไปถึงกับติด stun แปป (ชื่อร้านแนวฝรั่งเศส ขึ้นด้วยตัว M จำไม่ได้ว่าร้านอะไร เพราะเดินออกมาเร็วมาก) คือเห็นแล้ว อุ้ย! โดนใจ เปิดราคามาหมื่นกว่าเหรียญ คิดเป็นเงินไทยก็สี่หมื่นกว่า เลยสอดป้ายกลับเข้าไปที่เดิม แล้วเดินออกมาอย่างตัวเล็กๆ ++มีสายตาพนักงานมองส่ง เพราะเข้าไปแล้วออกมาเร็วมาก++
**City Gate Outlet ตามความเห็นเราเหมาะสำหรับคนที่ชอบแบรนด์แบบ High-end มากๆ อ่ะ คือสำหรับคนใช้แบรนด์เนมอยู่แล้ว มาที่นี่อาจจะว่าถูก แต่เราปกติใช้แต่ของตลาดนัด ธรรมดาๆ เจอราคาระดับนี้เข้าไป ผ้าเช็ดปากยังซื้อไม่ได้เลยมั้ง แต่ถ้าเป็นพวกรองเท้ากีฬา เสื้อผ้าแบบ sports (พวก Nike, Puma, Quick Silver ทั้งหลาย) อันนี้ราคาพอรับได้อยู่ตามสมควร (อยากรู้มีร้านอะไรบ้างลองดู ที่นี่ นะ)
++เพราะไปถึงเร็ว แต่โรงแรมให้เช็คอินได้บ่ายสอง เลยเดินอยู่ในนั้นแหละ วนไป วนมา แต่ซื้ออะไรไม่ได้เลย อิๆ พอได้เวลาก็ออกมา เตรียมไปโรงแรมต่อ++
Hotel Check-in: โรงแรม M1 ที่เราเลือกอยู่ย่าน Yau Ma Tei ซึ่งถือว่าทำเลดี เพราะใกล้ย่าน Tsim Sha Tsui, Mongkok แหล่งของกิน ตลาด และร้านต่างๆ แล้วแถว Yau Ma Tei เองก็มีร้าน มีของกินสะดวกสบายอยู่ เรานั่ง MTR Tung Chung ไปลง Lai King (ใช้เวลาประมาณ 20 นาที) แล้วก็เปลี่ยนสายไป Tsuen Wan หรือสายสีแดงเพื่อไปลงสถานี Yau Ma Tei (ประมาณ 13 นาที) รวมๆ แล้วประมาณ 30 นาที มาถึงสถานีก็พอดีใกล้ๆ เวลาเช็คอิน
โรงแรม M1 ให้เลือก Exit C เราว่าใกล้สุด ขึ้นมาถึงให้หันขวาจะเห็นร้าน Bonjour แล้วเลี้ยวซ้ายเป็นซอยเล็กๆ มีสามแยก ซ้ายมือจะสังเกตว่ามีร้านมินิมาร์ท Circle K กับร้านอาหารไทย อัมพวาอยู่ แต่ให้เราเลี้ยวขวา เดินไปไม่ไกล (ช่วงกลางวันร้านที่เดินผ่าน ขวามือจะปิดซะส่วนใหญ่ มีแต่ร้านทำโลงศพ!!! ที่เปิดกลางวัน กับร้านตัดผม ส่วนซ้ายมือจะเป็นสวนสาธารณะเล็กๆ ที่คนแก่ชอบมานั่งคุยกัน และรำไทเก๊กกันตอนเช้าๆ) เดินมาถึง โรงแรมจะอยู่ขวามือเรา จะเห็นป้ายโรงแรมชัดเจนเลย
**โรงแรมนี้ระดับ 3 ดาว ถือว่าโอเคเลยนะ แต่งสไตล์ modern ใช้กระจก อลูมิเนียม หรือพวกหินเงาๆ ทำให้ดูโปร่ง และหรู เน้นโทนสีดำ ขาว เทา
เราจองผ่าน booking.com ตอนมันมีโปรพอดี พัก 3 คืนขึ้นไป แถม 1 คืน (เราพัก 4 คืนพอดี) เลยประหยัดไปได้คืนนึง ราคาประมาณ 11xxx บาท/ 4 คืน รวมค่าอาหารเช้าแล้ว มีน้ำอุ่น Wi-Fi ให้ โทรทัศน์จอใหญ่ (ดูแต่ช่อง Pearl เพราะช่องอื่นเป็น Cantonese หมด ฟังไม่ออกง่ะ)
++หลังจากเก็บของเรียบร้อย ก็ได้เวลาไป Harbour City ต่อ ที่นี่ไฮไลท์เราอยู่ที่ร้าน Donguri Republic ร้านสำหรับสาวก Ghibli Studio มีโตโตโร่ตัวใหญ่เบิ้มอยู่หน้าร้าน++
Harbour City: อยู่ย่าน Tsim Sha Tsui ใกล้ๆ กับ Avenue of Stars เดินดูของฆ่าเวลา รอไปดู Symphony of Lights ตอนสองทุ่มได้เลย
จาก Yau Ma Tei นั่งสาย Tsuen Wan ไปลง Tsim Sha Tsui (เลือกทางออก A1 Jamia Islamic) ออกมานอกสถานีปั๊ป หันขวาเลย เดินสอง สามก้าวจะเจอถนนแล้วเลี้ยวขวาอีก (มีป้ายบอกทางอยู่ตรงนี้) จากตรงนี้เดินตรงไปยาวๆ เลย จะผ่านสวนสาธารณะเกาลูนด้วยถ้าจำไม่ผิด (ไม่ได้ขึ้นไปดู) เดินต่อไปอีก พอเจอถนนอีกให้ข้ามถนนเลย จะเห็นทางเข้าห้างอยู่ มีป้าย Harbour City ชัดเจน (ห้างนี้จะมีการแบ่งเป็นปีกๆ มีชื่อเรียกอย่าง Ocean Terminal, Gateway Arcade, Star Annex, LCX แนะนำเข้าไปถึงคว้าแผนที่ก่อนเลยค่ะ ตอนแพลนลองลิสต์ร้านที่อยากแวะ แล้วจดชั้น กับโซนมาด้วยก็ดีนะ มาถึงก็เดินหาตามนั้นเลย ไม่งั้นจะงงได้)
Donguri Republic (L3, Ocean Terminal): ร้านนี้โดนใจมากกกก ทุกอย่างน่ารักหมด (ของในร้านตอนไปจะเน้นพวกโตโตโร่ Kiki Spirited Away) เดินถ่ายรูปของ ดูของเพลินมากๆ ++ซื้อของเล็กๆ ติดมือกลับมาด้วย อดไม่ได้ อิๆ++
Page One (L3, Gateway Arcade): ร้านหนังสือ และเครื่องเขียน มีของเล่นหรือพวกของไอเดียๆ เก๋ๆ แนว Loft บ้านเราด้วย ตอนไปหนังสือลดราคาเยอะมาก 50-70% มีทั้งหนังสือเก่า และใหม่ ใครชอบอ่านหนังสือ รับรองว่าร้านนี้ถูกใจ
Lock On (L3, Gateway Arcade): มีหลาย block เรียงกันเลย อยู่ใกล้กับร้านหนังสือนั่นแหละ ขายตั้งแต่เครื่องสำอางค์ กระเป๋าเป้ แว่นกันแดด ยันของกิ๊ฟช็อป เดินดูเพลินๆ ดีเหมือนกัน (แต่ไม่ซื้อ เพราะในหัวนี่คำนวณเป็นเงินไทยตลอดเลย กลับมานี่คิดเลขเก่งขึ้นนิดนึง)
Jean-Paul Hevin Chocolatier (L2, Ocean Terminal): คืออันนี้เดินผ่าน แล้วคุ้นๆ ว่าเคยอ่านรีวิวที่ไหนซักที่ บอกว่ามันเลอค่ามาก เลยเข้าไปด้อมๆ มองๆ มาการอง สุดท้ายก็สอยมาลองซัก 2 รสเป็นพิธี Dark Chocolate-Choco Pistachio (ชิ้นละตั้ง 26 เหรียญ หรือประมาณ 108 บาท!! *ก็บ้าจี้ซื้อกันไป) ปกติไม่เคยเข้าใจคนชอบกินมาการองเลย เพราะเคยกินแล้วรู้สึกมันหวานน้ำตาลอย่างเดียว ไม่รู้อร่อยตรงไหน? แต่พอลองกินอันนี้ บรรลุเลย ของจริงๆ มันอร่อยอย่างนี้นี่เอง คือหอม เข้มข้นมากกกกก รส pistachio ก็หอม มีเนื้อแน่นๆ ชัดเจน *Fin ปลื้มปริ่มอยู่ในใจ*
LADUREE (L3, Gateway Arcade): มาต่อกันที่มาการองอีกร้าน (นี่ไม่ได้อยู่ได้แพลนนะเนี่ย) เดินผ่านแล้วการตกแต่งร้านสะดุดตา เพราะเน้นสีพาสเทล มีกล่องๆ จัดเรียงสวยงาม แต่ถ้าไม่มองเข้าไป นึกว่าขายเครื่องสำอางค์ แล้วเอามาการองปลอมมาเรียงเสริมเก๋ๆ เราจัดมาลอง 3 ชิ้น (ราคาชิ้นละ 25 เหรียญ) Columbia Chocolate-หอม เข้มข้น รสขมกว่าร้านแรก Pistachio-แพ้ร้านแรก หวานไปหน่อย ไม่หอมด้วย Salted Caramel- อันนี้โอเคเลย หอมคาราเมล แล้วมีรสเค็มๆ มันๆ ถือว่าอร่อย
Honeymoon Dessert (L3, Gateway Arcade): แพนเค้กมะม่วง กับเต้าฮวยมะม่วง (ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร) ร้านอยู่ในโซน City Super ใกล้ๆ กับร้านหนังสือ Page One นั่นเลย เห็นเค้าว่าอร่อยกัน เลยจัดมาสองเมนูนั่นแหละ Mango pancake-แป้งบางดี เนียนๆ แต่ข้างในรู้สึกว่าครีมเยอะไปหน่อย เลี่ยนๆ (ปกติไม่ค่อยชอบกินครีม) แต่โดยรวมถือว่าโอเค มะม่วงชิ้นใหญ่อยู่ อีกอันเต้าฮวยมะม่วง-อันนี้น้ำที่เห็นก็คือน้ำมะม่วง กินเข้าไปคำแรกก็หอมน้ำดอกไม้นะ มะม่วงก็หวานใช้ได้ แต่ไอเต้าหู้ที่ใส่มาเยอะมากๆๆ คือกินอย่างอื่นจะหมดแล้ว เหลือเต้าหู้บานเลย แล้วมันจืดไง เลยกินเท่าที่กินได้
City Super: อันนี้เข้าไปโฉบๆ เล่น ข้างในก็ขายของสด ผลไม้ อาหารทั่วไปเหมือนบ้านเรา แต่ที่สะดุดคือเดินผ่านจุดนี้ กลิ่นทุเรียนผสมขนุนโชยมาเตะจมูกเลย (คือเอามาวางรวมกัน กลิ่นก็ผสมกันไป) ที่นี่ทุเรียน มะม่วง ขนุน ผลไม้เขตร้อน น่าจะถือว่าเป็นของมีราคานะ จากที่เห็นทุเรียนเกือบเละ สองพูน้อยๆ ราคา 40-50 HKD หรือ 160-170 กว่าบาท ส่วนขนุนก็ถูกลงมาหน่อย มิน่าเวลาเค้ามาเมืองไทย จะโอ้โห้เฮะ กับผลไม้มากๆ ก็ทั้งถูกและดีนี่นา
++ถ้าลองเดินไปตรงฝั่งที่มันติดกับอ่าว ที่เป็นกระจกใสจะมองเห็นวิวสวยๆ มีเรือเทียบท่า ยิ่งใกล้เย็นๆ นะแสงสวยมาก ใครอยากถ่ายรูปมันจะมีชั้นนึงที่เป็นระเบียงยื่นออกไป ให้ถ่ายรูปสวยๆ ได้ ไม่มีกระจกบัง++
Avenue of Stars: พอได้เวลา ประมาณหกโมงกว่า ก็เลยออกจาก Harbour City ทางเดิมที่เข้ามา เพื่อจะไปจับจองที่นั่งดู Symphony of Lights ออกมาเลี้ยวขวา เดินตรงไปเรื่อยๆ จะผ่าน 1881 Heritage ด้วย (เป็นห้างที่เน้นสถาปัตยกรรมหรูหรา คนชอบไปถ่ายรูป แต่ไม่ค่อยซื้อหรอก) เดินไปเรื่อยๆ จนถึงแยกใหญ่ๆ จะเห็นหอนาฬิกาอยู่ฝั่งตรงข้าม ก็ข้ามถนนไปโลด ก็ถึงแล้วววว ตอนไปมีจัดแสดงโคมไฟสวยๆ รูปต่างๆ (ตอนนี้โดนไต้ฝุ่นซัดกระจายหมดเลย) ลมเย็นๆ เดินไปเรื่อยๆ ซักพักก็ขึ้นไปชั้นสอง ตรงระเบียงอ่าว จะมีที่ให้นั่งรอดูโชว์อยู่ เราโชคดีไปถึงเร็ว ก็เลยถือโอกาสนั่งพักเท้า ถ่ายรูปเล่น
พอใกล้ๆ เวลาจะมีเสียงประกาศบอกเป็นระยะๆ ว่าเหลืออีกกี่นาที โชว์จะเริ่ม วันที่เราไปเป็นวันที่เค้าจะบรรยายโชว์เป็นภาษาจีน (จะมีเวียนๆกันไป) พอเริ่มก็จะมีเพลง แสงสีตามตึกฝั่งตรงข้าม โชว์จะเริ่มด้วยการแนะนำตึก พอพูดถึงตึกไหน ไฟตึกนั้นก็จะกระพริบรับ จากนั้นก็จะแสดงไปเรื่อยๆ ตามเพลง (ทั้งโชว์ประมาณ 15 นาที) ส่วนตัวก็เฉยๆ นะ รู้สึกว่ามันเห็นไม่ค่อยชัดหรือไงไม่รู้ อย่างพวกเลเซอร์ที่ยิงๆ ก็ดูจางๆ บางๆ (อาจจะเป็นเพราะสภาพอากาศมั้ง) แต่ไหนๆ ไปถึงฮ่องกงทั้งที ก็ต้องไปดูหน่อยล่ะ
++แล้วแล้วก็จบวันแรก กลับโรงแรม เตรียมตัวไป Disneyland ต่อวันรุ่งขึ้น++