สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่ากระทู้นี้เป็นกระทู้แรก (ในชีวิต) ที่ลองเขียน
ถ้าหากผิดตกบกพร่องประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
เริ่มเลยละกัน
เนื่องจากเมื่อปลายปีที่แล้วในเดือนตุลาคม ได้มีโอกาสไปสัมผัส ประเทศ 'แอฟริกาใต้' เป็นครั้งแรกเลยอยากจะนำประสบการณ์ดีๆมาแบ่งปันกันค่ะ
เชื่อหรือไม่ว่า คนไทยส่วนใหญ่ มักจะคิดว่าแอฟริกาใต้เป็น 'ทวีป' ซึ่งจริงๆแล้วแอฟริกาใต้เป็นชื่อประเทศ ซึ่งตั้งอยู่ใน ทวีป แอฟริกา
มีเมืองหลวงชื่อ 'โจฮันเนสเบิร์ก' (Johannesburg)
การเดินทางก็ออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ บินตรงโดย TG flight ประมาณ ตี 1 ใช้เวลาประมาณ 11 ชั่วโมงก็จะถึงเมือง โจฮันเนสเบิร์ก หรือ โจเบิร์ก ซึ่งเป็นชื่อสั้นๆที่คนที่นั่นเค้าเรียกกัน (ขออนุญาติเรียกเมือง โจเบิร์ก นะคะ) เครื่องจะถึงในตอนเช้าเวลาท้องถิ่น ประมาณ 7 โมงเช้าค่ะ
ค่าตั๋วเครื่องบินที่เครื่องบิน ไป-กลับ มีราคาตั้งแต่ 30k - 46k ค่ะแล้วแต่ช่วง โดยการบินไทยจะมีบินตรงเฉพาะวันพุธ และเสาร์ บางเวลา TG ก็มีโปรนะคะ
สายการบินอื่นต้องต่อเครื่อง เนื่องจากมีเวลาจำกัดเพราะลางานเลยเลือกที่จะบินตรงค่ะ
สกุลเงินที่ใช้จะเป็นเงิน แรน ค่ะ 1แรน = 3 บาทโดยประมาณ
พอไปถึงที่สนามบิน ถ้าถือ Thai passport เราไม่ต้องใช้วีซ่าค่ะ สามารถอยู่ได้ 30 วัน
ประเทศ แอฟริกาใต้ นั้น ไม่ได้มีแต่เพียงคนผิวเข้มเท่านั้นนะคะ คนท้องถิ่นจะเป็นคนผิวดำ แต่จริงๆแล้วประเทศนี้มีคนขาวเยอะ เพราะว่าในสมัยสงครามโลก คนผิวขาวหนีสงครามมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ ฉะนั้นความเป็นอยู่จึงไม่ค่อยต่างจากฝั่งยุโรป เพียงแต่ว่าเมืองเค้าจะค่อนข้างเป็นแบบใหม่กว่าค่ะ
คือตึกรามบ้านช่องจะไม่เก่าและ คลาสิคเหมือนทางยุโรป ส่วนเรื่องชนชาติยังคงมีการเหยียดสีแบ่งชนชั้นกันค่อนข้างชัดเจน (ดีนะที่เราไม่ขาว/ดำ เหลืองแบบเนียนๆ
)
เนื่องจากทริปนี้ตอนอยู่ที่เมือง โจเบิร์ก กล้องเจ้ากรรมดันพังเลยไม่ได้ถ่ายรูปรอบๆเมืองเท่าไหร่ เพราะอยู่แค่ไม่กี่วันจากนั้นก็ออกเดินทางไปยัง เมืองอื่นๆ
พอเราออกจากสนามบินมา ค่อนข้างตกใจกับรั้วบ้านที่นี่มากเพราะเป็นรั้วไฟฟ้า ถ้าปีนก็ช็อตกันตายไปข้างนึง เลยถามแฟนว่าทำไมต้องเป็นรั้วไฟฟ้า เค้าเลยบอกว่าประเทศนี้อาชญากรรมค่อนข้างสูง บ้านส่วนใหญ่ในโจเบิร์กเลยต้องมีรั้วไฟฟ้ากับสัญญาณกันขโมยแล้วก็ CCTV (เท่าที่เห็นไม่เรียกว่าส่วนใหญ่นะ เรียกได้ว่าทุกหลังเลยค่ะ อุแม่เจ้า! นี่มันคุกชัดๆ)
ถ่ายรูปตัวบ้านมาโชว์นิดนึง
เหล็กดัดจัดเต็มฮ่าๆ
ในวงกลมสีแดงๆนั่นแหละค่ะ เป็นรั้วไฟฟ้ากันปีน
เนื่องจากครั้งนี้จะมีรูปภาพของเมืองอื่นให้ดู ข้างล่าง X สีแดงคือเมืองที่เดินทางไปค่ะ
เริ่มออกเดินทางจาก โจเบิร์กโดยรถยนต์
ระหว่างทางรอบๆก็จะเห็นเป็นวิวแบบนี้ค่ะ เนื่องจากช่วงที่ไปเป็นช่วงปลายหนาวเข้าหน้าร้อน
ต้นไม้ใบหญ้าเลยยังไม่ค่อยเขียวในพื้นที่นี้ค่ะ
เรียกได้ว่าเหลืองแบบสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว
ขับไปเรื่อยๆก็จะมีร้าน Farm Stall ซึ่งเป็นร้านที่สามารถแวะพักดื่มกาแฟได้ค่ะ
อย่างที่บอกว่ากล้องเจ้ากรรมยังไม่พร้อม ตอนนี้เลยต้องถ่ายด้วยมือถือไปพลางๆก่อน พอเข้าเมืองก็พากล้องไปหาหมอ แล้วจะมีรูปสวยๆ เพิ่มขึ้นค่ะ
นั่งจิบกาแฟเบาๆ
ร้านน่ารักดีนะคะ
แล้วก็ออกเดินทางต่อ
มุ่งหน้าสู่เมือง Kenton on sea เป็นเมืองเล็กๆอยู่ติดทะเลค่ะ เหมือนปากน้ำบ้านเรา เพราะเป็นเมืองที่แม่น้ำไหลลงสู่ทะเล เมืองนี้คนส่วนใหญ่จะซื้อบ้านไว้เป็น Holiday’s house ค่ะ
ในช่วง Christmas หรือ ปีใหม่เมืองนี้จะมีคนเยอะ ร้านอาหารเกือบทุกร้านก็จะเต็มหมด ถ้ามาในช่วงอื่น ที่ไม่ได้เป็นช่วงวันหยุดของที่นี่เมื่องนี้ก็จะโล่ง..... ร้านบางร้านก็จะปิดทำการค่ะ ในเมืองยังไม่ค่อยมีรูปแค่เดี๋ยวปีนี้จะไปอีกแล้วจะถ่ายมาให้ดูนะคะ
ถ่ายจากระเบียงบ้านค่ะ
จากนั้นตอนเย็นก็ออกไปทานข้าวร้านแถวๆบ้านเป็นร้านเล็กๆค่ะ
เมนู
ราคาก็ไม่แพงนะคะ เสต็กแกะตกจานละ 270 บาท
ตามด้วย ขนมปังกระเทียม และ พิซซ่า (พิซซ่าที่นี่อร่อยมากกกก)
เช้าวันรุ่งขึ้น ออก ‘เดิน’ ทาง เรียกว่าเดินจริงๆ เพราะเดินออกจากบ้านแล้วก็เดินขึ้นเขา ไปที่หาด แล้วก็เดิน เลาะหาดไปเรื่อยๆ (เหนื่อยโฮก) เดินเพื่อชมวิว แล้วก็ไปทางอาหารเช้าค่ะ เนื่องจากหาดบางหาดจะไม่มีถนน ต้องเดินลูกเดียว อากาศก็สบายๆค่ะ 14*C เนื่องจากตอนเช้ามีแดดออกเลยไม่หนาวเท่าไหร่
เริ่มเห็นทะเลแล้ว
ในที่สุด
ร้านอาหารเช้า ในที่สุดก็ถึงซะที
คนนำทาง อิอิ
เดี๋ยวขอมาต่อนะคะ งานเข้า!
[CR] ตะลุยแอฟริกาใต้ มันมีอะไรมากกว่าที่คุณคิด
ถ้าหากผิดตกบกพร่องประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
เริ่มเลยละกัน
เนื่องจากเมื่อปลายปีที่แล้วในเดือนตุลาคม ได้มีโอกาสไปสัมผัส ประเทศ 'แอฟริกาใต้' เป็นครั้งแรกเลยอยากจะนำประสบการณ์ดีๆมาแบ่งปันกันค่ะ
เชื่อหรือไม่ว่า คนไทยส่วนใหญ่ มักจะคิดว่าแอฟริกาใต้เป็น 'ทวีป' ซึ่งจริงๆแล้วแอฟริกาใต้เป็นชื่อประเทศ ซึ่งตั้งอยู่ใน ทวีป แอฟริกา
มีเมืองหลวงชื่อ 'โจฮันเนสเบิร์ก' (Johannesburg)
การเดินทางก็ออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ บินตรงโดย TG flight ประมาณ ตี 1 ใช้เวลาประมาณ 11 ชั่วโมงก็จะถึงเมือง โจฮันเนสเบิร์ก หรือ โจเบิร์ก ซึ่งเป็นชื่อสั้นๆที่คนที่นั่นเค้าเรียกกัน (ขออนุญาติเรียกเมือง โจเบิร์ก นะคะ) เครื่องจะถึงในตอนเช้าเวลาท้องถิ่น ประมาณ 7 โมงเช้าค่ะ
ค่าตั๋วเครื่องบินที่เครื่องบิน ไป-กลับ มีราคาตั้งแต่ 30k - 46k ค่ะแล้วแต่ช่วง โดยการบินไทยจะมีบินตรงเฉพาะวันพุธ และเสาร์ บางเวลา TG ก็มีโปรนะคะ
สายการบินอื่นต้องต่อเครื่อง เนื่องจากมีเวลาจำกัดเพราะลางานเลยเลือกที่จะบินตรงค่ะ
สกุลเงินที่ใช้จะเป็นเงิน แรน ค่ะ 1แรน = 3 บาทโดยประมาณ
พอไปถึงที่สนามบิน ถ้าถือ Thai passport เราไม่ต้องใช้วีซ่าค่ะ สามารถอยู่ได้ 30 วัน
ประเทศ แอฟริกาใต้ นั้น ไม่ได้มีแต่เพียงคนผิวเข้มเท่านั้นนะคะ คนท้องถิ่นจะเป็นคนผิวดำ แต่จริงๆแล้วประเทศนี้มีคนขาวเยอะ เพราะว่าในสมัยสงครามโลก คนผิวขาวหนีสงครามมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ ฉะนั้นความเป็นอยู่จึงไม่ค่อยต่างจากฝั่งยุโรป เพียงแต่ว่าเมืองเค้าจะค่อนข้างเป็นแบบใหม่กว่าค่ะ
คือตึกรามบ้านช่องจะไม่เก่าและ คลาสิคเหมือนทางยุโรป ส่วนเรื่องชนชาติยังคงมีการเหยียดสีแบ่งชนชั้นกันค่อนข้างชัดเจน (ดีนะที่เราไม่ขาว/ดำ เหลืองแบบเนียนๆ)
เนื่องจากทริปนี้ตอนอยู่ที่เมือง โจเบิร์ก กล้องเจ้ากรรมดันพังเลยไม่ได้ถ่ายรูปรอบๆเมืองเท่าไหร่ เพราะอยู่แค่ไม่กี่วันจากนั้นก็ออกเดินทางไปยัง เมืองอื่นๆ
พอเราออกจากสนามบินมา ค่อนข้างตกใจกับรั้วบ้านที่นี่มากเพราะเป็นรั้วไฟฟ้า ถ้าปีนก็ช็อตกันตายไปข้างนึง เลยถามแฟนว่าทำไมต้องเป็นรั้วไฟฟ้า เค้าเลยบอกว่าประเทศนี้อาชญากรรมค่อนข้างสูง บ้านส่วนใหญ่ในโจเบิร์กเลยต้องมีรั้วไฟฟ้ากับสัญญาณกันขโมยแล้วก็ CCTV (เท่าที่เห็นไม่เรียกว่าส่วนใหญ่นะ เรียกได้ว่าทุกหลังเลยค่ะ อุแม่เจ้า! นี่มันคุกชัดๆ)
ถ่ายรูปตัวบ้านมาโชว์นิดนึง
เหล็กดัดจัดเต็มฮ่าๆ
ในวงกลมสีแดงๆนั่นแหละค่ะ เป็นรั้วไฟฟ้ากันปีน
เนื่องจากครั้งนี้จะมีรูปภาพของเมืองอื่นให้ดู ข้างล่าง X สีแดงคือเมืองที่เดินทางไปค่ะ
เริ่มออกเดินทางจาก โจเบิร์กโดยรถยนต์
ระหว่างทางรอบๆก็จะเห็นเป็นวิวแบบนี้ค่ะ เนื่องจากช่วงที่ไปเป็นช่วงปลายหนาวเข้าหน้าร้อน
ต้นไม้ใบหญ้าเลยยังไม่ค่อยเขียวในพื้นที่นี้ค่ะ
เรียกได้ว่าเหลืองแบบสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว
ขับไปเรื่อยๆก็จะมีร้าน Farm Stall ซึ่งเป็นร้านที่สามารถแวะพักดื่มกาแฟได้ค่ะ
อย่างที่บอกว่ากล้องเจ้ากรรมยังไม่พร้อม ตอนนี้เลยต้องถ่ายด้วยมือถือไปพลางๆก่อน พอเข้าเมืองก็พากล้องไปหาหมอ แล้วจะมีรูปสวยๆ เพิ่มขึ้นค่ะ
นั่งจิบกาแฟเบาๆ
ร้านน่ารักดีนะคะ
แล้วก็ออกเดินทางต่อ
มุ่งหน้าสู่เมือง Kenton on sea เป็นเมืองเล็กๆอยู่ติดทะเลค่ะ เหมือนปากน้ำบ้านเรา เพราะเป็นเมืองที่แม่น้ำไหลลงสู่ทะเล เมืองนี้คนส่วนใหญ่จะซื้อบ้านไว้เป็น Holiday’s house ค่ะ
ในช่วง Christmas หรือ ปีใหม่เมืองนี้จะมีคนเยอะ ร้านอาหารเกือบทุกร้านก็จะเต็มหมด ถ้ามาในช่วงอื่น ที่ไม่ได้เป็นช่วงวันหยุดของที่นี่เมื่องนี้ก็จะโล่ง..... ร้านบางร้านก็จะปิดทำการค่ะ ในเมืองยังไม่ค่อยมีรูปแค่เดี๋ยวปีนี้จะไปอีกแล้วจะถ่ายมาให้ดูนะคะ
ถ่ายจากระเบียงบ้านค่ะ
จากนั้นตอนเย็นก็ออกไปทานข้าวร้านแถวๆบ้านเป็นร้านเล็กๆค่ะ
เมนู
ราคาก็ไม่แพงนะคะ เสต็กแกะตกจานละ 270 บาท
ตามด้วย ขนมปังกระเทียม และ พิซซ่า (พิซซ่าที่นี่อร่อยมากกกก)
เช้าวันรุ่งขึ้น ออก ‘เดิน’ ทาง เรียกว่าเดินจริงๆ เพราะเดินออกจากบ้านแล้วก็เดินขึ้นเขา ไปที่หาด แล้วก็เดิน เลาะหาดไปเรื่อยๆ (เหนื่อยโฮก) เดินเพื่อชมวิว แล้วก็ไปทางอาหารเช้าค่ะ เนื่องจากหาดบางหาดจะไม่มีถนน ต้องเดินลูกเดียว อากาศก็สบายๆค่ะ 14*C เนื่องจากตอนเช้ามีแดดออกเลยไม่หนาวเท่าไหร่
เริ่มเห็นทะเลแล้ว
ในที่สุด
ร้านอาหารเช้า ในที่สุดก็ถึงซะที
คนนำทาง อิอิ
เดี๋ยวขอมาต่อนะคะ งานเข้า!