หากคุณเคยดูหนังรักแห่งสยาม ซึ่งวิเคราะห์ชีวิตและแง่มุมของเกย์คาทอลิกไว้ได้อย่างงดงามประทับใจมากๆ ในตอนจบที่โต้งบอกกับมิวว่า “ถึงเราจะเป็นแฟนมิวไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เราไม่ได้รักมิวนะ” แต่ในชีวิตจริง อาจไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป หากโต้งเลือกที่จะคบกับมิวต่อล่ะ? ซึ่งก็ผิดหลักของศาสนา ก็คงจะมีเรื่องราวที่คล้ายกับชีวิตของผม
ก่อนอื่นต้องขอเล่าว่าผมเอง เป็นคาทอลิกหรือคริสตังนอน รับศีลล้างบาปมาตั้งแต่แรกเกิด ผมเติบโตมาภายในบรรยากาศแบบคาทอลิก เรียนโรงเรียนคาทอลิก พ่อแม่ของผมรักผมมาก แต่ครอบครัวของผมเป็นลักษณะที่ฝ่ายแม่เป็นผู้นำ และพ่อแม่ทะเลาะกันบ่อยในตอนที่ผมเป็นเด็ก (ผมจึงไม่ได้สงสัยนัก ว่าทำไมผมจึงเป็นแต่ผมก็ไม่เคยคิดโทษพ่อแม่ของผมนะครับ) แต่เราทุกคนก็รักกันมาก ผมมีพี่น้องทั้งหมด 3 คน ผมเป็นลูกชายคนโต มีน้องสาว น้องชายอีกอย่างละคน ตอนนี้ผมก็อายุประมาณ 30 กว่าๆ ได้ เมื่อผมอายุ 7 ขวบ คุณพ่อ (บาทหลวง) ฝรั่งที่โรงเรียนรักผมมาก วันหนึ่งท่านพูดเป็นการส่วนตัวกับผมว่า เธอต้องไปวัดทุกวันอาทิตย์ แต่ไม่ใช่เท่านั้น เธอจะต้องพาพ่อกับแม่ของเธอมาด้วย มารู้จักกับพระเยซูเจ้าและแม่พระ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผมก็เป็นคนรักแม่พระมากตอนนั้นยังไม่รู้จักพระเยซูเจ้าดีนักด้วยซ้ำหลังจากนั้นก็ชวนแม่เข้าวัดตลอด จากแม่ผมที่เฉยๆ เดี๋ยวนี้เป็นคนที่ศรัทธามาก ไปวัดทุกวันอาทิตย์ และสวดภาวนาสม่ำเสมอ มีความรักศรัทธาในพระเยซูเจ้าและแม่พระมาก เมื่อยังเด็ก ผมยังไม่รู้จักเรื่องทางเพศเลย ผมก็เป็นเด็กที่ตั้งใจเรียน เพราะผมรักแม่ของผมมาก ผมจึงเรียนเก่ง ได้เป็นที่หนึ่งของชั้นเสมอๆพอม.ปลายนี่แหละที่ผมจะเริ่มรู้สึกแล้วว่าผมมีความเบี่ยงเบนนะ แต่ก็ยังไม่ชัดเจนอะไรมาก ด้วยความที่ต้องการจะเลี้ยงดูพ่อแม่ในยามแก่ชรา ผมจึงสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงได้ ในระหว่างที่เรียนม.ปลายจนถึงมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง เนื่องจากผมเป็นคนที่หน้าตาค่อนข้างดี (แหะๆ) จึงมีคนเข้ามาหาเยอะ ผมเคยลองคบกับผู้หญิงซึ่งสวยระดับเป็นดาวคณะเลยทีเดียว (ตอนนี้เธอก็แต่งงานมีลูกแล้วนะครับ แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน) แต่ไปไม่รอดนะ เพราะว่าผมไม่มีความรู้สึกอะไรกับเธอเลย แม้จะพยายามแล้วพยายามอีก ผมเป็นคนขอเลิก โดยใช้เหตุผลว่า ผมยังไม่แน่ในตนเอง ยังสับสนอยู่ ผมขอย้ำนะครับ ว่า ผมได้ใช้ความพยายามแล้วจริงๆ แต่มันเปลี่ยนแปลงความรู้สึกไม่ได้ และผมก็จะไม่โกหกตัวเองนะครับ
เอาล่ะ พอปี 4 ผมก็ได้รู้จักกับรุ่นพี่คนหนึ่ง เป็นอาจารย์หน้าตาดีอายุมากกว่าผม 12 ปี เราก็เริ่มชอบกันและคบกัน ช่วงแรกๆ ผมก็ไม่สบายใจ แต่ผมก็ไม่สามารถฝืนใจของตนเองได้ วันเวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆที่สุด วันหนึ่ง หลังจากคบกันมาได้ 10 ปี เมื่อผมเรียนจบ มีหน้าที่การงานที่มั่นคง ผมเล่าเรื่องของผมให้แม่กับน้องสาวของผมฟัง ทุกคนก็ยอมรับได้แม่ของผมก็ยังรักผมมากที่สุดเหมือนเดิม แต่ในใจของผมก็เสียใจลึกๆ เสมอที่ไม่สามารถแต่งงานมีหลานให้แม่ได้ ทุกวันนี้ชีวิตผมมีความสุขมาก แต่มันก็จะติดปัญหาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ก็คือเรื่องที่ผมเป็นเกย์ และก็ใช้ชีวิตอย่างเกย์นี่แหละครับ ถ้าไม่นับเรื่องนี้แล้ว ผมคิดว่า ผมก็เป็นคนดีคนหนึ่งนะครับ ผมรักเพื่อนพี่น้อง ชอบช่วยเหลือคนอื่น ผมก็ได้พยายามเป็นลูกที่ดีของพระองค์นะครับ กับแฟนของผมเราอยู่กันเหมือนคู่ที่แต่งงานกันจริงๆ ช่วยกันในหลายๆ เรื่อง ไปกินข้าวกัน เรารักกันจนวันนี้ก็คบกันมา 13 ปีแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมเป็นสิ่งที่ดีมากจริงๆ ผมรู้สึกได้อยู่เสมอว่า พระเจ้าทรงรักผมมาก หากมันเป็นการสาปแช่งหรือว่าเป็นบาปเป็นการลงโทษจากพระเจ้า แต่ทำไมชีวิตผมมีความสุขมาก ผมมีแฟนที่น่ารัก มีครอบครัวที่เข้าใจ ครอบครัวแฟนก็รักผมเหมือนลูกจริงๆ มีการงานที่มั่นคง สวดวอนขออะไรจากแม่พระก็มักจะได้รับเสมอๆ จนบางครั้งผมยังเคยคิดเล่นๆ เลยว่า การที่ชีวิตผมดีเช่นนี้ อาจเป็นไปได้มั้ยว่า พระเจ้าทรงเห็นว่าผมมีข้อบกพร่องตรงนี้ แต่ก็แก้ไม่ได้ และผมก็ได้พยายามทำตัวเป็นลูกที่ดีของพระองค์ จึงทรงสงสารและส่งแฟนคนนี้มาให้ผมและก็ให้มีชีวิตในแบบนี้ พูดเล่นๆ นะครับ แต่ว่า คิดจริงๆ นะ
และนี่ คือบทสรุปความคิดของผมนะครับ
1.มีคนบอกว่า การเป็นเกย์นั้น เป็นบาป เป็นการทดลองอย่างหนึ่ง เสมือนกับการติดเหล้าแล้วให้เลิกเป็นเกย์ เหมือนกับพยายามเลิกเหล้านั้น ผมขอยืนยันนะครับ ว่ามันไม่เหมือนกัน
เพื่อนที่มองว่า ทำไมถึงไม่สวดภาวนามากๆ ขอพระสิ (ถ้าเป็นเพื่อคริสเตียนก็จะบอกว่า สวดขอพระวิญญาณบริสุทธิ์สิ) แล้วเราก็จะเลิกได้ ผมก็ขอขอบคุณมากๆ ถ้าผมเป็นคุณผมก็คงจะบอกเพื่อนแบบนี้เช่นกันนะครับ แต่ในเมื่อมันเป็นชีวิตจริงของผม ผมอยากจะเล่าว่า มันไม่เหมือนกันจริงๆ นะครับ ขอย้ำว่า ไม่เหมือนจริงๆ หากจะให้เลิกนั้น ก็เสมือนกับให้คนปกติหันกลับมารักเพศเดียวกันนั่นแหละ มันทำไม่ได้หรอก และหากมันทำได้จริงๆ ผมว่า ผมก็เป็นคนหนึ่งที่รักพระเยซูเจ้าและแม่พระมากๆ ผมก็น่าจะเป็นคนหนึ่งที่ทำได้ไปแล้วล่ะ แหม. . .ชีวิตนิรันดร ใครล่ะจะไม่อยากได้ และการแต่งงานมีครอบครัวนั้น เป็นของขวัญล้ำค่าจากพระเจ้า ใครๆ ก็อยากมีนะครับ ส่วนเพื่อนที่บอกว่ามีคนที่สวดภาวนาแล้วก็เปลี่ยนใจไปแต่งงานกับผู้หญิงได้ ผมก็ยินดีกับเขาด้วยจริงๆ แต่ไม่ใช่มันจะทำได้ทุกคนนะครับ ตามความคิดผม ความรู้สึกมันเปลี่ยนไม่ได้นะครับ แต่ถ้ามันทำไม่ได้ แล้วมันต้องไปฝืน ผมก็เป็นคนหนึ่งที่จะไม่ฝืนความรู้สึกของตนเองนะครับ และอีกอย่าง ไม่มีใครอยากเป็นแบบนี้ คนที่เป็นแบบนี้เขาก็มีความทุกข์ในตัวเองอยู่แล้วนะครับหรือพูดง่ายๆ ว่า ถ้าเปลี่ยนกันได้จริงๆ คงไม่มีเกย์หลงเหลืออยู่หรอกครับ เพราะพวกเราเองก็ไม่ได้ชอบที่จะเป็นแบบนี้ และสุดท้ายเลยนะ หากแต่งงานไปจริงๆ ผู้หญิงจะมีความสุขหรอครับ
2.พระเยซูเจ้าทรงคิดอย่างไรกับคนที่รักเพศเดียวกันนะ
การตำหนิพฤติกรรมรักร่วมเพศนั้น ชัดเจนในพระธรรมเก่า (+ในจดหมายของนักบุญเปาโลที่กล่าวว่าคนกลุ่มนี้จะไม่ได้เข้าพระอาณาจักร)ผมคิดเองดูว่า หากบาปจากการที่รักเพศเดียวกันนี้มันร้ายแรงจริงๆ ถึงขนาดที่พระเจ้าทรงทำลายเมืองโสดมและเมืองโกโมราห์นั้น(ซึ่งผู้ที่ศึกษาจริงๆ จะรู้ดีว่า ยังมีเหตุผลอื่นอีกที่เป็นสาเหตุได้นอกจากประเด็นรักร่วมเพศ) เหตุใดพระเยซูเจ้าจึงไม่ทรงตรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้ในพระธรรมใหม่เลย ในเรื่องที่อาจจะเป็นความหวังของคนกลุ่มนี้นั้น ก็มาจากพระวรสารเรื่องพระเยซูเจ้ารักษาบ่าวของนายร้อยทหารโรมัน (มธ 8:5-13 และ ลก 7:1-10) ซึ่งมีนักตีความพระคัมภีร์ในตอนนี้ว่า นายร้อยกับบ่าวชายของเขาอาจเป็นคนรักกัน แต่เราก็ไม่เห็นท่าทีของพระเยซูเจ้าที่จะตำหนิเขา ซึ่งจริงๆ เรื่องของการรักร่วมเพศนั้นก็มีมาตั้งแต่สมัยของพระเยซูเจ้าแล้ว หากสันนิษฐานนี้เป็นจริง ก็หมายความว่า พระเยซูเจ้าอาจจะทรงเคยเผชิญหน้าคนที่เป็นเกย์มาแล้วเราไม่รู้ว่าพระองค์ทรงคิดอย่างไรกับคนกลุ่มนี้ เรารู้เพียงแต่ว่าพระองค์ไม่ได้กล่าวประนามหรือแม้แต่จะกล่าวถึงวิถีชีวิตทางเพศของนายร้อยเลย หากแต่ทรงยกย่องความศรัทธาของนายร้อยว่า สูงส่งกว่าชาวยิวที่พระองค์เคยพบมา และทรงรักษาบ่าว(ซึ่งก็น่าจะเป็นคนรักของเขา) ให้หายเป็นปกติ สิ่งสำคัญสำหรับพระองค์และเป็นหัวใจหลักของศาสนาคริสต์ก็คือ “การรักผู้อื่นเหมือนรักตนเอง” เราจึงเรียนรู้จากเรื่องนี้ว่า พระเยซูเจ้าไม่ได้เลือกเอาวิถีชีวิตทางเพศมาเป็นเหตุผลในการเลือกปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ พระองค์ทรงรักมนุษย์ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
3.เป็นไปได้มั้ยที่การรักเพศเดียวกันนั้น จะเป็นเรื่องที่ถูกต้องมากขึ้นในยุคปัจจุบัน จะดีกว่าไหม ที่พระศาสนจักรเปลี่ยนจากคอยต่อต้าน กีดกันมาเป็นยอมรับพวกเขาและช่วยเหลือสนับสนุนให้พวกเขาอยู่ในหนทางของพระมากขึ้นเรื่อยๆ
ผมจึงยังมีความหวังตราบที่ผมยังมีลมหายใจว่าสักวัน เมื่อมีหลักฐานสนับสนุนมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า การที่คนเรารักเพศเดียวกันนั้น มีปัจจัยมาจากทางพันธุกรรม หรือจากการเลี้ยงดู ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะเลือกมาเป็นเอง แล้วคนทุกคนก็ต้องการที่จะได้รับความรักจะมีสักวันไหมที่มันจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องมากขึ้น จะมีสักวันไหมที่พระศาสนจักรยอมผ่อนปรนเรื่องเหล่านี้ลงบ้าง ซึ่งผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะทรงงานของพระสันตะปาปาที่พระองค์จะต้องทรงสะสางผมเองคิดว่า หากพระศาสนจักรเปลี่ยนท่าทีจากต่อต้าน รังเกียจและกีดกัดพวกที่รักเพศเดียวกัน มาเป็นทำอย่างไรเพื่อช่วยพวกเขาประพฤติตัวให้ดีขึ้น ให้เขาได้รับรู้ว่าพระก็รักพวกเขา พวกเขาก็มีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้ามากเช่นกัน หากทำแบบนี้ คล้ายกับพูดว่า พระอภัยให้ลูกแล้วนะ พระไม่โกรธพวกลูกแล้วนะ แต่ขอให้ลูกต้องเป็นคนดี รักผู้อื่นเหมือนที่พระเยซูเจ้าทรงสอนนะ ผมว่า ทุกวันๆ คงจะมีคนที่พร้อมจะเป็นคนดีเพิ่มอีกมากเลยทีเดียว บางครั้ง พวกเราก็รู้สึกเลยว่า พวกเราเสมือนคนบาปที่ไม่มีใครที่พร้อมจะมาเข้าใจ เสมือนกับฟาริสีที่คอยแต่จะบอกว่า พวกแกมันบาป หากแกไม่เปลี่ยนมาเป็นปกติ มาแต่งงานกับผู้หญิง พวกแกก็โดนสาปแช่ง เป็นปีศาจ โดยที่มีคนพูดเยอะ แต่จะมีใครสักคนไหมที่มาเรียนรู้อย่างลึกซึ้งและทำความเข้าใจว่าเรื่องแบบนี้มันเปลี่ยนไม่ได้จริงๆ ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่เป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้า พยายามที่จะทำตามคำสอนของพระองค์เท่าที่ผมทำได้ พยายามรักผู้อื่น แต่เพียงเหตุผลเท่าที่ผมเป็นนั้น พระสันตะปาปาองค์ก่อนเคยตรัสว่า พวกรักร่วมเพศนั้น เป็นพวกปีศาจ เป็นซาตานในคราบมนุษย์ ผมก็เสียใจและก็ท้อใจ และก็รู้สึกว่า หากเราตั้งใจที่จะเป็นคนดี แต่แค่เรื่องเดียวที่เป็นนี้ จากลูกของพระ ผมกลับกลายเป็นปีศาจเป็นซาตานเลยหรือ ผมยังเคยรู้สึกลึกๆ ว่า พระองค์ทรงต่อต้านกีดกัด ไม่ให้ความยอมรับพวกรักร่วมเพศ เพียงเพราะเหตุผลอย่างเดียวที่เขาชอบเพศเดียวกันเท่านั้นเลยจริงๆ หรือครับ แต่ในชีวิตจริงยังมีเกย์อีกจำนวนมาก ที่ถ้าไม่นับเรื่องนี้แล้ว เขาก็เป็นลูกที่ดีของพระเช่นเดียวกับลูกของพระองค์คนอื่นที่ปกตินะครับเป็นคน เป็นมนุษย์ที่มีความสามารถที่จะรัก ไม่แน่นะครับ อาจจะมีเกย์ที่เขาเป็นคนดี ที่เป็นลูกที่น่ารักของพระ แล้วพระอาจจะอวยพรเขาก็ได้นะ พระเยซูเจ้า พระองค์เองก็ทรงบังเกิดมาในโลกที่มีแต่ความอยุติธรรม มีการแบ่งแยก การดูถูกเหยียดหยามของมนุษย์ด้วยกันเอง แต่พระองค์ก็ทรงยืนยันอย่างเดิมว่า พระองค์ทรงมาเพื่อติดตามลูกแกะของพระองค์ทุกตัวไม่เว้นแม้แต่ตัวใดเลย ทรงร่วมโต๊ะเสวยร่วมกับคนบาป ทรงสัมผัสคนโรคเรื้อนที่น่ารังเกียจ ผมอยากให้พระองค์ทรงไม่ลืมลูกแกะตัวนี้ด้วยเช่นกัน แม้ว่ามันจะเป็นเสมือนแกะดำก็ตาม แต่แกะดำถึงแม้มันเกิดมาดำเปลี่ยนไม่ได้ มันก็อยากที่จะก้าวเดินในฝูงของพระองค์กลับบ้านเช่นกันนะครับ (เขียนถึงตรงนี้น้ำตาก็ไหลโดยไม่รู้ตัวเลย. . .)
จะมีสักวันไหมที่พระสันตะปาปาจะประกาศว่า พระศาสนจักรอนุโลมและให้อภัยพวกลูกนะ ขอเพียงพวกลูกเป็นลูกที่ดีของพระ ทำตามพระบัญญัติของพระองค์ที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือ จงรักพระเจ้าด้วยสิ้นสุดจิตใจ และจงรักผู้อื่นเหมือนรักตนเอง เพราะสิ่งใดที่พระสันตะปาปาแก้บนโลกนี้ ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย ผมก็เห็นว่า พระสันตะปาปาองค์ปัจจุบันมีท่าทีที่อ่อนข้อให้กับเรื่องนี้ต่างกับองค์ก่อนๆ อย่างชัดเจน ผมรู้สึกว่าพระองค์ทรงอ่อนโยน ทรงพยายามที่จะเข้าใจพวกเรา พระองค์จึงทรงตรัสว่า “หากคนคนหนึ่งเป็นเกย์ แต่เขามีจิตใจที่และต้องการจะเข้าหาพระเจ้า ข้าพเจ้าเป็นใครเล่าที่จะไปตัดสินพวกเขา?”แสดงให้เห็นว่าพระองค์ก็ทรงเข้าใจพวกเราในระดับหนึ่งไม่แน่พระองค์อาจจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรในสมัยของพระองค์ก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนั้น ผมคงนอนตายตาหลับเลยครับ
บทวิเคราะห์ชีวิตเกย์คาทอลิก ตอนจบของ“รักแห่งสยาม” ชีวิตจริงที่อาจแตกต่างไป
ก่อนอื่นต้องขอเล่าว่าผมเอง เป็นคาทอลิกหรือคริสตังนอน รับศีลล้างบาปมาตั้งแต่แรกเกิด ผมเติบโตมาภายในบรรยากาศแบบคาทอลิก เรียนโรงเรียนคาทอลิก พ่อแม่ของผมรักผมมาก แต่ครอบครัวของผมเป็นลักษณะที่ฝ่ายแม่เป็นผู้นำ และพ่อแม่ทะเลาะกันบ่อยในตอนที่ผมเป็นเด็ก (ผมจึงไม่ได้สงสัยนัก ว่าทำไมผมจึงเป็นแต่ผมก็ไม่เคยคิดโทษพ่อแม่ของผมนะครับ) แต่เราทุกคนก็รักกันมาก ผมมีพี่น้องทั้งหมด 3 คน ผมเป็นลูกชายคนโต มีน้องสาว น้องชายอีกอย่างละคน ตอนนี้ผมก็อายุประมาณ 30 กว่าๆ ได้ เมื่อผมอายุ 7 ขวบ คุณพ่อ (บาทหลวง) ฝรั่งที่โรงเรียนรักผมมาก วันหนึ่งท่านพูดเป็นการส่วนตัวกับผมว่า เธอต้องไปวัดทุกวันอาทิตย์ แต่ไม่ใช่เท่านั้น เธอจะต้องพาพ่อกับแม่ของเธอมาด้วย มารู้จักกับพระเยซูเจ้าและแม่พระ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผมก็เป็นคนรักแม่พระมากตอนนั้นยังไม่รู้จักพระเยซูเจ้าดีนักด้วยซ้ำหลังจากนั้นก็ชวนแม่เข้าวัดตลอด จากแม่ผมที่เฉยๆ เดี๋ยวนี้เป็นคนที่ศรัทธามาก ไปวัดทุกวันอาทิตย์ และสวดภาวนาสม่ำเสมอ มีความรักศรัทธาในพระเยซูเจ้าและแม่พระมาก เมื่อยังเด็ก ผมยังไม่รู้จักเรื่องทางเพศเลย ผมก็เป็นเด็กที่ตั้งใจเรียน เพราะผมรักแม่ของผมมาก ผมจึงเรียนเก่ง ได้เป็นที่หนึ่งของชั้นเสมอๆพอม.ปลายนี่แหละที่ผมจะเริ่มรู้สึกแล้วว่าผมมีความเบี่ยงเบนนะ แต่ก็ยังไม่ชัดเจนอะไรมาก ด้วยความที่ต้องการจะเลี้ยงดูพ่อแม่ในยามแก่ชรา ผมจึงสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงได้ ในระหว่างที่เรียนม.ปลายจนถึงมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง เนื่องจากผมเป็นคนที่หน้าตาค่อนข้างดี (แหะๆ) จึงมีคนเข้ามาหาเยอะ ผมเคยลองคบกับผู้หญิงซึ่งสวยระดับเป็นดาวคณะเลยทีเดียว (ตอนนี้เธอก็แต่งงานมีลูกแล้วนะครับ แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน) แต่ไปไม่รอดนะ เพราะว่าผมไม่มีความรู้สึกอะไรกับเธอเลย แม้จะพยายามแล้วพยายามอีก ผมเป็นคนขอเลิก โดยใช้เหตุผลว่า ผมยังไม่แน่ในตนเอง ยังสับสนอยู่ ผมขอย้ำนะครับ ว่า ผมได้ใช้ความพยายามแล้วจริงๆ แต่มันเปลี่ยนแปลงความรู้สึกไม่ได้ และผมก็จะไม่โกหกตัวเองนะครับ
เอาล่ะ พอปี 4 ผมก็ได้รู้จักกับรุ่นพี่คนหนึ่ง เป็นอาจารย์หน้าตาดีอายุมากกว่าผม 12 ปี เราก็เริ่มชอบกันและคบกัน ช่วงแรกๆ ผมก็ไม่สบายใจ แต่ผมก็ไม่สามารถฝืนใจของตนเองได้ วันเวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆที่สุด วันหนึ่ง หลังจากคบกันมาได้ 10 ปี เมื่อผมเรียนจบ มีหน้าที่การงานที่มั่นคง ผมเล่าเรื่องของผมให้แม่กับน้องสาวของผมฟัง ทุกคนก็ยอมรับได้แม่ของผมก็ยังรักผมมากที่สุดเหมือนเดิม แต่ในใจของผมก็เสียใจลึกๆ เสมอที่ไม่สามารถแต่งงานมีหลานให้แม่ได้ ทุกวันนี้ชีวิตผมมีความสุขมาก แต่มันก็จะติดปัญหาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ก็คือเรื่องที่ผมเป็นเกย์ และก็ใช้ชีวิตอย่างเกย์นี่แหละครับ ถ้าไม่นับเรื่องนี้แล้ว ผมคิดว่า ผมก็เป็นคนดีคนหนึ่งนะครับ ผมรักเพื่อนพี่น้อง ชอบช่วยเหลือคนอื่น ผมก็ได้พยายามเป็นลูกที่ดีของพระองค์นะครับ กับแฟนของผมเราอยู่กันเหมือนคู่ที่แต่งงานกันจริงๆ ช่วยกันในหลายๆ เรื่อง ไปกินข้าวกัน เรารักกันจนวันนี้ก็คบกันมา 13 ปีแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมเป็นสิ่งที่ดีมากจริงๆ ผมรู้สึกได้อยู่เสมอว่า พระเจ้าทรงรักผมมาก หากมันเป็นการสาปแช่งหรือว่าเป็นบาปเป็นการลงโทษจากพระเจ้า แต่ทำไมชีวิตผมมีความสุขมาก ผมมีแฟนที่น่ารัก มีครอบครัวที่เข้าใจ ครอบครัวแฟนก็รักผมเหมือนลูกจริงๆ มีการงานที่มั่นคง สวดวอนขออะไรจากแม่พระก็มักจะได้รับเสมอๆ จนบางครั้งผมยังเคยคิดเล่นๆ เลยว่า การที่ชีวิตผมดีเช่นนี้ อาจเป็นไปได้มั้ยว่า พระเจ้าทรงเห็นว่าผมมีข้อบกพร่องตรงนี้ แต่ก็แก้ไม่ได้ และผมก็ได้พยายามทำตัวเป็นลูกที่ดีของพระองค์ จึงทรงสงสารและส่งแฟนคนนี้มาให้ผมและก็ให้มีชีวิตในแบบนี้ พูดเล่นๆ นะครับ แต่ว่า คิดจริงๆ นะ
และนี่ คือบทสรุปความคิดของผมนะครับ
1.มีคนบอกว่า การเป็นเกย์นั้น เป็นบาป เป็นการทดลองอย่างหนึ่ง เสมือนกับการติดเหล้าแล้วให้เลิกเป็นเกย์ เหมือนกับพยายามเลิกเหล้านั้น ผมขอยืนยันนะครับ ว่ามันไม่เหมือนกัน
เพื่อนที่มองว่า ทำไมถึงไม่สวดภาวนามากๆ ขอพระสิ (ถ้าเป็นเพื่อคริสเตียนก็จะบอกว่า สวดขอพระวิญญาณบริสุทธิ์สิ) แล้วเราก็จะเลิกได้ ผมก็ขอขอบคุณมากๆ ถ้าผมเป็นคุณผมก็คงจะบอกเพื่อนแบบนี้เช่นกันนะครับ แต่ในเมื่อมันเป็นชีวิตจริงของผม ผมอยากจะเล่าว่า มันไม่เหมือนกันจริงๆ นะครับ ขอย้ำว่า ไม่เหมือนจริงๆ หากจะให้เลิกนั้น ก็เสมือนกับให้คนปกติหันกลับมารักเพศเดียวกันนั่นแหละ มันทำไม่ได้หรอก และหากมันทำได้จริงๆ ผมว่า ผมก็เป็นคนหนึ่งที่รักพระเยซูเจ้าและแม่พระมากๆ ผมก็น่าจะเป็นคนหนึ่งที่ทำได้ไปแล้วล่ะ แหม. . .ชีวิตนิรันดร ใครล่ะจะไม่อยากได้ และการแต่งงานมีครอบครัวนั้น เป็นของขวัญล้ำค่าจากพระเจ้า ใครๆ ก็อยากมีนะครับ ส่วนเพื่อนที่บอกว่ามีคนที่สวดภาวนาแล้วก็เปลี่ยนใจไปแต่งงานกับผู้หญิงได้ ผมก็ยินดีกับเขาด้วยจริงๆ แต่ไม่ใช่มันจะทำได้ทุกคนนะครับ ตามความคิดผม ความรู้สึกมันเปลี่ยนไม่ได้นะครับ แต่ถ้ามันทำไม่ได้ แล้วมันต้องไปฝืน ผมก็เป็นคนหนึ่งที่จะไม่ฝืนความรู้สึกของตนเองนะครับ และอีกอย่าง ไม่มีใครอยากเป็นแบบนี้ คนที่เป็นแบบนี้เขาก็มีความทุกข์ในตัวเองอยู่แล้วนะครับหรือพูดง่ายๆ ว่า ถ้าเปลี่ยนกันได้จริงๆ คงไม่มีเกย์หลงเหลืออยู่หรอกครับ เพราะพวกเราเองก็ไม่ได้ชอบที่จะเป็นแบบนี้ และสุดท้ายเลยนะ หากแต่งงานไปจริงๆ ผู้หญิงจะมีความสุขหรอครับ
2.พระเยซูเจ้าทรงคิดอย่างไรกับคนที่รักเพศเดียวกันนะ
การตำหนิพฤติกรรมรักร่วมเพศนั้น ชัดเจนในพระธรรมเก่า (+ในจดหมายของนักบุญเปาโลที่กล่าวว่าคนกลุ่มนี้จะไม่ได้เข้าพระอาณาจักร)ผมคิดเองดูว่า หากบาปจากการที่รักเพศเดียวกันนี้มันร้ายแรงจริงๆ ถึงขนาดที่พระเจ้าทรงทำลายเมืองโสดมและเมืองโกโมราห์นั้น(ซึ่งผู้ที่ศึกษาจริงๆ จะรู้ดีว่า ยังมีเหตุผลอื่นอีกที่เป็นสาเหตุได้นอกจากประเด็นรักร่วมเพศ) เหตุใดพระเยซูเจ้าจึงไม่ทรงตรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้ในพระธรรมใหม่เลย ในเรื่องที่อาจจะเป็นความหวังของคนกลุ่มนี้นั้น ก็มาจากพระวรสารเรื่องพระเยซูเจ้ารักษาบ่าวของนายร้อยทหารโรมัน (มธ 8:5-13 และ ลก 7:1-10) ซึ่งมีนักตีความพระคัมภีร์ในตอนนี้ว่า นายร้อยกับบ่าวชายของเขาอาจเป็นคนรักกัน แต่เราก็ไม่เห็นท่าทีของพระเยซูเจ้าที่จะตำหนิเขา ซึ่งจริงๆ เรื่องของการรักร่วมเพศนั้นก็มีมาตั้งแต่สมัยของพระเยซูเจ้าแล้ว หากสันนิษฐานนี้เป็นจริง ก็หมายความว่า พระเยซูเจ้าอาจจะทรงเคยเผชิญหน้าคนที่เป็นเกย์มาแล้วเราไม่รู้ว่าพระองค์ทรงคิดอย่างไรกับคนกลุ่มนี้ เรารู้เพียงแต่ว่าพระองค์ไม่ได้กล่าวประนามหรือแม้แต่จะกล่าวถึงวิถีชีวิตทางเพศของนายร้อยเลย หากแต่ทรงยกย่องความศรัทธาของนายร้อยว่า สูงส่งกว่าชาวยิวที่พระองค์เคยพบมา และทรงรักษาบ่าว(ซึ่งก็น่าจะเป็นคนรักของเขา) ให้หายเป็นปกติ สิ่งสำคัญสำหรับพระองค์และเป็นหัวใจหลักของศาสนาคริสต์ก็คือ “การรักผู้อื่นเหมือนรักตนเอง” เราจึงเรียนรู้จากเรื่องนี้ว่า พระเยซูเจ้าไม่ได้เลือกเอาวิถีชีวิตทางเพศมาเป็นเหตุผลในการเลือกปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ พระองค์ทรงรักมนุษย์ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
3.เป็นไปได้มั้ยที่การรักเพศเดียวกันนั้น จะเป็นเรื่องที่ถูกต้องมากขึ้นในยุคปัจจุบัน จะดีกว่าไหม ที่พระศาสนจักรเปลี่ยนจากคอยต่อต้าน กีดกันมาเป็นยอมรับพวกเขาและช่วยเหลือสนับสนุนให้พวกเขาอยู่ในหนทางของพระมากขึ้นเรื่อยๆ
ผมจึงยังมีความหวังตราบที่ผมยังมีลมหายใจว่าสักวัน เมื่อมีหลักฐานสนับสนุนมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า การที่คนเรารักเพศเดียวกันนั้น มีปัจจัยมาจากทางพันธุกรรม หรือจากการเลี้ยงดู ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะเลือกมาเป็นเอง แล้วคนทุกคนก็ต้องการที่จะได้รับความรักจะมีสักวันไหมที่มันจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องมากขึ้น จะมีสักวันไหมที่พระศาสนจักรยอมผ่อนปรนเรื่องเหล่านี้ลงบ้าง ซึ่งผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะทรงงานของพระสันตะปาปาที่พระองค์จะต้องทรงสะสางผมเองคิดว่า หากพระศาสนจักรเปลี่ยนท่าทีจากต่อต้าน รังเกียจและกีดกัดพวกที่รักเพศเดียวกัน มาเป็นทำอย่างไรเพื่อช่วยพวกเขาประพฤติตัวให้ดีขึ้น ให้เขาได้รับรู้ว่าพระก็รักพวกเขา พวกเขาก็มีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้ามากเช่นกัน หากทำแบบนี้ คล้ายกับพูดว่า พระอภัยให้ลูกแล้วนะ พระไม่โกรธพวกลูกแล้วนะ แต่ขอให้ลูกต้องเป็นคนดี รักผู้อื่นเหมือนที่พระเยซูเจ้าทรงสอนนะ ผมว่า ทุกวันๆ คงจะมีคนที่พร้อมจะเป็นคนดีเพิ่มอีกมากเลยทีเดียว บางครั้ง พวกเราก็รู้สึกเลยว่า พวกเราเสมือนคนบาปที่ไม่มีใครที่พร้อมจะมาเข้าใจ เสมือนกับฟาริสีที่คอยแต่จะบอกว่า พวกแกมันบาป หากแกไม่เปลี่ยนมาเป็นปกติ มาแต่งงานกับผู้หญิง พวกแกก็โดนสาปแช่ง เป็นปีศาจ โดยที่มีคนพูดเยอะ แต่จะมีใครสักคนไหมที่มาเรียนรู้อย่างลึกซึ้งและทำความเข้าใจว่าเรื่องแบบนี้มันเปลี่ยนไม่ได้จริงๆ ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่เป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้า พยายามที่จะทำตามคำสอนของพระองค์เท่าที่ผมทำได้ พยายามรักผู้อื่น แต่เพียงเหตุผลเท่าที่ผมเป็นนั้น พระสันตะปาปาองค์ก่อนเคยตรัสว่า พวกรักร่วมเพศนั้น เป็นพวกปีศาจ เป็นซาตานในคราบมนุษย์ ผมก็เสียใจและก็ท้อใจ และก็รู้สึกว่า หากเราตั้งใจที่จะเป็นคนดี แต่แค่เรื่องเดียวที่เป็นนี้ จากลูกของพระ ผมกลับกลายเป็นปีศาจเป็นซาตานเลยหรือ ผมยังเคยรู้สึกลึกๆ ว่า พระองค์ทรงต่อต้านกีดกัด ไม่ให้ความยอมรับพวกรักร่วมเพศ เพียงเพราะเหตุผลอย่างเดียวที่เขาชอบเพศเดียวกันเท่านั้นเลยจริงๆ หรือครับ แต่ในชีวิตจริงยังมีเกย์อีกจำนวนมาก ที่ถ้าไม่นับเรื่องนี้แล้ว เขาก็เป็นลูกที่ดีของพระเช่นเดียวกับลูกของพระองค์คนอื่นที่ปกตินะครับเป็นคน เป็นมนุษย์ที่มีความสามารถที่จะรัก ไม่แน่นะครับ อาจจะมีเกย์ที่เขาเป็นคนดี ที่เป็นลูกที่น่ารักของพระ แล้วพระอาจจะอวยพรเขาก็ได้นะ พระเยซูเจ้า พระองค์เองก็ทรงบังเกิดมาในโลกที่มีแต่ความอยุติธรรม มีการแบ่งแยก การดูถูกเหยียดหยามของมนุษย์ด้วยกันเอง แต่พระองค์ก็ทรงยืนยันอย่างเดิมว่า พระองค์ทรงมาเพื่อติดตามลูกแกะของพระองค์ทุกตัวไม่เว้นแม้แต่ตัวใดเลย ทรงร่วมโต๊ะเสวยร่วมกับคนบาป ทรงสัมผัสคนโรคเรื้อนที่น่ารังเกียจ ผมอยากให้พระองค์ทรงไม่ลืมลูกแกะตัวนี้ด้วยเช่นกัน แม้ว่ามันจะเป็นเสมือนแกะดำก็ตาม แต่แกะดำถึงแม้มันเกิดมาดำเปลี่ยนไม่ได้ มันก็อยากที่จะก้าวเดินในฝูงของพระองค์กลับบ้านเช่นกันนะครับ (เขียนถึงตรงนี้น้ำตาก็ไหลโดยไม่รู้ตัวเลย. . .)
จะมีสักวันไหมที่พระสันตะปาปาจะประกาศว่า พระศาสนจักรอนุโลมและให้อภัยพวกลูกนะ ขอเพียงพวกลูกเป็นลูกที่ดีของพระ ทำตามพระบัญญัติของพระองค์ที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือ จงรักพระเจ้าด้วยสิ้นสุดจิตใจ และจงรักผู้อื่นเหมือนรักตนเอง เพราะสิ่งใดที่พระสันตะปาปาแก้บนโลกนี้ ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย ผมก็เห็นว่า พระสันตะปาปาองค์ปัจจุบันมีท่าทีที่อ่อนข้อให้กับเรื่องนี้ต่างกับองค์ก่อนๆ อย่างชัดเจน ผมรู้สึกว่าพระองค์ทรงอ่อนโยน ทรงพยายามที่จะเข้าใจพวกเรา พระองค์จึงทรงตรัสว่า “หากคนคนหนึ่งเป็นเกย์ แต่เขามีจิตใจที่และต้องการจะเข้าหาพระเจ้า ข้าพเจ้าเป็นใครเล่าที่จะไปตัดสินพวกเขา?”แสดงให้เห็นว่าพระองค์ก็ทรงเข้าใจพวกเราในระดับหนึ่งไม่แน่พระองค์อาจจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรในสมัยของพระองค์ก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนั้น ผมคงนอนตายตาหลับเลยครับ