จรินย์ สร้อยทอง ผู้ร่ำรวยจากกลางคืน

พัฒน์ นวลจีน เขียน

ความเมาของวัยหนุ่มเนื้อแตกซ่าน เป็นเรื่องที่ท้าทายและสนุกทุกครั้งเมื่อได้ร่วมวงรินเหล้าออกจากขวดทรงสวยมาใส่แก้วบรรจุน้ำแข็งและเติมต่อด้วยโซดาล้วนหรือโซดาน้ำ และบางทีความเมามีหลายรูปแบบให้เราได้เลือกสรร ตามแต่ใครมันจะถนัดในรูปแบบไหน

           วิสกี้เป็นความเมาชนิดแรกของคืนที่พวกเขาเลือกสั่งมาประดับบนโต๊ะภายใต้ความสลัวของแสงไฟและเสียงเพลงที่ไนท์คลับแห่งหนึ่งกลางกรุง ไม่นานเกินรอบริกรหนุ่มร่างเล็กเดินหอบถังน้ำแข็งพร้อมโซดาและน้ำเปล่ามาด้วยความขะมักเขม้น เขาทำมันเพื่อแลกกับเงินจำนวนหนึ่ง ส่วนเรื่องว่าเขาจะเอาเงินไปทำอะไร ช่างมันขี้เกียจถาม!

           รัญควาน รำพึง เถิน รวงข้าว จรินย์ สร้อยทอง และ ปวร เริงบุรี สี่เกลอทิ้งตำราเรียนชั่วคราวในค่ำคืนรื่นรมย์ พวกเขาพอใจที่จะเอาความทุกข์ไปโยนทิ้งในแก้วเหล้า และพวกเขายกมันขึ้นมาซดกันเป็นน้ำเปล่าอย่างไม่ทิ้งระยะให้ยุงวางไข่

           “เพื่อน…เพลงนี้โดนว่ะ ชน ชน”

           จรินย์ สร้อยทอง ลั่นคำพูดออกจากปากหลังจากโซดาหยดสุดท้ายทิ้งฟองบนแก้วเหล้า ทั้งสี่กระดกแก้วขึ้นซดร้องเสียงดัง อาห์…และหลับตาปี๋ “รสมันหวานจับใจเหลือเกินโว้ย” ใครบางคนเสียงดังออกมาหลังดื่มกันเข้าไปหลายอัตรา

           “แก้วนี้แด่เมียกูที่หนีไปหาผัวใหม่” รัญควาน แด_ดันในอารมณ์

           บอกให้รู้ไว้ หัวใจรักจริง ไม่เคยทอดทิ้งให้ใครเสียใจ…    

           “เพลงนี้ๆ ไอ้เหี้_ ชน ชน” จรินย์ พูดต่อหลังพ่นควันบุหรี่ม้วนสายเป็นเกลียวเคล้าแสงสี

           พวกเขาหยิบยกทุกอย่างรอบตัวเท่าที่จะเหมาะจะควรมาโยนใส่ความกระหายแล้วพูดคำว่า “ชน” หลังแก้วที่บรรจุน้ำหมักข้าวไรย์ล้นปริ่ม

           “ชน!” เถิน รวงข้าว เขาพูดออกมาบ้าง
           “แด่อะไรวะ” ปวร เริงบุรี ให้สงสัย
           “ไม่แด่ห่…อะไรทั้งนั้น รีบแด_ให้หมดๆ กูปวดเยี่ยว”

           ขวดเหล้าขอดน้ำเมาจนไม่เหลืออะไรให้รินออกมา สี่เกลอตาเยิ้มกันได้ที่และพร้อมจะเดินจากแสงสลัวและเสียงเพลงในร้านเหล้าที่ช่วยให้พวกเขาปลดเปลื้องจากตำราเรียน ไปยังหอพักของ ปวร เริงบุรี ผู้มีของดีในครอบครอง

           ภายในห้องพักสี่เหลี่ยมที่แสงไฟสลัวเช่นเคยมันถูกเร้นลับในสายตาผู้คนลึกเข้าไปในซอยเปลี่ยวมืดสนิทแต่ไม่ไกลจากเสียงดนตรีของสถานเริงรมย์ อื้ออึงจังหวะเบสและกลองยังพอกระแทกผนังห้องเป็นทำนองเย้ายวนอารมณ์ บ้องไม้ไผ่ขนาดเท่าแขนชายฉกรรจ์ถูกนำออกมาจากที่ซ่อนลึกลับ เขายำกะหลี่กัญชาจากแหล่งเพาะปลูกชั้นเลิศกลางหุบเขาของประเทศกำลังพัฒนา วางมันเรียงบนเขียงและใช้มีดซอยอย่างชำนาญราวกับสูทกรชั้นครู จากนั้นพวกเขาเรียกตัวเองว่าบุปผาชน

           ปวร เริงบุรี เปิดตัวก่อนใคร เขาอัดควันเข้าไปเต็มปอดและพ่นมันออกมาหนาราวหมอกฤดูหนาวบนยอดดอยสูง

           “รัญจวน รัญจวนใจบรรลัย” ปวร คลายความกระสันออกมาจากริมฝีปาก และยั่วยุให้เพื่อนทั้งสามคล้อยตาม
           “มึ_หัวเราะทำเหี้_อะไร” จรินย์ สร้อยทอง สบถขึ้น เขาไม่ใส่ใจในคำตอบของใครและใคร
           “ไอ้รินย์มึ_ถามใคร ฮ่ะฮ่า” หลังจบคำพูด รัญควาน รำพึง สำลักควันจนตาแดง
           “อุวะฮ่ะฮ่าฮ่า” หัวเราะกังวานของความสุขอบอวลในห้องนั้นปนกับกลิ่นควันของพืชแห่งสวรรค์

           ส่วน เถิน รวงข้าว เขาเพิ่งลากตัวเองออกมาจากความเมาจากวิสกี้ข้าวไรย์ และซบตัวลงไปกองกับพื้น เขาหลับสนิทเหมือนคนตายที่หายใจอยู่

           ใครคนหนึ่งปรารภออกมาผ่านควันกัญชาฟังดูคล้ายเสียงของ จรินย์ สร้อยทอง ผู้ขัดสนความใคร่

          “กูว่าเราต้องออกร่อนกันหน่อยแล้วว่ะ กูต้องการ”
          “อะไรวะ”

          และอย่างไม่ต้องการคำตอบ จรินย์ สร้อยทอง คว้ากุญแจรถยนต์ขนเพื่อนเกลอ ปวร เริงบุรี และ รัญควาน รำพึง ทั้งสามออกร่อนบนถนนของคืนเปลี่ยวมองหาไก่สักตัวขึ้นไปเชือดเฉือนบนเตียงนอน ทิ้งให้ เถิน รวงข้าว นอนเหมือดกายอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมรมควัน!

          แสงไฟสีมัวซัวของถนนในนาทีของการหลับนอน (ของบางคน) พื้นถนนโล่งราวกับเมืองร้าง รถราวิ่งนับคันได้ และพ่อค้าแม่ขายบ้างเริ่มทยอยกันออกมาตั้งตลาดเช้า จรินย์ ขุ่นหมองในอารมณ์ปนความกระสันในคาวโลกีย์ เขามีความตั้งใจในเรื่องนี้มากกว่าการท่องตำราเรียนในนาทีนั้น นาทีของความกำหนัดของหนุ่มผู้แตกฉานด้านกามอารมณ์ เขาพยายามไม่ลดละ เลี้ยวเข้าตรอกซอกซอยที่คิดว่าจะมีใครสักคนเอื้อเฟื้อความต้องการแก่เขา จรินย์ ผู้ขัดสน!

          ชั่วนาทีไม่นานเท่าไหร่ รถยนต์ของพวกเขามุ่งเข้าไปในซอยเปลี่ยว แสงไฟสีนวลตาหลายดวงยังทำงานของมันล่อแมลงให้หลงติดกับในความเย้ายวนนั้น และข้างทาง จรินย์ผู้ขัดสนเขาสังเกตุเห็นเงาตะคุ่มของใครบางคนจากดวงไฟหน้ารถยนต์ จรินย์  สร้อยทอง เขาลดกระจกลงและให้คำถามผ่านความมืดนั้นไป “ว่างไหมครับ”

          “ค่ะ ไปข้างนอกได้แต่ต้องกลับมาส่งดิฉันที่เดิมนะคะ” เงามืดนั้นให้คำตอบ

          ปวร เริงบุรี และ รัญควาน รำพึง พ่นควันบุหรี่ออกนอกบานหน้าต่างรถพร้อมยิ้มอย่างมีเลศนัยให้กันและกัน

          ร่างนั้นขึ้นนั่งบนตักของ จรินย์ สร้อยทอง บนเบาะหลังและรถยนต์นั้นพาเขาทั้งสองไปยังสถานสุขบรม

          ถึงที่หมาย จรินย์ ควานมือหาสวิตซ์พลันเปิดจนไฟส่องสว่าง ทรวดทรงของเงานั้นผงาดขึ้นในนีออนขาวกระจ่าง จรินย์ อุทานออกมาด้วยความตกใจในตาเห็น

          “คุณ…” จรินย์ ถามไม่ทันขาดคำ
          “ค่ะ” หล่อน (เขา) สวนตอบและใส่จริตแก่เขา
          “จะเอาหรือไม่เอาล่ะค๊า...”

          และเรื่องในคืนนั้นไม่มีใครรู้ดีไปกว่า จรินย์ สร้อยทอง

          ความกำหนัดของเขาต้องการที่ปลดปล่อย! และเป็นที่เรียบร้อย

          บ่ายวันต่อมาในชั่วโมงเรียนของมหาวิทยาลัยกลางกรุง กลุ่มเกลอเข้ามานั่งเรียนตามปกติเว้นเสียแต่ จรินย์ สร้อยทอง ผู้ระบายความกำหนัดของเขาไว้ในหล่อน (เขา) ในคืนคาว

          เถิน รวงข้าว ผู้ไม่รู้เหตุการณ์เพราะความหน่วงหนักของวิสกี้ถามหาเรื่องราวจาก ปวร และ รัญควาน อย่างลุกลนให้อยากรู้หายสงสัย

          “เมื่อคืนเป็นไงมาไง กูนอนโงหัวไม่ขึ้น”
          “ไอ้รินย์น่ะซี่ มันเจอของดี ป่านนี้คงกลายเป็นเศรษฐีเงินล้าน ไม่ยอมมาร่ำมาเรียน” รัญควาน รำพึง ให้ความหวังกับ เถิน รวงข้าว
          “คืนนี้พากูไปมั่งซี กูอยากรวย” เถิน เว้าวอนด้วยน้ำเสียงและแววตา

          ปวร เริงบุรี และ รัญควาน รำพึง หัวเราะขิกๆและยิ้มอย่างมีเลศนัยเหมือนเช่นเมื่อคืน

          “คืนนี้ล่อเนื้อกับกูสักหลุมสองหลุม เดี๋ยวกูจะพาไปขุดทอง!”
  

         *ชื่อและนามสกุลตัวละครในเรื่องเป็นสิ่งที่สมมติขึ้นมาทั้งสิ้น หากพ้องพานบุคคลใด ถือว่าเป็นความบังเอิญโดยแท้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่