... ปริศนา ของ Luis Suarez ...

ตอนที่หลุยส์งับหัวไหล่ของ คิเอลลินี่ กองหลังทีมชาติอิตาลีในฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิล แฟนบอลทั่วโลกต่างตกตะลึงกับเหตุการณ์นั้น โดยเฉพาะแฟนทีมชาติอิตาลีที่มองเห็นเป็นเรื่องที่น่าสยดสยอง เกินกว่าจะยอมรับได้

แต่สำหรับแฟนลิเวอร์พูล ความรู้สึกแรกที่เข้ามาหลังจากตกใจและทึ่ง (อาจรวมทั้ง ความรู้สึกฮา) คือ
มันจบแล้ว...

ที่เราเคยคิดไว้ ว่าทุกอย่างดีขึ้นกว่าเดิมมาก หลุยส์อาจไม่กลับไปทำนิสัยแย่ๆแบบเดิมบนสนามอีก เขาเก่งมากเกินกว่าจะมีรอยด่างพร้อยในอาชีพด้วยเรื่องแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลุยส์ ซัวเรซ เป็นนักเตะจอมถล่มประตูระดับโลก ที่มีชีวิตส่วนตัวเพอร์เฟค แต่ ชีวิตการค้าแข้งบนสนามเต็มไปด้วยรอยด่างพร้อย .. ซึ่ง เป็นรอยด่างพร้อยที่ แฟนลิเวอร์พูล และ แฟนทีมชาติอุรุกวัย พร้อมให้อภัยครั้งแล้วครั้งเล่าอีกเช่นกัน

และกับครั้งนี้ด้วยหรือไม่?



แม้หลุยส์ ซัวเรซจะทำเรื่องผิดพลาดมามากมายบนสนาม เมื่อมีบทลงโทษ "ส่วนใหญ่" เขามักยอมรับผิดในท้ายที่สุด แม้จะอิดออดอยู่บ้าง ในการกล่าวขอโทษ ตอนกัดแขนอิวาโนวิค เขาได้ขอโทษและยอมรับว่าตัวเองทำเรื่องแย่จริงๆ แม้แต่ตอนที่กัดบาคคาลสมัยอยู่ Ajax หลุยส์ยอมรับว่าเป็นเรื่องเลวร้ายที่ทำแบบนั้น และอยากควบคุมตัวเองให้ได้มากกว่านี้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาไม่เคยยอมรับเลยตลอดมา แม้จะได้ชดใช้บทลงโทษไปหมดแล้วคือ

"ผมไม่เคยเหยียดผิว ปาทริซ เอวร่า คุณไปถามใครก็ได้ที่เคยเล่นฟุตบอลกับผมมาก่อน หรือคนที่รู้จักผม เพื่อนหรือภรรยา ในเรื่องนี้ ผมไม่ใช่คนเหยียดเชื้อชาติ ผมอาจจะทำเรื่องแย่ๆมา และผมยอมรับว่าผมผิด แต่ผมจะบอกว่า ผมไม่เคยเหยียดผิวใครทั้งสิ้น"

นี่คือเรื่องเดียวที่ดาวเตะอุรุกวัยไม่เคยยอมรับ

(เหตุการณ์นี้ หลุยส์ถูกลงโทษและเขายอมรับกับกรรมการ FA ว่าใช้คำพูดภาษาสเปน 1 ครั้งในสนามและไม่ได้มีเจตนาดูถูกเลยแต่หากมีการสื่อสารผิดพลาด เขาต้องขอโทษ แต่ยังยืนยันว่าไม่ได้ตั้งใจเหยียดผิวใคร)



หลังจากเหตุการณ์ในฟุตบอลโลก หลุยส์ ซัวเรซปฏิเสธว่าไม่ได้กัดหัวไหล่ คิเอลลินี่ แต่พยานและหลักฐานคือสายตาของแฟนบอลทั่วทั้งโลก สุดท้าย เขายอมรับโทษ พร้อมทั้งกล่าวขอโทษคิเอลลินี่ สำหรับเรื่องเลวร้ายที่เขาทำ (อีกครั้ง)

บทลงโทษที่หนักหนาครั้งล่าสุดของซัวเรซคือ เขาเจอแบนจากกิจกรรมทางฟุตบอล 4 เดือน (การอุทธรณ์ขอลดโทษไม่สำเร็จ ทำได้เพียงได้รับการลดหย่อนให้สามารถลงสนามซ้อมกับทีมได้)

ดิเอโก้ ฟอร์ลัน เพื่อนร่วมชาติอุกรุกวัยของเขากล่าวว่า หลุยส์คือฮีโร่ ต่อให้โลกมองเขาอย่างไร เขาก็คือ ฮีโร่ของชาวอุรุกวัย วันยังค่ำ ในเรื่องของฟุตบอลและการก้าวไปสู่ความยิ่งใหญ่ระดับโลก

"ในฟุตบอลโลก 2010 หลุยส์สร้างวีรกรรมให้โลกจดจำกับหัตถ์พระเจ้าในกรอบเขตโทษ กรรมการควักใบแดง หลุยส์หันมาทำหน้าไร้เดียงสา แล้วถามกรรมการว่า 'ผมเหรอ?' ประมาณว่า เขาทำอะไรผิด ทำไมถึงได้ใบแดง
... ตอนนั้นผมหัวเราะ หลุยส์รู้อยู่แล้วว่าเป็นเค้า แต่โดยสัญชาติญาณ เขาเชื่อว่าการทำแบบนั้น... การฉกฉวยโอกาสสัก 0.1 เปอร์เซ็น ที่กรรมการจะมองไม่เห็นว่าเขาทำอะไร หวังว่าจะรอดจากเหตุการณ์นี้ สุดท้ายแม้มันจะไม่รอด เขารู้อยู่แล้วและยอมรับโทษ
แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่เราอยู่ในอุรุกวัย และ หลุยส์คือ ฮีโร่ของเราเสมอ..."

ดิเอโก้ ฟอร์ลัน หนึ่งในเพื่อนที่สนิทที่สุดของหลุยส์ ซัวเรซให้ความเห็น



"คนอุรุกวัยเคยชินกับการเริ่มต้นจากความว่างเปล่า นั่นทำให้สิ่งเหล่านี้ผลักดันผมมาถึงจุดนี้ได้"
หลุยส์ซัวเรซบอกอย่างภาคภูมิใจถึงปูมหลังชีวิตของตนเอง

หลุยส์เกิดในครอบครัวที่มีพี่น้องรวม 7 คน เขายากจนข้นแค้น มีคำกล่าวว่า ไม่มีวันไหนที่หลุยส์ ซัวเรซไม่ต้องคลุกฝุ่น มันเป็นทั้งความจริงและคำเปรียบเปรยในชีวิตของหลุยส์ ... เขาเติบโตในซัลโต้ เมืองเล็กๆที่ท้องถนนเต็มไปด้วยฝุ่น เขาและพี่ชายเตะบอลเล่นกันริมถนน ด้วยความยากจน แม้แต่รองเท้ายังไม่มีเงินซื้อ ลุงของเขาสอนให้เขาเล่นฟุตบอลเท้าเปล่า

"มันป็นความทรงจำที่สวยงามมาก และผมจะไม่มีวันลืมตลอดชีวิต ว่าเด็กคนที่เล่นฟุตบอลเท้าเปล่าคนนั้นสามารถก้าวมาถึงจุดนี้ได้"

บ้านของเขามีพี่น้องรวม 7 คน พอหลุยส์อายุ 4 ขวบเขาเริ่มหัดเล่นฟุตบอล เขากับน้องชายชอบเล่นฟุตบอลมาก เตะบอลในบ้านชนข้าวของระเนระนาด เคยฝึกท่าวอลเล่ย์จนเตียงพังไป 1 หลัง หลุยส์เล่าพร้อมเสียงหัวเราะว่า แม่โกรธเขามากเลยในตอนนั้น

"เขาเป็นเด็กที่มุ่งมั่นกับการเล่นฟุตบอลมาก ประเภทที่ เขากลับมาร้องไห้ที่บ้าน เวลาทำประตูไม่ได้"
แม่ของหลุยส์พูดถึงลูกชายในวัยเด็ก

พ่อกับแม่ของหลุยส์แยกทางกันตอนเขาอายุ 9 ขวบ หลุยส์ต้องย้ายไปอยู่ในพ่อในเมืองหลวงอย่าง มอนเตวิเดโอ ทำให้เขาต้องหยุดเล่นฟุตบอลไปช่วงหนึ่ง ที่นี่เองหลุยส์ได้เริ่มต้น 'อาชีพนักเตะ' อย่างจริงๆจังๆ

"เขาเป็นคนที่อ่อนไหวมาก อย่างที่แม่เขาบอก เมื่อหลายๆอย่างไม่เป็นไปตามต้องการ เขาจะผิดหวังและเศร้าโศกเสียใจ แต่จะว่าไป มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร สำหรับชาวละตินอเมริกา พวกเราหมกหมุ่นอยู่กับฟุตบอล และแทบจะมีชีวิตอยู่เพื่อมัน ที่ผมจำได้เกี่ยวกับตัวหลุยส์คือ เมื่อเขาลงสนาม เขาจะไม่สนใจอย่างอื่นเลยนอกจากชัยชนะ นั่นแหละหลุยส์ ซัวเรซ ..."

ริคาร์โด้ เปร์โดโม่ โค้ชของหลุยส์สมัยที่เขาอยู่กับ นาซิอองนาลให้คำอธิบาย

"ผมเคยตำหนิเขาเรื่องที่เขาชอบเร่งทำเกมจนเสียจังหวะ หรือแม้แต่การผ่านบอลแรกแบบเร่งด่วนเกินไป จนเพื่อนพลาดโอกาสทำประตู วันนั้นผมบอกเขาว่า 'ถ้านายอยากได้บอลดีๆ นายก็ต้องผ่านบอลดีๆให้เป็นเสียก่อน' และต่อมาเขาก็ทำได้ดีขึ้น

แม้ผมจะไม่ค่อยได้ติดต่อเขาแล้ว เราเจอกันครั้งล่าสุดตอนงานแต่งงานหรืออาจจะเป็นที่ฮอลแลนด์ แต่ผมมั่นใจว่า ต่อให้ผมพบเขาพรุ่งนี้ เขาก็จะยังเป็นคนเดิม ผมได้ดูเกมที่เอาชนะ อาร์เซนอล 5-1 แม้เขาจะไม่ได้ทำประตูเลย แต่มันเป็นเกมที่ยอดเยี่ยม และผมภูมิใจมากที่เคยมีเขาอยู่ในทีม ..." เปร์โดโม่ทิ้งท้าย



ทั้งแม่, โค้ช และเพื่อนร่วมทีม ต่างให้ความเห็นถึงหลุยส์ว่า นอกสนามกับบนสนาม เขาแทบจะเป็นคนละคนกัน อยู่สนามเขาเป็นนักสู้ แต่นอกสนาม เขาเป็นคนเงียบๆ และออกจะธรรมดามากคนหนึ่ง

"หลุยส์เงียบ และถ่อมตัวมาก อาจเพราะบ้านเขาไม่ได้ร่ำรวยนัก แต่เขากลับใจกว้างกับเพื่อนๆอย่างเหลือเชื่อ เขารักครอบครัว และดีกับเพื่อนร่วมทีมทุกคน ผมรู้จักเขาก่อนเราจะมาเล่นที่นาซิอองนาลชุดใหญ่ด้วยกัน ตอนนั้นเขาอยู่ทีมเยาวชน และยิงประตูได้เยอะ จนชาวเมืองเอาไปพูดกันว่า มีเด็กที่ยิงประตูได้ปีละ 20-30 ลูก

เรามาสนิทกันตอนขึ้นทีมใหญ่ 4-5 เกมแรก หลุยส์ยิงประตูไม่ได้เลย เขาเครียด และประหม่า จนวันหนึ่งความมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น ประตูแรกของหลุยส์ พวกเราจำได้แม่น มันสวยงามมาก และอย่างที่คุณรู้ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขายังไม่หยุดยิงประตูเลย..." อิ๊กนาซิโอ ลา ลุซ์ เพื่อนร่วมทีมสมัยอยู่นาซิอองนาลกล่าวถึงเพื่อนซุปตาร์ของเขา

"เขาไม่เคยกลัวกองหลังตัวใหญ่ๆ เขาจะคอยโบกมือขอบอลจากเราเสมอ จริงๆแล้วก็ตลอดเวลานั่นแหละ" ลาลุซ์ ทิ้งท้ายกลั้วหัวเราะ

เจมี่ คาราเกอร์ ก็ยืนยันในเรื่องนี้ ตอนที่เขารีไทร์ไปแล้ว และได้ทราบเหตุการณ์กัด บรรลือโลก จนทำให้ซัวเรซต้องระเห็จออกจากลิเวอร์พูลไปบาร์เซโลน่า ทั้งที่ทุกอย่างลงตัวและสวยงามทั้งหมดแล้ว

"เราอยู่ข้างเขามาตลอด ต่อให้ใครจะพูดอะไร เพื่อนร่วมทีม สโมสร และแฟนบอลอยู่ข้างหลุยส์เสมอ แต่สุดท้ายเขาก็ทำให้เราผิดหวังอีกจนได้ เขาทำตะวเหมือนอยู่ในสนามเด็กเล่นอีกหน ทั้งที่เราทำทุกอย่างเพื่อเขามาตลอดเนี่ยนะ?..."
นั่นคือความเห็นของ เจมี่ คาราเกอร์ ที่ใช้เวลากับหลุยส์ใน ลิเวอร์พูลมา 2 ปีครึ่ง

"ผมสามารถยืนยันได้ว่า หากคุณได้พบกับเขาทุกๆวัน ไม่ใช่แค่บนสนาม คุณจะคิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นคนที่ทำแบบนี้ได้ นั่นทำให้พวกเราช่วยเหลือเขา และต่อสู้เพื่อเขาในช่วงเวลาที่เลวร้ายมาตลอด



ลิเวอร์พูลทำให้เขาสงบลงแล้ว เราคิดว่านั่นมันจะจบ แต่สุดท้ายเขาก็พ่ายแพ้ เขาไม่เคยเปลี่ยนเลย ผมเข้าใจว่า พอเขาออกไปจากสภาพแวดล้อมในลิเวอร์พูล (ไปฟุตบอลโลกที่บราซิล) มันก็ทำให้เขาสูญเสียการควบคุมอีก แต่ด้วยความสัตย์ ผมไม่คิดว่าเขาเปลี่ยนไปเลย เหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนได้เป็นอย่างดี กับทั้งอิวาโนวิคหรือบัคคาล มันเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า หลุยส์มีพฤติกรรมที่คล้ายกับมี "ปมทำลายตัวเอง" เขามีบุคลิกแบ่งแยก"

คาร์ร่าแสดงความเห็นด้วยความผิดหวัง

"เขาทำให้ทุกคนอับอาย คนที่ได้รับผลกระทบที่สุดคือเมียและลูกของเขา ผมคิดว่ามันถึงเวลาแล้ว ที่เขาจะต้องไป ในแง่ที่ทำให้เกิดประโยชน์กับทั้ง 2 ฝ่ายมากที่สุด มันเป็นสถานการณ์ที่ย่ำแย่สำหรับลิเวอร์พูล ตอนที่เขาเจอแบนในเคสอิวาโนวิค ทีมชาติอุรุกกวัยไม่ได้เสียหาย แต่เขาทำผิดในนามทีมชาติ ลิเวอร์พูลกลับได้รับผลกระทบไปด้วย นั่นมันทำให้มาถึงจุดที่ว่า พอคือพอ ..."

หลุยส์ถูกลิเวอร์พูลขายไป ยังบาร์เซโลน่าในราคาที่สูงลิบ แม้ก่อนหน้านี้จะมีข่าวลือหนาหูมาตลอดว่าเขาจะย้ายไปอยู่สโมสรในเมืองมาดริด แต่หลังจากฟุตบอลโลก ทุกอย่างมันกลับตาลปัตไปหมด เขาย้ายไปอยู่บาร์เซโลน่า ยอดสโมสรของโลก ที่เป็นฝันแห่งสุดท้ายของนักฟุตบอลหลายๆคน ที่ที่มีบ้านของแม่ยายของเขาตั้งอยู่ (ครอบครัวโซเฟีย ภรรยาของซัวเรสอยู่ที่บาร์เซโลน่า)



"ผมรักครอบครัวนะ ผมอยากเจอแม่และพ่อตลอด แต่ผมก็อยากอยู่กับเมียและลูกด้วย ผมรักพวกเขามากจริงๆ ทีแรกตอนเราย้ายมาอังกฤษ ผมคิดว่าเราจะปรับตัวไม่ได้ ในตอนต้นฤดูกาลผมยอมรับว่า มันหนักหนาสำหรับเรามาก (กรณีถูกสื่อโจมตีเรื่องกัดอิวาโนวิค แล้วครอบครัวได้รับความเดือดร้อน) และผมอยากหนีไปจากที่นี่ แต่สุดท้าย มันก็ดีขึ้น ผมมีความสุขมากที่ได้เล่นให้ลิเวอร์พูล ได้อยู่ที่นี่ ทุกอย่างมันยอดเยี่ยมจริงๆ เจอร์ราร์ดเป็นคนโน้มน้าวให้ผมอยู่ต่อ และผมต้องขอบคุณเขาที่ทำแบบนั้น เราแฮปปี้แล้ว และตอนนี้ผมแค่อยากพาทีมไปเล่นแชมป์เปี้ยนลีกส์อีกครั้ง รวมทั้งการได้แชมป์ลีกด้วย ทีมเรามีศักยภาพพอที่จะทำแบบนั้น ..." หลุยส์ให้สัมภาษณ์ในช่วงกลางฤดูกาล ในช่วงที่ทั้งหลุยส์ และ ลิเวอร์พูลกำลังฟอร์มร้อนแรงสุดๆในขณะนั้น



"ผมอยู่กับโซเฟียมา 11 ปี เธอเข้าใจผมทุกอย่าง เราคุยกันทุกเรื่อง นอกสนามผมไม่ใช่คนเก่งกล้าอะไร ผมมักคุยกับภรรยาเงียบๆ เราเล่นปริศนาทายคำกันอยู่บ่อยๆ เรามีความสุขที่ลิเวอร์พูล เดลฟิน่า พูดอังกฤษติดสำเนียงสเกาเซอร์แล้ว นั่นมันน่ารักมาก และผมโชคดีจริงๆ ที่เธอไม่ติดสำเนียงแบบ คาร์ร่า นั่นมันเลวร้ายเกินไปจริงๆ" หลุยส์เอ่ยถึงลูกและเมียพร้อมรอยยิ้ม

"ผมเสียใจสำหรับเหตุการณ์เลวร้ายที่ผ่านมา แต่เมื่อเราผ่านเรื่องเลวร้าย มันจะทำให้เราเติบโตขึ้น และตอนนี้ผมเป็นผู้ใหญ่แล้ว และผมจะไม่ทำผิดแบบเดิมซ้ำสองอีก ผมสงสารลูก ลูกผมกำลังโตและผมอยากเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับพวกเขา ... " หลุยส์ให้คำมั่นกับทุกคน ตอนที่ชีวิตเขาแฮปปี้สุดๆ มีความสุขสุดๆ ทั้งกับครอบครัวและหน้าที่การงาน

ไม่กี่เดือนต่อมา
เขาทำมันอีกครั้ง และคราวนี้เขาต้องย้ายทีม ถูกแบนนานเป็นประวัติการณ์ รวมทั้งถูกคนทั้งโลกตราหน้าว่า เขาอาจไม่มีทางกลับตัวได้แล้ว

"ผมเสียใจจริงๆ ต่อไปนี้ผมจะพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ดีกว่านี้ มันจะไม่เกิดขึ้นอีก"
เขาพูดขึ้นในตอนที่ชูเสื้อเบอร์ 9 กับบาร์เซโลน่า สโมสรที่ถือว่าคุณได้มาถึงจุดสูงสุดในอาชีพนักฟุตบอลแล้วก็ว่าได้

หรือนี่คือครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆ?

ปริศนาของซัวเรซ ยังไม่เคยถูกไข ตัวตนบนสนามกับนอกสนามเขาเหมือนเป็นคนละคน
และไม่เคยมีใครยืนยันชัดเจนว่าเกิดจากอะไร
นี่คือชายที่ทำให้แฟนบอลและเพื่อนๆร่วมทีมของเขาหลงรักอย่างง่ายดาย
พร้อมๆกับที่เป็นศัตรูกับคนทั้งโลก

Luis Alberto Suárez Díaz

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่