สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 14
ใช่เลย จุดตายและจุดแข็งของอยุทธยาคือ กลยุทธเรื่อง "น้ำ" หากข้าศึกสู้ไม่ได้ก็ต้องถอยทัพ หากแก้ได้อยุทธยาก็แตก
และที่ต้องชมเชยคือ กลยุทธของทางพม่า กล่าคือ
เสียกรุงครั้งที่2 พม่าตรงกับสมัยพระเจ้าช้างเผือก(หรือพระเจ้ามังระ คนเดียวกัน บุตรของพระเจ้าอลองพญา) มีแม่ทัพใหย่คู่บารมี 2 ท่าน คือ
ท่านแม่ทัพใหญ่เนเมียวสีหบดี ซึ่งยกทัพไปตีทางเหนือ ที่เมืองเชียงใหม่และเมืองหลวงพระบาง(พันธมิตรอยุทธยา)ตั้งแต่ต้นปี 2308 เมื่อตีเสร็จก็
ตั้งทัพรอที่เชียงใหม่ ส่วนอีกท่านคือท่านแม่ทัพใหญ่มังมหานรธาที่ยกทัพมาตีทางใต้ที่ เมืองทวาย(พันธมิตรของอยุทธยา) เมื่อตีเสร็จให้ตั้งทัพรอ
จากนั้นพระเจ้ามังระก็ให้ยกเข้าตีอยุทธยาทั้งสองทาง ทั้งเหนือใต้ จากกลยุทธดังกล่าวเมื่ออยุธยาโดนล้อมทำให้ไม่มีกำลังเสริมจากเหนือและใต้
ตลอดพันธมิตรจากล้านช้างมาช่วย ทำให้ต้องพึ่งต้นเอง และอยุธยาก็พลาดโดยให้มีทัพที่มีฝีมือผละเมืองตนเองให้เข้ามาป้องกันพระนคร ทิ้งเมือง
ไว้ให้แม่ทัพรองๆเฝ้าเมืองแทน พอโดนพม่าล้อมตีเมืองด้วยกำลังพลที่มากกว่าส่วนมากก็พากันทิ้งเมือง พม่าก็ตีเมืองรายทางทั้งเหนือและใต้โดย
สะดวกโดยเฉพาะเมืองพิษณุโลกก็เกิดกบฏในเมืองเสียเองทำให้อยุธยาขาดกำลังเสริมที่สำคัญไป จากนั้นพม่าก็ล้อมกรุงศรีไว้แม้ถึงฤดูน้ำหลาก
หน้าฝนก็ไม่กลับ พม่าล้อมอยู่อย่างนั้น ก็ไม่สามารถตีเมืองแตกได้ จนถึงหน้าแล้งน้ำลดพม่าจึงใช้วิธีการขุดอุโมงค์เพื่อจุดไฟสุมรากกำแพงเมืองตรง
หัวรอริมป้อมมหาชัย พอกำแพงเมืองทรุดพม่าจึงเข้าตีและยึดกรุงได้
รวมเวลาที่พม่าล้อมกรุงศรี 1 ปี 2 เดือน จึงตีเมืองแตกได้
ระยะเวลาขนาดนี้จะว่าพระเจ้าเอกทัศไม่มีความสามารถเลยก็คงไม่ใช่ เพราะหากไร้ความสามารถจริงคงต้านไม่อยู่เป้นเวลาแรมปีขนาดนี้ ช่วงที่
พระยาตากสั่งยิงปืนใหญ่เองคงเป็นช่วงที่พม่าจะหักเอาเมืองช่วงท้ายๆจะเข้ามาเผาฐานกำแพงเมือง และคงมองว่าคงต้านต่อไปอีกไม่ไหว เพราะ
อยุธยาเสบียงภายในทั้งอาหราและยุทธภัณท์ก็เริ่มหมด(โดยล้อมมาเป็นปีแล้ว) จะรอทัพเสริมยกมาช่วยก้ไม่มีเพราะพม่าตีแตกไปหมดแล้ว จึก
ตัดสินใจตีฝ่าวงล้อมออกนอกเมืองดังกล่าว
ส่วนที่ว่าห้ามยิงเพราะกลัวสนมตกใจนั้น คงเป็นเรื่องคี้ปากคนพูดไปมากกว่า
และที่ต้องชมเชยคือ กลยุทธของทางพม่า กล่าคือ
เสียกรุงครั้งที่2 พม่าตรงกับสมัยพระเจ้าช้างเผือก(หรือพระเจ้ามังระ คนเดียวกัน บุตรของพระเจ้าอลองพญา) มีแม่ทัพใหย่คู่บารมี 2 ท่าน คือ
ท่านแม่ทัพใหญ่เนเมียวสีหบดี ซึ่งยกทัพไปตีทางเหนือ ที่เมืองเชียงใหม่และเมืองหลวงพระบาง(พันธมิตรอยุทธยา)ตั้งแต่ต้นปี 2308 เมื่อตีเสร็จก็
ตั้งทัพรอที่เชียงใหม่ ส่วนอีกท่านคือท่านแม่ทัพใหญ่มังมหานรธาที่ยกทัพมาตีทางใต้ที่ เมืองทวาย(พันธมิตรของอยุทธยา) เมื่อตีเสร็จให้ตั้งทัพรอ
จากนั้นพระเจ้ามังระก็ให้ยกเข้าตีอยุทธยาทั้งสองทาง ทั้งเหนือใต้ จากกลยุทธดังกล่าวเมื่ออยุธยาโดนล้อมทำให้ไม่มีกำลังเสริมจากเหนือและใต้
ตลอดพันธมิตรจากล้านช้างมาช่วย ทำให้ต้องพึ่งต้นเอง และอยุธยาก็พลาดโดยให้มีทัพที่มีฝีมือผละเมืองตนเองให้เข้ามาป้องกันพระนคร ทิ้งเมือง
ไว้ให้แม่ทัพรองๆเฝ้าเมืองแทน พอโดนพม่าล้อมตีเมืองด้วยกำลังพลที่มากกว่าส่วนมากก็พากันทิ้งเมือง พม่าก็ตีเมืองรายทางทั้งเหนือและใต้โดย
สะดวกโดยเฉพาะเมืองพิษณุโลกก็เกิดกบฏในเมืองเสียเองทำให้อยุธยาขาดกำลังเสริมที่สำคัญไป จากนั้นพม่าก็ล้อมกรุงศรีไว้แม้ถึงฤดูน้ำหลาก
หน้าฝนก็ไม่กลับ พม่าล้อมอยู่อย่างนั้น ก็ไม่สามารถตีเมืองแตกได้ จนถึงหน้าแล้งน้ำลดพม่าจึงใช้วิธีการขุดอุโมงค์เพื่อจุดไฟสุมรากกำแพงเมืองตรง
หัวรอริมป้อมมหาชัย พอกำแพงเมืองทรุดพม่าจึงเข้าตีและยึดกรุงได้
รวมเวลาที่พม่าล้อมกรุงศรี 1 ปี 2 เดือน จึงตีเมืองแตกได้
ระยะเวลาขนาดนี้จะว่าพระเจ้าเอกทัศไม่มีความสามารถเลยก็คงไม่ใช่ เพราะหากไร้ความสามารถจริงคงต้านไม่อยู่เป้นเวลาแรมปีขนาดนี้ ช่วงที่
พระยาตากสั่งยิงปืนใหญ่เองคงเป็นช่วงที่พม่าจะหักเอาเมืองช่วงท้ายๆจะเข้ามาเผาฐานกำแพงเมือง และคงมองว่าคงต้านต่อไปอีกไม่ไหว เพราะ
อยุธยาเสบียงภายในทั้งอาหราและยุทธภัณท์ก็เริ่มหมด(โดยล้อมมาเป็นปีแล้ว) จะรอทัพเสริมยกมาช่วยก้ไม่มีเพราะพม่าตีแตกไปหมดแล้ว จึก
ตัดสินใจตีฝ่าวงล้อมออกนอกเมืองดังกล่าว
ส่วนที่ว่าห้ามยิงเพราะกลัวสนมตกใจนั้น คงเป็นเรื่องคี้ปากคนพูดไปมากกว่า
แสดงความคิดเห็น
สงสัยเรื่อง พระเจ้าเอกทัศน์สั่งห้ามยิงปืนใหญ่เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง ??
ถ้าบอกว่าห้ามยิงเพราะกระสุนมีน้อยให้ใช้อย่างจำกัดยังพอว่าเพราะตอนนั้นเราโดนล้อมทำให้ไม่มีกระสุนมาเพิ่ม
แต่นี่กลับเป็นว่าห้ามยิงเพราะกลัวสนมตกใจ มันแปลกๆๆอะครับ อยากรู้ถ้าเป็นเรื่องแต่งเพราะอะไรถึงต้องแต่งแบบนี้