นงนุช สิงหเดชะ กับ อาการ "ทักษิณ Phobia" มติชนออนไลน์

กระทู้สนทนา
นงนุช สิงหเดชะ: รหัสนัยจาก "ทักษิณ" รอวันกลับมา "ป่วน"?

บทความพิเศษ

มติชนสุดสัปดาห์  29 สิงหาคม - 4 กันยายน 2557

หลังการรัฐประหารครั้งล่าสุด แม้หลายคนจะโล่งใจว่าอย่างน้อยความขัดแย้งทางการเมือง
ที่ถึงกับเข่นฆ่ากันตายด้วยอาวุธสงคราม ก็ยุติลง และช่วยปลดล็อกประเทศให้เดินหน้าต่อไปได้

แต่เชื่อว่าลึกๆ แล้วคนจำนวนไม่น้อยหวั่นใจอยู่เช่นกันว่าความสงบสุขนี้จะดำรงอยู่ได้นานสักเท่าไร

แน่นอนว่าตราบใดที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยังอยู่ในอำนาจ ก็พอจะอุ่นใจได้ว่า
พวกที่ใช้ความรุนแรง กร่างคับบ้านคับเมือง คงยังไม่กล้าออกมาป่วน

เพราะอย่างน้อยตำรวจและทหารก็สามารถกวาดล้างจับกุมทั้งผู้ต้องหาและอาวุธได้แล้วจำนวนมาก

แต่ที่น่าหวั่นใจก็คือ หลังจากมีการเลือกตั้งแล้ว พรรคการเมืองเดิมที่เคยเป็นปัญหาจะกลับมา
มีอำนาจอีกหรือไม่

และหากกลับมามีอำนาจจะทำพฤติกรรมเดิมคือใช้แก้ว 3 ประการ (มวลชน พรรคการเมืองและอาวุธ
+ความรุนแรง) จนทำให้ประเทศกลับไปสู่วังวนเดิม อีกหรือเปล่า

เพราะแม้คนเหล่านี้จะเงียบไป แต่ก็เชื่อว่าจะเป็นการเงียบชั่วขณะ หรือที่เรียกกันว่า "แกล้งตาย"
คือแกล้งทำเป็นสงบ ไม่เคลื่อนไหว และให้ความร่วมมือกับ คสช. แต่แท้จริงแล้ว อาจแค่ "รอวันเอาคืน"

กล่าวคือ เมื่อ "น้ำเลี้ยง" ถูกส่งมาตามท่ออีกเมื่อไหร่ ก็พร้อมจะมีคนมารับจ้างสร้างความรุนแรง



เหตุที่น่าเชื่อว่าขบวนการเหล่านี้พร้อมจะฟื้นกลับมาใหม่ ก็เพราะมีหลายประเด็นที่ตำรวจ ทหาร
ยังไม่ได้ดำเนินการจนถึงที่สุดในแง่การเอาผิดกับ "ตัวเป้ง" ในคดีใช้อาวุธก่อความรุนแรงต่อผู้ชุมนุม
ทางการเมืองช่วงต้นปีนี้

พูดให้ชัดก็คือยังไม่ดำเนินการเอาผิดกับระดับนักการเมืองที่อยู่เบื้องหลังของบรรดาผู้ต้องหาที่ตำรวจ
จับกุมได้ หรือยังจับกุมไม่ได้เพราะหลบหนีอยู่

ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองที่อยู่เบื้องหลัง นายโกตี๋ นายตั้ง อาชีวะ

หรือนักการเมืองที่อยู่เบื้องหลังผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้จากคดีใช้ระเบิดขว้างและระเบิดเอ็ม 79
เข่นฆ่าผู้ชุมนุมทางการเมือง

มีเพียงคดีเดียวคือคดีจับกุมขบวนการ "ขอนแก่นโมเดล" ที่สามารถโยงใยไปถึงอดีตสมาชิก
พรรคการเมืองคนหนึ่ง ซึ่งน่าเชื่อว่าในทางลับ ยังคงเป็นเครื่องไม้เครื่องมือในการเคลื่อนไหว
ใต้ดินในต่างประเทศให้กับพรรคการเมืองและนักการเมืองใหญ่ แต่อดีตสมาชิกคนนั้นหลบหนี
ไปต่างประเทศหลายปีแล้ว และทางการยังไม่สามารถนำตัวมาลงโทษได้

ขณะที่สมาชิกพรรคการเมืองพรรคนั้นหลายคนยังอยู่ในเมืองไทย และน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับ
การจัดหาอาวุธ แต่ก็ยังไม่ปรากฏว่าตำรวจในยุค คสช. จะสืบค้นหาความเชื่อมโยงให้ถึงที่สุด

ดูแล้วคล้ายๆ กับออมมือหรือรามือยังไงยังงั้น ทั้งที่บางคดีผู้ต้องหาให้การชัดเจนว่าไปรับอาวุธมา
จากห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง

หากไม่สามารถติดตามจับกุมตัวเป้งๆ ที่เป็นตัวบงการในการก่อความรุนแรง รวมทั้งไม่ดำเนินคดี
สั่งฟ้องผู้ต้องหาที่จับกุมได้แล้วให้เสร็จสิ้นในยุค คสช. เชื่อว่าอาจเกิดการพลิกผันในภายหลังได้
เพราะเมื่อมีการเลือกตั้งและได้รัฐบาลใหม่เข้ามา รัฐบาลใหม่ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นขั้วอำนาจเดิม ก็อาจ
ทำการเปลี่ยนตัวอัยการ อันจะมีผลต่อการฟ้องคดีต่อศาลให้พลิกผันไปอีกทางหนึ่ง โอกาสที่
ผู้ต้องหาจะหลุดคดีก็มีสูง

เมื่อสัปดาห์ก่อนมีรายงานว่าคุณทักษิณ ซึ่งเดินทางมาป้วนเปี้ยนที่ฮ่องกง หลังเสร็จสิ้นการฉลอง
วันเกิดที่ฝรั่งเศสเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม ซึ่งคาดว่าการเดินทางมาฮ่องกง ก็เพื่อเปิดทางให้ลูก
พรรคบินไปหาได้สะดวกขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้ในช่วงวันเกิด ซึ่งจัดขึ้นที่ปารีส คุณทักษิณสั่ง
ไม่ให้ลูกพรรคบินไปอวยพร อ้างว่าไม่อยากให้ คสช. เพ่งเล็ง จึงมีเพียงน้องสาวและญาติใกล้ชิด
ไปร่วมงาน

การเดินทางมาฮ่องกงครั้งนี้มีกระแสข่าวรายงานว่าคุณทักษิณได้บอกกับลูกพรรคว่า "ให้ทุกคนร่วมมือ
กับ คสช. เพราะถ้า คสช. ทำอะไรไม่สำเร็จแล้วจะมาโยนความผิดให้เรา คสช. คงอยู่ได้ไม่เกิน 1 ปี
ตามที่ประกาศไว้เพราะแรงกดดันจะมีเยอะ อีกทั้งเศรษฐกิจมีปัญหา ส่วนการปฏิรูปการเมืองคงสำเร็จยาก"

เชื่อว่าแหล่งข่าวที่นำข่าวนี้มาปล่อยกับนักข่าว คงได้รับไฟเขียวจาก "นาย" มาแล้ว และปล่อยข่าว
เพื่อตั้งใจจะสร้างภาพว่าตอนนี้คุณทักษิณหยุดเคลื่อนไหวแล้วและจะไม่ทำตัวเป็นอุปสรรคของ คสช.

หากฟังอย่างผิวเผิน ก็อาจดูดี แต่หากพิเคราะห์อีกด้านหนึ่ง มีรหัสนัยบางอย่างอยู่ในคำพูดของ
คุณทักษิณ นั่นคือเขาเชื่อมั่นว่าการปฏิรูปการเมืองคงสำเร็จยาก เมื่อสำเร็จยาก ก็หมายความว่า
พรรคของทักษิณมีโอกาสจะกลับมาครองอำนาจอีก

การปฏิรูปประเทศตามโรดแม็ปของ คสช. ซึ่งขณะนี้กำลังสรรหาบุคคลที่จะมาเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปอยู่นั้น
เรื่องเร่งด่วนที่จะปฏิรูปก่อนคือเรื่องการเมือง (กฎกติกาเรื่องพรรคการเมือง ตลอดจนการเข้าสู่อำนาจของ
สมาชิกนิติบัญญัติแห่งชาติและฝ่ายบริหาร ที่อาจจะเข้มงวดกว่าเดิม) และปัญหาคอร์รัปชั่น

ประเด็นหลักๆ ของปัญหาการเมืองไทยในปัจจุบัน ตามที่ผู้รู้ประมวลไว้ก็คือ 1.เงินเป็นใหญ่ คนคนเดียว
ครอบงำทั้งพรรค 2.เกิดเผด็จการรัฐสภา 3.เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นสูง 4.คนเก่งและซื่อสัตย์ไม่มีโอกาส
เข้าสู่สภา

กรอบการปฏิรูปของ คสช. มุ่งหมายจะแก้ปัญหาเหล่านี้ แต่ก็ยังไม่มีใครรับประกันว่าจะสำเร็จหรือไม่
เพราะอาจเกิดปัจจัยแทรกซ้อนขึ้นมา

ในเมื่อทักษิณประเมินว่าการปฏิรูปการเมืองคงไม่สำเร็จ (หมายถึงแก้กฎกติกาการเข้าสู่อำนาจของ
นักการเมืองไม่สำเร็จ) เขาก็น่าจะเชื่อว่าพรรคของเขามีโอกาสจะกลับมามีอำนาจ อันหมายถึงปัญหา
หลักของการเมืองไทยยังคงอยู่ นั่นคือ 1.เงินเป็นใหญ่ คนคนเดียวครอบงำทั้งพรรค 2.เกิดเผด็จการรัฐสภา
3.เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นสูง 4.คนเก่งและซื่อสัตย์ไม่มีโอกาสเข้าสู่สภา

หรือหากแม้การปฏิรูปการเมืองทำสำเร็จ มีการออกกฎกติกาเข้มงวด แต่พรรคของเขายังสามารถหา
ช่องหลบหลีกจนได้กลับมามีอำนาจอีก ขั้นตอนต่อไป พวกเขาก็จะทำแบบเดิมนั่นคือ แก้ไขรัฐธรรมนูญ
ที่พวกเขาเห็นว่าไม่เอื้อประโยชน์แก่พวกตน ออกกฎหมายนิรโทษกรรม

ดังนั้น หากพรรคของทักษิณกลับมามีอำนาจอีก ก็จะสร้างความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของประเทศอีกรอบ
เพราะดูระยะยาวแล้วพวกเขายังไม่ยอมแพ้ เห็นได้จากการพยายามประชาสัมพันธ์ตัวเองให้ติดหูติดตา
ประชาชน เช่นกรณียิ่งลักษณ์ ออกไปจ่ายตลาดที่ห้างแห่งหนึ่งทันทีในเช้าวันรุ่งขึ้น (11 สิงหาคม) ทั้งที่
เพิ่งบินกลับจากต่างประเทศเมื่อกลางดึก 10 สิงหาคม

ปกติคนที่กลับจากเมืองนอกมักจะมีอาการเจ๊ตแล็ก (แม้ว่าจะนั่งชั้นเฟิร์สต์คลาสและได้นอนสบายก็ตามเถอะ)
คงไม่มีใครรีบออกไปจ่ายตลาด และยิ่งเป็นคนระดับนั้นยิ่งไม่จำเป็นออกไปจ่ายตลาดด้วยตัวเอง

แต่การออกไปจ่ายตลาดของเธอมีเป้าประสงค์บางอย่างแน่นอน เห็นได้จากมีการถ่ายคลิปอย่าง
เป็นกิจจะลักษณะออกมาเผยแพร่ เพื่อให้รู้ว่าเธอกลับมาเมืองไทยแล้ว

ยิ่งลักษณ์และพรรคของทักษิณ เชี่ยวชาญวิชาการตลาด พวกเขารู้ว่าต้องทำตัวให้อยู่ในความสนใจ
รับรู้ของสาธารณชนตลอด เช่นเดียวกับสินค้า ที่แม้จะเป็นสินค้าดีแต่หากไม่มีการโฆษณาตอกย้ำให้
คนรับรู้ถี่ๆ คนก็จะลืมได้

หรือถึงแม้เป็นสินค้าห่วย ไม่ดี แต่ถ้าทุ่มงบฯ โฆษณาเยอะๆ สร้างภาพเก่งๆ เพื่อหลอกล่อ ก็อาจทำให้
ผู้บริโภคหลงเชื่อว่าเป็นสินค้าดีและควักกระเป๋าซื้อได้

หลายคนตีความว่า การที่ 3 อดีตนายกฯ ในชายคาตระกูลชินวัตร ทั้งทักษิณ-ยิ่งลักษณ์-สมชาย
ถ่ายภาพร่วมกันล่าสุดที่สิงคโปร์เมื่อต้นเดือนสิงหาคมและนำภาพออกเผยแพร่นั้น คล้ายกับต้องการ
ประกาศว่าพวกเขายังมีอิทธิพลสูงสุดในเมืองไทย

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1409844141&grpid=03&catid=&subcatid=

บทความนี้  ลบภาพ "สื่อสีแดง"  ไปจากมติชนได้เป็นอย่างดี  
ดูเหมือนอ่านจบ  ภาพของตระกูล "ชินวัตร"  เปรียบประดุจ  ปีศาจร้าย  ไม่สมควรที่จะ
ให้มีที่ยืนในประเทศไทย  เพราะอาจทำให้บ้านเมืองบ้านเมือง  ล่มจมได้
เมื่อคิดแบบนี้ซะแล้ัว    เพราะฉะนั้น  ก็คงต้องทำไงก็ได้  ไม่ให้มีการเลือกตั้ง  เพราะกลัว  "ชินวัตร"  จะกลับมา
ไม่เรียก "ทักษิณ Phobia"  แล้วจะเรียกอะไรดี  สำหรับคอลัมนิสต์คนนี้  
พี่สาว ....  ว่ายิ่งกว่า  "แนวหน้า"  นะแม่นางคนนี้
  ยิ้ม


สาวแว่น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่