อิฉันได้ดูรายการสมาคมเมียจ๋าค่ะ ตอนที่คุณเมย์ พิชนาฎมาออก
คุณหนูแหม่ม ถาม คุณเมย์พิชว่า ถ้าแต่งงานกับผัวรวยจะเลิกทำงานไหม เมย์พิชก็ตอบว่าไม่นะ ก็ทำงานต่อ
คุณหนูแหม่มก็ให้เหตุผล ว่า "ที่พี่ถามไม่มีอะไรหรอกนะ พี่เห็นสาวๆสมัยนี้พอแต่งงานแล้วเลิกทำงาน คุณค่าจะหมดไปทันที"
ขอโทษนะคะ ทุกคนมีบทบาทในช่วงชีวิตที่แตกต่างกัน ถ้าไม่ได้อยู่ในจุดที่เป็นเหตุผลให้เขาต้องตัดสินใจเช่นนั้น อย่าให้ความเห็นเชิงเหยียดผู้อื่นจะดีกว่านะคะ คุณอาจจะมองว่า ผู้หญิงที่ไม่มีงานประจำทำ หรือมีงานทำแบบคุณนั้น ไม่มีค่า แต่บทบาทหนึ่งที่คุณเองก็มีไม่ได้ คือ แม่ของลูก กลับกันถ้าคุณถูกมองในแง่ของความสามารถในการเป็นภรรยา ก็ถือว่าคุณหมดคุณค่าไหมคะ คำตอบ คือ ไม่ค่ะ คนทุกคนมีคุณค่าในแบบตัวเอง
คุณเป็นกระบอกเสียงอันหนึ่งที่ดังมากในสังคม กรุณาเข้าใจ และหยุดการแพร่ทัศนคติเชิงลบ ประเภท ลดทอนศักดิ์ศรีและคุณค่าของเพศเดียวกันลง เพียงเพราะคนเหล่านั้นเลือกได้ที่จะเป็นแม่บ้านเต็มตัว หรือมีเหตุต้องเป้นแม่บ้านเต็มตัวก่อน ไม่ว่าจะถาวร หรือชั่วคราว หรือดูเหมือนจะเป็นเพียงแม่บ้านว่างๆชิลล์ๆอยู่บ้านเฉยๆก็ตาม
สังคมทุกวันนี้อยู่ยากค่ะ ด้วยปัจจัยอะไรหลายๆอย่าง บวกกับ คนธรรมดาที่ไม่ใช่ดารามีช่องทางที่สามารถตอบโต้กับคำพูด หรือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของคนที่มีชื่อเสียงได้ การพูดอะไรต้องคิดให้มากๆค่ะ ไม่ใช่พูดแล้วบอกว่าคนอื่นตีความผิดไป ทั้งๆที่รู้ทั้งรู้ว่า คำพูดหนึ่งคำ คนสามารถนำมาตีความอะไรได้หลากหลาย ถ้ามันบังเอิญไปกระแทกปมในใจ หรือสิ่งที่เขากำลังดำรงอยู่ เช่น สถานะแม่บ้านด้วยเหตุผลส่วนตัวที่แตกต่างกันไป แต่การแพร่กระจายความคิดชนิดนี้ออกมา คนที่รับสื่อมา บางคนเขามีผลกระทบนะคะ
ไม่มีใครชอบที่จะถูกลดคุณค่าในสิ่งที่ทำอยู่ และการเอาความดีมาอ้างก็ไม่สามารถลบล้างความไม่เหมาะสมที่ทำได้ หวังว่าคุณหนูแหม่มคงจะพอเข้าใจสิ่งที่ดิฉันต้องการสื่อนะคะ
และอยากขอพิธีกรร่วมรายการที่มีทั้งฐานะแม่(3คน) และเมีย(อีก1คนไม่นับรวมคุณหนูแหม่ม) เรื่องบางเรื่องไม่ต้องเออ ออไปด้วยกันก็ได้นะคะ การส่งเสริมให้เกิดการเหยียดสถานะคนอื่นมันไม่ได้สวยงามค่ะ
เพราะการส่งเสริมการแบ่งแยกชนิดนี้ มันเป็นการเหยียดซึ่งเป็นปัญหาสิทธิมนุษยชนอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นทั้งในสังคม ซึ่งเราไม่ควรจะเอาความแตกต่างมาแบ่งแยกมนุษย์ด้วยกัน ว่า คนไหนมีคุณค่ามากกว่ากัน เพราะมันอาจจะส่งผลกระทบที่เลวร้ายต่อผู้ที่ต้องเสียหายทั้งในด้านชีวิตความเป็นอยู่ สุขภาพทางร่างกาย และโดยเฉพาะทางจิตใจ ได้
ขอฝากค่ะ คุณหนูแหม่ม สุริวิภา และพิธีกรในรายการสมาคมเมียจ๋า
คุณหนูแหม่ม ถาม คุณเมย์พิชว่า ถ้าแต่งงานกับผัวรวยจะเลิกทำงานไหม เมย์พิชก็ตอบว่าไม่นะ ก็ทำงานต่อ
คุณหนูแหม่มก็ให้เหตุผล ว่า "ที่พี่ถามไม่มีอะไรหรอกนะ พี่เห็นสาวๆสมัยนี้พอแต่งงานแล้วเลิกทำงาน คุณค่าจะหมดไปทันที"
ขอโทษนะคะ ทุกคนมีบทบาทในช่วงชีวิตที่แตกต่างกัน ถ้าไม่ได้อยู่ในจุดที่เป็นเหตุผลให้เขาต้องตัดสินใจเช่นนั้น อย่าให้ความเห็นเชิงเหยียดผู้อื่นจะดีกว่านะคะ คุณอาจจะมองว่า ผู้หญิงที่ไม่มีงานประจำทำ หรือมีงานทำแบบคุณนั้น ไม่มีค่า แต่บทบาทหนึ่งที่คุณเองก็มีไม่ได้ คือ แม่ของลูก กลับกันถ้าคุณถูกมองในแง่ของความสามารถในการเป็นภรรยา ก็ถือว่าคุณหมดคุณค่าไหมคะ คำตอบ คือ ไม่ค่ะ คนทุกคนมีคุณค่าในแบบตัวเอง
คุณเป็นกระบอกเสียงอันหนึ่งที่ดังมากในสังคม กรุณาเข้าใจ และหยุดการแพร่ทัศนคติเชิงลบ ประเภท ลดทอนศักดิ์ศรีและคุณค่าของเพศเดียวกันลง เพียงเพราะคนเหล่านั้นเลือกได้ที่จะเป็นแม่บ้านเต็มตัว หรือมีเหตุต้องเป้นแม่บ้านเต็มตัวก่อน ไม่ว่าจะถาวร หรือชั่วคราว หรือดูเหมือนจะเป็นเพียงแม่บ้านว่างๆชิลล์ๆอยู่บ้านเฉยๆก็ตาม
สังคมทุกวันนี้อยู่ยากค่ะ ด้วยปัจจัยอะไรหลายๆอย่าง บวกกับ คนธรรมดาที่ไม่ใช่ดารามีช่องทางที่สามารถตอบโต้กับคำพูด หรือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของคนที่มีชื่อเสียงได้ การพูดอะไรต้องคิดให้มากๆค่ะ ไม่ใช่พูดแล้วบอกว่าคนอื่นตีความผิดไป ทั้งๆที่รู้ทั้งรู้ว่า คำพูดหนึ่งคำ คนสามารถนำมาตีความอะไรได้หลากหลาย ถ้ามันบังเอิญไปกระแทกปมในใจ หรือสิ่งที่เขากำลังดำรงอยู่ เช่น สถานะแม่บ้านด้วยเหตุผลส่วนตัวที่แตกต่างกันไป แต่การแพร่กระจายความคิดชนิดนี้ออกมา คนที่รับสื่อมา บางคนเขามีผลกระทบนะคะ
ไม่มีใครชอบที่จะถูกลดคุณค่าในสิ่งที่ทำอยู่ และการเอาความดีมาอ้างก็ไม่สามารถลบล้างความไม่เหมาะสมที่ทำได้ หวังว่าคุณหนูแหม่มคงจะพอเข้าใจสิ่งที่ดิฉันต้องการสื่อนะคะ
และอยากขอพิธีกรร่วมรายการที่มีทั้งฐานะแม่(3คน) และเมีย(อีก1คนไม่นับรวมคุณหนูแหม่ม) เรื่องบางเรื่องไม่ต้องเออ ออไปด้วยกันก็ได้นะคะ การส่งเสริมให้เกิดการเหยียดสถานะคนอื่นมันไม่ได้สวยงามค่ะ
เพราะการส่งเสริมการแบ่งแยกชนิดนี้ มันเป็นการเหยียดซึ่งเป็นปัญหาสิทธิมนุษยชนอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นทั้งในสังคม ซึ่งเราไม่ควรจะเอาความแตกต่างมาแบ่งแยกมนุษย์ด้วยกัน ว่า คนไหนมีคุณค่ามากกว่ากัน เพราะมันอาจจะส่งผลกระทบที่เลวร้ายต่อผู้ที่ต้องเสียหายทั้งในด้านชีวิตความเป็นอยู่ สุขภาพทางร่างกาย และโดยเฉพาะทางจิตใจ ได้