สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 23
จะเป็นการตัดหน้า จขกท.รึเปล่าอ่า พอดีเราไปตามเครดิตมา เพราะทนรอไม่ไหวเหมือนกัน ฮ่าๆๆ ในเครดิตเพิ่งอัพตอน 2 ขออนุญาตเอามาลงก่อน จขกท.นะคะ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
กว่าจะมาเป็นแอร์ฯยุ่นภาคแรก ตอนที่สอง
หลังจากร้องไห้ฟูมฟายจนหลับไปได้สักครู่หนึ่ง พอตื่นขึ้นก้อมีสติตัวหนึ่งบอกว่าเรามีเบอร์โทรฯของครูสอนภาษาญี่ปุ่นคนนึงอยู่ในมือถือ ต้องรีบโทก่อนที่จะดึกมากไปกว่านี้ หรืออาจจะสายมากไปกว่านี้...
ในความโชคร้ายมักมีความโชคดีอยู่บ้างอย่างที่เค้าบอกกัน ในวันนั้นเราได้มีโอกาสคุยกะเพื่อนกลุ่มหนึ่งในห้องเดียวกันกะเราเนี่ยล่ะว่าพวกเค้าไปเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ไหนกันหรอแนะนำหน่อยได้มั้ย คงเห็นเคสของเราแล้วใช่มั้ย คงจะต้องเป็นคอร์สส่วนตัวแล้วล่ะเพราะต้องติวตัวต่อตัว คงไม่มีใครเพิ่งเริ่มเรียนแบบเรา แถมยังต้องเรียนหลังเลิกเทรนด้วยเพราะว่านับจากนี้คือการเริ่มเทรนจริงแล้ว แล้วนี่คือรุ่นสุดท้าย ไม่สามารถเลื่อนไปเทรนรุ่นหลังได้
เราได้เบอร์โทรฯเบอร์นี้มาจากกลุ่มเพื่อนในรุ่น เพื่อนๆบอกว่าครูคนนี้เปิดสอนอยู่ มีแต่คนไปเรียนกัน โดยเฉพาะคนที่ได้รับคัดเลือกให้มาเทรนที่นี่ ลองโทไปดูว่าครูเค้าว่างมั้ย...
“สวัสดีค่ะครู หนูอยากลงเรียนญี่ปุ่นกับครูค่ะ” “เอ...ตอนนีก้อเต็มแล้วน่ะคะ” ครูตอบกลับมาเป็นภาษาไทยที่ไม่ค่อยชัด เรารู้เลยว่าครูไม่ใช่คนไทยแต่เป็นคนญี่ปุ่นซึ่งพูดไทยได้ในสำเนียงญี่ปุ่น เราถึงกะอึ้งไปเลยพอครูตอบกลับมาแบบนั้น ความหวังมันหมดลงแล้วจริงๆ เราเลยหายใจลึกๆแล้วรวบรวมสติเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเราตอนนี้ให้ครูฟังว่า
เรายอมรับว่าเราผิดไปแล้วที่ละเลยการเตรียมพร้อมก่อนการเข้าไปเทรน เหตุการณ์วันนี้เราได้รับบทเรียนแล้ว อยากขอแก้ตัวใหม่และจะตั้งใจทำให้ได้ค่ะ เสียงในโทรศัพท์เงียบไปสักพัก...
”โอเคค่ะ แต่ต้องตั้งใจเรียนนะคะ แล้วต้องมาเรียนทุกวัน หลังเลิกเทรนก้อต้องมาเลย เสาร์อาทิตย์ก้อต้องมา ไม่งั้นไม่ทันเพื่อนแน่ๆค่ะ” เรารีบตอบตกลงอย่างไม่รีรอด้วยเสียงที่ดีใจที่สุด มันเหมือนมีแสงสว่างส่องเข้ามาที่ใจเรา เรามีโอกาสที่จะได้เทรน มีโอกาสพิสูจน์ตัวเองแล้วว่า “ไม่ใช่ค่ะครู นี่ไม่ใช่ตัวตนของเรา” หนูจะแสดงให้ครูเห็นค่ะว่าตัวตนที่แท้จริงของหนูคืออะไร...
เช้าวันใหม่...เราต้องตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อที่จะเดินทางไปเทรนที่บริษัทในย่านใจกลางเมืองที่รถติดแบบบ้าคลั่ง การเดินทางไปเทรนนั้นก้อไม่สะดวกสบายแบบที่ใครๆคิดว่าแอร์ฯควรจะเป็น เพราะตอนนี้เรายังไม่มีเงินเดือนแบบแอร์ฯตัวจริง เรายังเป็นแค่”แอร์ไข่” ที่กำลังจะฟักตัวเพื่อสยายปีกโบยบินไปเป็นแอร์ตัวจริงในอนาคตอันใกล้นี้ ถ้าเราผ่านการเทรน...
ช่วงแรกๆเราเดินทางโดยสองสิ่งนี้ คือนั่งรถแท๊กซี่ไปลงที่สถานีรถไฟใต้ดินแล้วนั่งรถไฟใต้ดินต่อไปที่ตึกเทรนเพื่อเลี่ยงปัญหารถติดในย่านธุรกิจนั้น ขากลับก้อทำแบบเดิมนั่งรถไฟใต้ดินกลับต่อแท้กซี่แต่ไม่ได้กลับบ้านเพราะต้องไปเรียนภาษาญี่ปุ่นต่อเลย แล้วก้อนั่งแท้กซี่จากที่บ้านครูกลับบ้านตัวเอง ชีวิตต่อจากนี้คือต้องรายงานตัวเข้าเทรนตอน8โมงเช้าค่ะเลิก5โมงเย็น นั่งรถไปเรียนภาษาญี่ปุ่นต่อตอนสองทุ่มเลิกสี่ทุ่มกลับถึงบ้านห้าทุ่มนอนเที่ยงคืนกว่า ตื่นตีห้าเพื่อเดินทางไปเทรน ชีวิตเป็นแบบนี้ตลอดการเทรน ถามว่าทานข้าวตอนไหนนะหรอ...ต้องซื้อข้าวห่อใส่กล่องไปกินระหว่างทางกลับบ้าน จากที่เรียนภาษาญี่ปุ่น เพราะพอกลับบ้านก้อหมดแรงแล้วจริง ต้องลากตัวเองไปอาบน้ำแล้วทวนที่เรียนมาต่ออีกหนึ่งรอบและบทต่อไปที่จะเรียนในวันพรุ่งนี้เพื่อที่จะได้ทันคนอื่น ตอนนั้นอายุก้อ26แล้วแต่ยังต้องมานั่งทำอะไรแบบนี้เหมือนตอนเรียนมัธยม มันอึดอัดจริงๆ และเหนื่อยมากที่สุดในชีวิต...แต่มันมีเสียงก้องอยู่ในหัวว่า “อย่ายอมแพ้นะ ต้องทำให้ได้ เพื่อตัวเองและครอบครัว คนอื่นเค้ายังทำได้เลย เราก้อต้องทำได้สิ”
ช่วงหลัง มีเพื่อนคนนึงแนะนำว่ามีวินรถตู้แถวบ้านวิ่งตรงมาที่ตึกเลย เราเลยลองนั่งดูเพื่อที่จะประหยัดเวลาและประหยัดเงินด้วย เพราะค่าเรียนภาษาตัวต่อตัวมันก้อแพงไม่ใช่น้อย อระไรประหยัดได้เราต้องทำ ต้องเทรนอีก4เดือน กะรถตู้วินบอกตรงๆว่าเวียนหัวมากเวลานั่ง เพราะรถตู้วิ่งเร็วมาก อีกทั้งยังเหวี่ยงตลอดทาง แต่ก้อต้องอดทนเพื่อที่เราจะได้มีเวลานอนเพื่มขึ้นอีกครึ่งชม.ตอนเข้า กลายเป็นตื่นได้ตีห้าครึ่ง เพราะรถตู้ออกประมาณ6โมงสิบห้า
เพื่อนบางคนเค้ารู้ข่าวมาก่อนว่าการเทรนจะหนักมากขึ้นเรื่อยๆตอนที่เค้าไปเรียนปรับพื้นฐานกัน เค้าถึงกับจับคู่เช่าหอแชร์กันอยู่แถวนั้น เพื่อที่จะได้เอาเวลาการเดินทางที่เสียไปเปลี่ยนมาเป็นการอ่านหนังสือกันเลยทีเดียว ซึ่งเราคิดว่านั่นเป็นความคิดที่ดีจริงๆ จะได้ไม่ต้องมาลำบากแบบเรา...เป็นแอร์นี่มันไม่ใช่ง่ายๆนะ
เราคิดว่าเราเป็นคนเข้มแข็งนะ แต่คนเข้มแข็งอย่างเราขอสารภาพว่านอนร้องไห้เกือบทุกคืน ด้วยความที่ร่างกายมันอ่อนล้า สมองมันถุกใช้อย่างหนักจากการเรียนภาษาญี่ปุ่นโดยมีเวลาจำกัดให้ทันในห้องเรียน การท่องจำให้ได้เพื่อที่จะต้องสอบให้ผ่านในวันรุ่งขึ้น ของเก่ายังไม่ทันเข้าใจของใหม่ก้อรี่เข้ามาจ่อแล้ว ความกดดันต่างๆ กลับบ้านก้อไม่อยากพูดกับใคร จนทุกคนที่บ้านเริ่มเป็นห่วง แต่เราก้อซ่อนไว้ไม่ให้ใครรู้ อาจมีบางวันที่ร้องไห้หนักไปหน่อยเลยทำให้หนังตามันบวมแบบเห็นได้ชัด แต่ก้อบอกปัดไปว่าแค่นอนน้อย ตื่นเช้าตาเลยบวม
กดดันจากอะไรนะหรอ... ไม่ใช่เพราะคนอื่นเลย...ก้อจากสภาพที่ทุกวันเราเป็นคนที่ทำให้ทุกคนสะดุดในระหว่างคลาสเรียนญี่ปุ่นเพราะเราว่าครูถามเราแล้วเรายังตอบไม่ได้ในช่วงสองอาทิตย์แรก เรายังอ่านคำไม่ออก พอจำได้แล้วว่าตัวอักษรอ่านยังไง แต่พอมาผสมยังอ่านไม่ได้เลย ทีนี่เค้าเทรนเป็นภาษาญี่ปุ่นล้วนไม่มีภาษาอังกฤษหรือไทยมาช่วยเลย ผ่านไปสี่อาทิตย์เราเริ่มทำให้ในคลาสสะดุดน้อยลง เราสามารถตอบกลับครูในคลาสได้แต่อาจจะช้าหน่อยแต่ดีกว่าสามอาทิตย์ที่แล้ว ครูเริ่มถามเรามากขึ้น เพราะเมื่อก่อนครูจะข้ามเราไปทันทีเพราะไม่อยากทำให้เรารู้สึกอายมากที่เราจะตอบไม่ได้ นั่นก้อต้องขอบคุณอาจารย์มาก
สองเดือนผ่านไปชีวิตของเราก้อยังคงเป็นวงจรเดิม เทรนเสร็จก้อเรียนต่อ เสาร์อาทิตย์ก้อต้องเรียน แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือเราผ่านการสอบข้อเขียนภาษาญี่ปุ่น แม้ว่าครั้งแรกเราจะผ่านเส้นยาแดงมา 0.5 คะแนนก้อตาม เราได้80.05 จาก 100คะแนน การเทรนที่นี่ต้องผ่านอย่าง 80%ขึ้นไป เราดีใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ในคลาสเรียนเมื่อได้รับผลคะแนนจากครู ซึ่งครูและเพื่อนๆในคลาสก้อดีใจกับเราด้วยและให้กำลังใจเราต่อไป
ในการสอบครั้งต่อไปจะป็นการสอบโต้ตอบกับครูและกับเทปเพื่อทดสอบทักษะในการฟังและการพูด โดยเทปจะถามคำถาม 1ประโยคเป็นภาษาญี่ปุ่นตามปกติ เราก้อต้องตอบกลับคำถามนั้นภายในเวลาที่กำหนด ตอบได้หรือไม่ได้ คำถามต่อไปจากเทปก้อจะถามต่อทันที โดยมีครูนั่งจดคำตอบและให้คะแนน ในส่วนของครูนั้นจะเป็นการถามตอบในบทสนทนา โดยมีเหตุการณ์จำลองจากบนเครื่องสั้นมาให้ โดยเราจะตอบในฐานะเป็นแอร์ฯบนเครื่อง พอเพื่อนๆในห้องทราบว่าการทดสอบจะเป็นประมาณนี้ ต่างก้อพากันคาดเดาว่ายากมากแค่ไหน สำหรับเราแน่นอนมันต้องยากมากว่าคนอื่นเป็นร้อยเท่า เพราะเราเพิ่งเริ่มมาได้แค่สองเดือนเอง...ทุกคนในห้องต่างพากันท่องหนังสือไม่เว้นแม้แต่ตอนพักทานข้าวกลางวัน หลังเลิกเทรน ตอนเช้าก่อนเข้าคลาสเรียน เราเองก้อต้องยิ่งทบทวนอย่างหนักกว่าร้อยเท่าเพื่อที่จะได้ผ่านการทดสอบนี้ และจะได้ผ่านไปเทรนจริงที่ญี่ปุ่นซะที
กำลังใจที่สำคัญครั้งนี้ได้มาจากครูคนแรกวันแรกที่เห็นว่าเราอ่านไม่ได้เลยซักกะตัว จนวันนี้ครูรอส่งนักเรียนที่ประตูตอนเลิกคลาส เราโค้งคำนับขอบคุณครูตามปกติแบบญี่ปุ่น ครูเรียกชื่อเราและบอกกับเราว่าด้วยเสียงเรียบๆตามแบบฉบับของครู “เธอพัฒนาได้อย่างรวดเร็วและดีมากนะ เธอคงเหนื่อยน่าดู อดทนอีกนิดนะ ใกล้ละยิบซัง กัมบัตเตะเนะ” พร้อมกับรอยยิ้ม ที่เราไม่เคยเห็นเลยจากครู เราตื้นตันจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่พยักหน้าแล้วรีบเดินออกไปก่อนที่น้ำตามันจะไหล แต่แปลกว่าครั้งนี้เราไม่ร้องไห้ แต่มันกลับมีความรู้สึกเบิกบานใจอย่างบอกไม่ถุก มีความสุขเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่แต่วันที่เข้ามาเทรนจนถึงวันนี้ วันนี้เรารีบอยากจะกลับไปท่องหนังสืออย่างเร็วที่สุด เพราะได้กำลังใจจากคำพูดครูสั้นๆวันนี้...
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
กว่าจะมาเป็นแอร์ฯยุ่นภาคแรก ตอนที่สอง
หลังจากร้องไห้ฟูมฟายจนหลับไปได้สักครู่หนึ่ง พอตื่นขึ้นก้อมีสติตัวหนึ่งบอกว่าเรามีเบอร์โทรฯของครูสอนภาษาญี่ปุ่นคนนึงอยู่ในมือถือ ต้องรีบโทก่อนที่จะดึกมากไปกว่านี้ หรืออาจจะสายมากไปกว่านี้...
ในความโชคร้ายมักมีความโชคดีอยู่บ้างอย่างที่เค้าบอกกัน ในวันนั้นเราได้มีโอกาสคุยกะเพื่อนกลุ่มหนึ่งในห้องเดียวกันกะเราเนี่ยล่ะว่าพวกเค้าไปเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ไหนกันหรอแนะนำหน่อยได้มั้ย คงเห็นเคสของเราแล้วใช่มั้ย คงจะต้องเป็นคอร์สส่วนตัวแล้วล่ะเพราะต้องติวตัวต่อตัว คงไม่มีใครเพิ่งเริ่มเรียนแบบเรา แถมยังต้องเรียนหลังเลิกเทรนด้วยเพราะว่านับจากนี้คือการเริ่มเทรนจริงแล้ว แล้วนี่คือรุ่นสุดท้าย ไม่สามารถเลื่อนไปเทรนรุ่นหลังได้
เราได้เบอร์โทรฯเบอร์นี้มาจากกลุ่มเพื่อนในรุ่น เพื่อนๆบอกว่าครูคนนี้เปิดสอนอยู่ มีแต่คนไปเรียนกัน โดยเฉพาะคนที่ได้รับคัดเลือกให้มาเทรนที่นี่ ลองโทไปดูว่าครูเค้าว่างมั้ย...
“สวัสดีค่ะครู หนูอยากลงเรียนญี่ปุ่นกับครูค่ะ” “เอ...ตอนนีก้อเต็มแล้วน่ะคะ” ครูตอบกลับมาเป็นภาษาไทยที่ไม่ค่อยชัด เรารู้เลยว่าครูไม่ใช่คนไทยแต่เป็นคนญี่ปุ่นซึ่งพูดไทยได้ในสำเนียงญี่ปุ่น เราถึงกะอึ้งไปเลยพอครูตอบกลับมาแบบนั้น ความหวังมันหมดลงแล้วจริงๆ เราเลยหายใจลึกๆแล้วรวบรวมสติเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเราตอนนี้ให้ครูฟังว่า
เรายอมรับว่าเราผิดไปแล้วที่ละเลยการเตรียมพร้อมก่อนการเข้าไปเทรน เหตุการณ์วันนี้เราได้รับบทเรียนแล้ว อยากขอแก้ตัวใหม่และจะตั้งใจทำให้ได้ค่ะ เสียงในโทรศัพท์เงียบไปสักพัก...
”โอเคค่ะ แต่ต้องตั้งใจเรียนนะคะ แล้วต้องมาเรียนทุกวัน หลังเลิกเทรนก้อต้องมาเลย เสาร์อาทิตย์ก้อต้องมา ไม่งั้นไม่ทันเพื่อนแน่ๆค่ะ” เรารีบตอบตกลงอย่างไม่รีรอด้วยเสียงที่ดีใจที่สุด มันเหมือนมีแสงสว่างส่องเข้ามาที่ใจเรา เรามีโอกาสที่จะได้เทรน มีโอกาสพิสูจน์ตัวเองแล้วว่า “ไม่ใช่ค่ะครู นี่ไม่ใช่ตัวตนของเรา” หนูจะแสดงให้ครูเห็นค่ะว่าตัวตนที่แท้จริงของหนูคืออะไร...
เช้าวันใหม่...เราต้องตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อที่จะเดินทางไปเทรนที่บริษัทในย่านใจกลางเมืองที่รถติดแบบบ้าคลั่ง การเดินทางไปเทรนนั้นก้อไม่สะดวกสบายแบบที่ใครๆคิดว่าแอร์ฯควรจะเป็น เพราะตอนนี้เรายังไม่มีเงินเดือนแบบแอร์ฯตัวจริง เรายังเป็นแค่”แอร์ไข่” ที่กำลังจะฟักตัวเพื่อสยายปีกโบยบินไปเป็นแอร์ตัวจริงในอนาคตอันใกล้นี้ ถ้าเราผ่านการเทรน...
ช่วงแรกๆเราเดินทางโดยสองสิ่งนี้ คือนั่งรถแท๊กซี่ไปลงที่สถานีรถไฟใต้ดินแล้วนั่งรถไฟใต้ดินต่อไปที่ตึกเทรนเพื่อเลี่ยงปัญหารถติดในย่านธุรกิจนั้น ขากลับก้อทำแบบเดิมนั่งรถไฟใต้ดินกลับต่อแท้กซี่แต่ไม่ได้กลับบ้านเพราะต้องไปเรียนภาษาญี่ปุ่นต่อเลย แล้วก้อนั่งแท้กซี่จากที่บ้านครูกลับบ้านตัวเอง ชีวิตต่อจากนี้คือต้องรายงานตัวเข้าเทรนตอน8โมงเช้าค่ะเลิก5โมงเย็น นั่งรถไปเรียนภาษาญี่ปุ่นต่อตอนสองทุ่มเลิกสี่ทุ่มกลับถึงบ้านห้าทุ่มนอนเที่ยงคืนกว่า ตื่นตีห้าเพื่อเดินทางไปเทรน ชีวิตเป็นแบบนี้ตลอดการเทรน ถามว่าทานข้าวตอนไหนนะหรอ...ต้องซื้อข้าวห่อใส่กล่องไปกินระหว่างทางกลับบ้าน จากที่เรียนภาษาญี่ปุ่น เพราะพอกลับบ้านก้อหมดแรงแล้วจริง ต้องลากตัวเองไปอาบน้ำแล้วทวนที่เรียนมาต่ออีกหนึ่งรอบและบทต่อไปที่จะเรียนในวันพรุ่งนี้เพื่อที่จะได้ทันคนอื่น ตอนนั้นอายุก้อ26แล้วแต่ยังต้องมานั่งทำอะไรแบบนี้เหมือนตอนเรียนมัธยม มันอึดอัดจริงๆ และเหนื่อยมากที่สุดในชีวิต...แต่มันมีเสียงก้องอยู่ในหัวว่า “อย่ายอมแพ้นะ ต้องทำให้ได้ เพื่อตัวเองและครอบครัว คนอื่นเค้ายังทำได้เลย เราก้อต้องทำได้สิ”
ช่วงหลัง มีเพื่อนคนนึงแนะนำว่ามีวินรถตู้แถวบ้านวิ่งตรงมาที่ตึกเลย เราเลยลองนั่งดูเพื่อที่จะประหยัดเวลาและประหยัดเงินด้วย เพราะค่าเรียนภาษาตัวต่อตัวมันก้อแพงไม่ใช่น้อย อระไรประหยัดได้เราต้องทำ ต้องเทรนอีก4เดือน กะรถตู้วินบอกตรงๆว่าเวียนหัวมากเวลานั่ง เพราะรถตู้วิ่งเร็วมาก อีกทั้งยังเหวี่ยงตลอดทาง แต่ก้อต้องอดทนเพื่อที่เราจะได้มีเวลานอนเพื่มขึ้นอีกครึ่งชม.ตอนเข้า กลายเป็นตื่นได้ตีห้าครึ่ง เพราะรถตู้ออกประมาณ6โมงสิบห้า
เพื่อนบางคนเค้ารู้ข่าวมาก่อนว่าการเทรนจะหนักมากขึ้นเรื่อยๆตอนที่เค้าไปเรียนปรับพื้นฐานกัน เค้าถึงกับจับคู่เช่าหอแชร์กันอยู่แถวนั้น เพื่อที่จะได้เอาเวลาการเดินทางที่เสียไปเปลี่ยนมาเป็นการอ่านหนังสือกันเลยทีเดียว ซึ่งเราคิดว่านั่นเป็นความคิดที่ดีจริงๆ จะได้ไม่ต้องมาลำบากแบบเรา...เป็นแอร์นี่มันไม่ใช่ง่ายๆนะ
เราคิดว่าเราเป็นคนเข้มแข็งนะ แต่คนเข้มแข็งอย่างเราขอสารภาพว่านอนร้องไห้เกือบทุกคืน ด้วยความที่ร่างกายมันอ่อนล้า สมองมันถุกใช้อย่างหนักจากการเรียนภาษาญี่ปุ่นโดยมีเวลาจำกัดให้ทันในห้องเรียน การท่องจำให้ได้เพื่อที่จะต้องสอบให้ผ่านในวันรุ่งขึ้น ของเก่ายังไม่ทันเข้าใจของใหม่ก้อรี่เข้ามาจ่อแล้ว ความกดดันต่างๆ กลับบ้านก้อไม่อยากพูดกับใคร จนทุกคนที่บ้านเริ่มเป็นห่วง แต่เราก้อซ่อนไว้ไม่ให้ใครรู้ อาจมีบางวันที่ร้องไห้หนักไปหน่อยเลยทำให้หนังตามันบวมแบบเห็นได้ชัด แต่ก้อบอกปัดไปว่าแค่นอนน้อย ตื่นเช้าตาเลยบวม
กดดันจากอะไรนะหรอ... ไม่ใช่เพราะคนอื่นเลย...ก้อจากสภาพที่ทุกวันเราเป็นคนที่ทำให้ทุกคนสะดุดในระหว่างคลาสเรียนญี่ปุ่นเพราะเราว่าครูถามเราแล้วเรายังตอบไม่ได้ในช่วงสองอาทิตย์แรก เรายังอ่านคำไม่ออก พอจำได้แล้วว่าตัวอักษรอ่านยังไง แต่พอมาผสมยังอ่านไม่ได้เลย ทีนี่เค้าเทรนเป็นภาษาญี่ปุ่นล้วนไม่มีภาษาอังกฤษหรือไทยมาช่วยเลย ผ่านไปสี่อาทิตย์เราเริ่มทำให้ในคลาสสะดุดน้อยลง เราสามารถตอบกลับครูในคลาสได้แต่อาจจะช้าหน่อยแต่ดีกว่าสามอาทิตย์ที่แล้ว ครูเริ่มถามเรามากขึ้น เพราะเมื่อก่อนครูจะข้ามเราไปทันทีเพราะไม่อยากทำให้เรารู้สึกอายมากที่เราจะตอบไม่ได้ นั่นก้อต้องขอบคุณอาจารย์มาก
สองเดือนผ่านไปชีวิตของเราก้อยังคงเป็นวงจรเดิม เทรนเสร็จก้อเรียนต่อ เสาร์อาทิตย์ก้อต้องเรียน แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือเราผ่านการสอบข้อเขียนภาษาญี่ปุ่น แม้ว่าครั้งแรกเราจะผ่านเส้นยาแดงมา 0.5 คะแนนก้อตาม เราได้80.05 จาก 100คะแนน การเทรนที่นี่ต้องผ่านอย่าง 80%ขึ้นไป เราดีใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ในคลาสเรียนเมื่อได้รับผลคะแนนจากครู ซึ่งครูและเพื่อนๆในคลาสก้อดีใจกับเราด้วยและให้กำลังใจเราต่อไป
ในการสอบครั้งต่อไปจะป็นการสอบโต้ตอบกับครูและกับเทปเพื่อทดสอบทักษะในการฟังและการพูด โดยเทปจะถามคำถาม 1ประโยคเป็นภาษาญี่ปุ่นตามปกติ เราก้อต้องตอบกลับคำถามนั้นภายในเวลาที่กำหนด ตอบได้หรือไม่ได้ คำถามต่อไปจากเทปก้อจะถามต่อทันที โดยมีครูนั่งจดคำตอบและให้คะแนน ในส่วนของครูนั้นจะเป็นการถามตอบในบทสนทนา โดยมีเหตุการณ์จำลองจากบนเครื่องสั้นมาให้ โดยเราจะตอบในฐานะเป็นแอร์ฯบนเครื่อง พอเพื่อนๆในห้องทราบว่าการทดสอบจะเป็นประมาณนี้ ต่างก้อพากันคาดเดาว่ายากมากแค่ไหน สำหรับเราแน่นอนมันต้องยากมากว่าคนอื่นเป็นร้อยเท่า เพราะเราเพิ่งเริ่มมาได้แค่สองเดือนเอง...ทุกคนในห้องต่างพากันท่องหนังสือไม่เว้นแม้แต่ตอนพักทานข้าวกลางวัน หลังเลิกเทรน ตอนเช้าก่อนเข้าคลาสเรียน เราเองก้อต้องยิ่งทบทวนอย่างหนักกว่าร้อยเท่าเพื่อที่จะได้ผ่านการทดสอบนี้ และจะได้ผ่านไปเทรนจริงที่ญี่ปุ่นซะที
กำลังใจที่สำคัญครั้งนี้ได้มาจากครูคนแรกวันแรกที่เห็นว่าเราอ่านไม่ได้เลยซักกะตัว จนวันนี้ครูรอส่งนักเรียนที่ประตูตอนเลิกคลาส เราโค้งคำนับขอบคุณครูตามปกติแบบญี่ปุ่น ครูเรียกชื่อเราและบอกกับเราว่าด้วยเสียงเรียบๆตามแบบฉบับของครู “เธอพัฒนาได้อย่างรวดเร็วและดีมากนะ เธอคงเหนื่อยน่าดู อดทนอีกนิดนะ ใกล้ละยิบซัง กัมบัตเตะเนะ” พร้อมกับรอยยิ้ม ที่เราไม่เคยเห็นเลยจากครู เราตื้นตันจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่พยักหน้าแล้วรีบเดินออกไปก่อนที่น้ำตามันจะไหล แต่แปลกว่าครั้งนี้เราไม่ร้องไห้ แต่มันกลับมีความรู้สึกเบิกบานใจอย่างบอกไม่ถุก มีความสุขเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่แต่วันที่เข้ามาเทรนจนถึงวันนี้ วันนี้เรารีบอยากจะกลับไปท่องหนังสืออย่างเร็วที่สุด เพราะได้กำลังใจจากคำพูดครูสั้นๆวันนี้...
แสดงความคิดเห็น
คุณคิดว่าการเป็นแอร์ง่ายหรือยาก? ลองอ่านดูอีกมุมที่คุณอาจจะเคยรู้!!
หลังจากที่ทราบผลว่าผ่านการคัดเลือกได้เข้าไปเป็นแอร์โฮสเตสของสายการบินนี้แล้ว นอกจากความดีใจ ความภูมิใจและความโล่งใจที่เกิดขึ้นมาพร้อมๆกันแล้ว มันก้อยังมีความหวั่นๆไม่มั่นใจผุดขึ้นมาอีกเช่นกัน เพราะมีข้อความในจดหมายตอบรับว่า “ต้องเรียนภาษาญี่ปุ่นปรับพื้นฐานในระหว่างการรอเรียกเทรน” แถมยังต้องมีการส่งการบ้านภาษาญี่ปุ่นอีกในวันแรกของการรายงานตัว..
ในใจคิดว่าคงไม่มีไรมาก อีกตั้งสองสามดือนกว่าจะถึงการเทรน...คงมีเวลาและไม่น่ายาก เพราะเรา(โง่)ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าภาษาญี่ปุ่นมัน(โคตร)ยาก เลยชะล่าใจ คิดว่าเรียนมาตั้งหลายภาษาทั้ง ฝรั่งเศส จีน อังกฤษ คงจะเหมือนที่เราเคยเรียนมา...เรียนไปท่องไปเด๋วก้อได้เอง
ในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่สายการบินอื่นๆเข้ามาเปิดรับกันคับคลั่ง เรียกได้ว่าต้องปริ้นซีวีออกมากันเป็นโหล เพื่อที่จะร่อนใบสมัครกัน เราก้อเป็นคนหนึ่งที่ร้อนวิชา อยากลองไปทุกสายการบิน ทั้งๆที่เราก้อได้รับโอกาสแล้วที่นี่ แต่ยังเพ้อเจ้อไม่รุจักหน้าที่ว่าตอนนี้เราควรทำอะไร ไม่มีการวางแผนชีวิตระยะสั้น หรือจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะได้มุ่งมั่นและทำมันให้สำเร็จ
ในขณะที่คนอื่นๆเค้าตื่นเต้นเตรียมพร้อมกับการเข้าไปเทรนที่สายการบินยุ่นนี้ เค้าไปลงเรียนคอร์สภาษาญี่ปุ่นขั้นพื้นฐานกัน ได้รุจักกันเป็นเพื่อนกันในขณะเรียนปรับพื้นฐานเป็นเดือนๆ จนโดนเรียกเทรนรุ่นเดียวกันบ้าง รุ่นใกล้เคียงกันบ้าง สิ่งที่เค้าได้มากกว่าภาษาคือมิตรภาพความเพื่อนที่ช่วยเหลือกันในการเรียน แลกเปลี่ยนประสบการณ์ มีคำถามไรก้อมาแชร์กัน สร้างความมั่นใจและความคุ้นเคยกันได้เป็นอย่างดี มันเป็นการได้มาฟรีๆนอกเหนือจากการเสียตังค์ลงคอร์สภาษานี้ ซึ่งมันเหมือนเป็นพลังแฝงที่บางทีอาจจะเป็นความต้องการที่ทางบริษัทที่แอบซ่อนมาโดยให้มาเรียนปรับพื้นฐานก่อนเข้าเทรนก้ออาจเป็นได้ ทำไมเราถึงรู้? เดี๋ยวอ่านต่อไปก้อจะทราบเองว่าทำไมเราถึงรู้...มันมีพลังแฝงหลายพลังที่ซ่อนมาในการเทรนครั้งนี้
และในที่สุดเราก้อถุกเรียกเทรนเป็นรุ่นสุดท้าย...วันแรกที่ไปรายงานตัวบอกตรงๆเลยว่าตื่นเต้น ไม่ใช่สินะเพราะนั่นมันเป็นอาการทางบวกมากว่า ของเรามันออกแนวลบเรียกว่ากังวลใจและประหม่าน่าจะถุกกว่า ไม่รู้จักใครเลย ในทางกลับกันคนอื่นๆเค้ากลับดูรู้จักคุ้นเคยกันดี ใบหน้ามีแต่รอยยิ้ม มีแต่แววตาที่เปล่งประกายของความมุ่งมั่นให้เห็นอย่างได้ชัด ทุกคนดูพร้อมมากๆ วันนี้ ยกเว้นเราคนเดียวที่เหมือนเมฆดำๆปกคลุมอยู่บนหัวตลอดเวลา
วันแรกที่จะถุกจดจำไปตลอดชีวิต...และมันจะเป็นวันสุดท้ายของเราที่เราจะมีสภาพแบบนี้
ทุคนถุกเรียกมารวมกันในห้องมีประมาน25คนในรุ่นสุดท้ายของการเทรนปีนี้ นั่งกันเป็นรูปตัวยูเชฟ โดยมีคุณครูยืนอยู่ตรงกลางวงในห้องนั้น รู้สึกถึงความหนาวเย็นมากกว่าปกติทั้งที่วันนั้นเราก้อใส่สูทแขนยาว มันคงไม่ใช่ความหนาวจากแอร์ในห้องหรอก มันหนาวมาจากสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นตรงหน้านี้ต่างหากละ
เซนเซหรือ คุณครูในภาษาญี่ปุ่น กล่าวขึ้นว่า วันนี้เราจะมาทบทวนคำศัพท์ในหนังสือ มินาโนะ นิฮงโกะกัน เราถึงกับผงะและหน้าซีด...ทบทวนเลยหรอ นี่วันแรกไม่มีการเรียนการสอนก่อนเลยหรอ
ครูหยิบแผ่นป้ายคำศัพท์ขึ้นมาปึกนึง มันมีตัวอักษรภาษาญี่ปุ่นอยู่ ตอนนั้นไม่รุจริงๆว่ามันคือฮิราคานะหรือคาตาคานะหรอก เพราะว่าไม่เคยแตะภาษาญี่ปุ่นเลย เริ่ม!! ครูขานชื่อคนในห้องแบบสุ่ม พร้อมทั้งให้อ่านคำศัพท์ในแผ่นป้ายนั้นออกเสียงและแปล ทุกคนอ่านผ่านไปได้อย่างรวดเร็วราวกับว่าเป็นภาษาไทย
ยิบซัง! เสียงเรียกชื่อตัวเองก้อดังขึ้น ใจเรามันหายแวบทันทีเมื่อเสียงของอาจารย์ขานชื่อเรา เราต้องยืนขึ้นแล้วอ่านป้ายนั้น เสียงในห้องนั้นเงียบสงัดทันที ราวกับว่าคน25คนหายไปเหลือแค่เรากะคุณครูในห้องนั้น เสียงของใจที่เต้นรัวและร่างกายที่สั่นเทามันดังออกมาอย่างชัดเจน “คำนี้อ่านว่าไรคะ” คุณครูเร่ง ในตอนนั้นป้ายคำศัพท์ที่เราเห็นคือ มันเป็นป้ายสีเหลี่ยมผืนผ้าขนากใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อย มีหมึกเมจิกสีดำแส้นใหญ่ขีดเขียนเส้นหลายเส้นเป็นคำศัพท์ซึ่งเราอ่านไม่ออกเลย ไม่รู้จะอ่านยังไงเพราะไม่เคยได้เรียน สมองเหมือนเป็นอัมพาตมันไม่สามารถประมวลอะไรออกมาได้เลยในขณะนั้น เดายังไม่ได้เพราะอย่างที่บอก ไม่เคยแตะภาษาญี่ปุ่นเลย สิ่งที่รับรู้ได้ตอนนั้นคือ สายตานิ่งๆของคุณครูจ้องมองมาที่เรา แม้เพื่อนอีก 25คนที่เรารู้สึกว่าไม่มีตัวตนอยู่ในห้องตอนนั้นแต่กลับมีสาตายจากพวกเค้าเหล่านั่นจ้องมาที่เราตอนยืน...อุณหภูมิในห้องเหมือนกับติดลบเย็นยะเยือกมากๆ “หนูอ่านไม่ออกค่ะ” ประโยคหนึ่งหลุดโพล่งออกมาแทรกกลางความเงียบในห้องนั้น “ทำไมถึงอ่านไม่ออก เธอไม่ได้เรียนเตรียมมาหรอ” เราตอบกลับไปเบาๆ “ค่ะ ไม่ได้เรียนเตรียมมาค่ะ” “เด๋วพบครูหลังเลิกเรียนนะ” คนต่อไปอ่าน.. ครูเรียกชื่อคนต่อไปให้อ่านคำศัพท์แผ่นนั้นที่เราอ่านไม่ได้เลย มันคือคำว่า “บัสซึ” แปลว่า รถบัส มันคือคำที่ง่ายมากในวันนี้ แต่มันคือคำที่เราอ่านไม่ออกในวันนั้น
เพื่อนๆลุกขึ้นยืนอ่านคำศัพท์กันทุกคน ไม่มีใครอ่านไม่ได้เลย ยกเว้นเราคนเดียวที่นั่งตลอดอยู่ในช่วงเวลานั้น ความรู้สึกในตอนนั้นมันอยากจะร้องไห้ ทั้งเสียใจและเจ็บใจตัวเอง เพราะอายเพื่อน อายครูและอายตัวเอง...โกรธตัวเองที่ไม่เตรียมพร้อม ประมาทเลินเล่อจนกระทั่งทำให้เกิดเรื่องในวันนี้ที่จะถุกจดจำไปตลอดชีวิต หลังจากนั้น คลาสเรียนก้อจบลง...ทุกคนลุกออกจากห้องเพื่อที่จะกลับบ้าน เราเห็นว่าครูรอเราอยู่ตรงประตูหน้าห้องเพื่อที่จะพูดกะเราตามที่ครูได้บอกไว้ เราออกนอกห้องเปนคนสุดท้าย เดินตรงไปหาครูที่รอเราอยู่ ครูมีใบหน้าเคร่งเครียดบอกว่า ทำไมเธอไม่เตรียมตัว เธอไม่ได้อ่านจดหมายรายงานตัวหรอว่าต้องเรียนปรับพื้นฐานมาก่อนเข้าเทรน เธอไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเข้าเทรนที่นี่ใช่มั้ย ถ้าเธอตามเพื่อนไม่ทัน เธอจะไม่ผ่านการเทรนและนั่นก้อหมายความว่าเธอจะไม่ได้เป็นแอร์ที่นี่ นี่แค่เริ่มต้นเธอก้อได้แสดงความเป็นตัวตนของเธอแล้ว เราได้แต่ก้มหน้าฟังครูและนึกในใจว่า ครูพูดถุกต้องทุกอย่าง แต่ผิดอยู่อย่างนึงคือ “เธอได้แสดงความเป็นตัวตนของเธอแล้ว” นึกในใจ “ไม่ใช่ค่ะครู นี่ไม่ใช่ตัวตนของเรา” ครูถามต่อ ”แล้วนี่เธอจะทำไง จะตามเพื่อนทันได้ไงเพราะที่นี่เรียนวันนี้สอบพรุ่งนี้” เราก้อบอกว่าครูว่าจะพยายามให้ทันให้ได้ค่ะ แล้วครูก้อเดินจากไปเป็นการจบบทสนทนานั้นในวันนั้น... มีสองทางตอนนี้คือ ลาออก หรือ อดทนเทรนต่อไปต้องเรียนให้ทัน...
เรานั่งซึมมาตลอดทางกลับบ้าน ในใจได้แต่คิดว่าที่นี่มันเหมาะกับเรารึเปล่า เราควรต้องทำไงต่อจากนี้ มีแต่คำถามมากมายเกิดขึ้นในใจในระหว่างการเดินทางกลับบ้าน จนกระทั่งถึงบ้านเท่านั้นแหละ รีบวิ่งขึ้นบ้านไปบนห้องนอนตัวเอง รีบล็อคห้องให้เร็วกว่าเสียงร้องไห้และน้ำตาตัวเอง แล้วทุกอย่างก้อเกิดขึ้นพร้อมกัน เราร้องไห้หนักมากแต่พยายามไม่ให้ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกไปเพราะกลัวว่าที่บ้านจะได้ยินความเสียใจของเราแล้วท่านจะต้องเป็นห่วงเรามากแน่ๆ มันเป็นสภาวะที่แย่และกดดันมากๆ ที่เป็นแบบนั้นคงเพราะอัดอั้นมาตั้งแต่ที่ห้องเรียนแล้ว การที่เห็นตัวเองเป็นจุดอ่อนของห้อง ความไม่พร้อมของตัวเอง แรงกดดันจากการที่ว่าเราต้องออกจากการเทรนถ้าเราตามเพื่อนไม่ทันและสอบไม่ผ่านภาษาญี่ปุ่น...มีเสียงดังขึ้นมาในใจว่า “อยากร้อง ร้องไปนะ เหลืออีกไม่กี่ชั่วโมงแล้ว พรุ่งนี้แปดโมงเช้าก้อต้องไปเทรนต่อ จะทำยังไงต่อ”
>>แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้นะ<< รบกวนอ่านให้จบ<< เครดิต:: เรื่องเล่าเทนต้าวซั่นฟีท 10,000feet story<<