LUCY สวยพิฆาต เห็นตัวอย่างเเล้วอยากดูขึ้นมาทันที เรื่องนี้กำกับโดย Luc Besson ชาวฝรั่งเศษที่ชำนาญการกำกับหนังแนว Action มันส์ ๆ โหด ๆ ตัดต่อฉับไว หนังดังที่ Luc Besson กำกับ เช่น Nikita อันนี้คลาสสิค , Leon : The Professional [นักฆ่าลีออง] , The Fifth Eliment นี่ก็ใช้ได้.
อดพูดไม่ได้ว่าเหตุผลหลัก ๆ ที่ทำให้อยากดูหนังเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เพียงพล็อตเรื่องที่น่าสนใจเท่านั้น แต่ดารานำครับ คือ Scarlett Johansson สวยมาก แถมยังแสดงหนังเก่ง และเลือกเล่นหนังได้ดีนะครับ ยกตัวอย่างหนังที่ Johansson แสดง เช่น The Island , The Prestige, The avengers , Under the Skin เรื่องนี้อาร์ทเกิน แต่ก็แปลกดี.
ต้องบอกเลยว่า Johansson เอาอยู่สำหรับการแบกรับหนังทั้งเรื่อง เพราะเธอเด่นออกมามากมายจริง ๆ จนดาราที่แสดงสมทบแบนราบไปเลยทีเดียว ขนาดลุง Morgan Freeman ยังวูบ ๆ ลงไปเมื่อเจอความโดดเด่นของ Johansson ที่จริงมันเป็นเพราะบทเธอเด่นนำมากจริง ๆ ส่วนลุง Freeman ก็ทำได้เยี่ยมยอดอยู่แล้วครับ เพียงแค่ว่า บทลุงไม่ได้ชูให้เด่นมากมายครับ.
ตอนที่ดู Trailer ตัวอย่างเรื่องนี้ บอกได้เลยครับ ว่าต้องเป็น Action Sci-Fi ผสมความโอเว่อร์ที่เกินไปมากจริง ๆ เหมือนจะเป็นพวกกลายพันธุ์แบบ The X-Men รึเปล่า งั้นก็เป็นไปได้ว่าจะนึกเปรียบเทียบไปถึง จีน เกรย์ จาก The X-Men หรือ Alice จาก Resident Evil เพราะพลังของ Lucy ก็ใช่ย่อย .... แต่ ...
แต่ว่า มันไม่ใช่แค่นั้นสิครับ .... เปิดเรื่องมาหนังแสดงให้เห็นถึงเหตุการณ์ที่ Lucy ถูกแฟนคนปัจจุบันที่คบกันแค่เดือนเดียว หลอกให้ไปส่งกระเป๋าเอกสารใบนึงซึ่งเธอก็ไม่ได้อยากไปทำเลย เพราะมันดูแปลก ๆ พิกล แต่สุดท้ายก็ต้องจำใจ มีการตัดภาพไปเป็นภาพสัตว์ ที่เป็นเหยื่อบ้าง ผู้ล่าบ้าง เหมือนกำลังจะเปรียบเปรยบางอย่าง ซึ่งผมก็เริ่มรู้แนวแล้วล่ะครับว่านี่ไม่ใช่แค่ Action Sci-Fi แต่มันมีเรื่องของปรัชญาหรือเเนวคิดด้วยสิ ไม่ใช่มาผสมนะ ผมว่ามันเป็นแกนหลักของเรื่องทีเดียว ส่วน Action นั่นเป็นเพียงเครื่องมือเพื่อนำเสนอแนวความคิดต่างหาก.
หนังพูดถึงการใช้สมองให้มากขึ้นจนหลุดขีดจำกัดที่มนุษย์ทั่วไปมี สารเสพติดตัวนึงถูกสร้างขึ้นมา โดยใครก็ไม่รู้หนังไม่ได้บอก แล้วมีพวกมาเฟียกลุ่มนึง ได้สารนี้มาไงก้ไม่รู้เช่นกัน จับยัดใส่ท้องคนกลุ่มนึง มีนางเอกรวมอยู่ด้วย การเลือกคนเหล่านั้นเลือกจากอะไรก็ไม่รู้ หนังไม่ได้บอกไว้ ผมว่านี่คือจุดอ่อนของหนัง คือไม่ค่อยมีที่มาที่ไปเท่าไร.
ปกติมนุษย์ใช้สมองเพียง 10 % แล้วมีคนคิดทฤษฎีว่าถ้าใช้สมองมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น 20 % , 30 % , 40% ไปเรื่อย ๆ จะสามารถกระทำการเช่น ควบคุมสารภายในร่างกายได้ , ควบคุมมนุษย์คนอื่น ๆ ได้ หรือกระทั่งควบคุมสิ่งของต่าง ๆ ลองจินตนาการดูครับ ว่าถ้าใช้สมองครบ 100 % จะทำอะไรได้บ้าง นั่นหล่ะคือแกนของเรื่องครับ คือพยายามพาเราเดินทางไปดูว่าแต่ละครั้งที่สามารถเพิ่มการทำงานของสมองมากขึ้นจะทำอะไรได้บ้าง ความสนุกอยู่ตรงนี้แหล่ะครับ และท้ายที่สุดคุณจะต้องอึ้งไปกับปลายทางของการใช้สมองครบ 100 % .
อดไม่ได้ที่จะนำไปเปรียบเทียบกับหนังเรื่อง Limitless ซึ่งเป็นคนละแนวกัน อันนั้นเขามีโจทย์แค่ยาตัวนึง กินเข้าไปจะทำให้สามารถใช้งานสมองได้ 100 % แต่มีฤทธิ์แค่วันเดียว ซึ่งมีผลกระทบตามมาคือสมองใช้งานหนักเกินไปจะเกิดผลข้างเคียง หนังเรื่องนี้ออกแนวจริงจังแบบไม่เกินจริงมาก ซึ่งทำให้ดูน่าเชื่อถือครับ.
กลับมาที่ Lucy กันต่อครับ หนังมีความเป็น Action ในสัดส่วนที่มากพอสมควรทีเดียว แต่ผมว่ามันยังดู ไม่สุดทางของ Action ก็แน่ล่ะสิ เพราะมันไม่ใช่ Action เพียว ๆ นี่ครับ
หนังมีส่วนของอารมณ์นางเอกที่ไม่ปะติดปะต่อเท่าไร นางเอกเป็นใครมาจากไหน สำคัญยังไงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ดูจบก็ยังคงไม่รู้ว่าหนังต้องการบอกอะไรเรา ... แค่เพียงสื่อให้เห็นแบบบางเบา ว่าเกี่ยวข้องกับเวลา ซึ่งตอบจบบอกได้เลยว่าเคลียร์ ชัดเจน ไม่มีงงครับ แต่แค่สงสัยว่าหนังต้องการจะบอกคนดูว่าอะไร ... นั่นเป็นสิ่งที่ผมคิดว่า ยังไม่ได้รับความหนักแน่นของจุดประสงค์ที่หนังจะบอก.
แต่ว่าจุดอ่อนทั้งหลายที่กล่าวมาก็ไม่ได้แปลว่าหนังจะแย่หรือดูแล้วเบื่อนะครับ เพราะหนังดำเนินเรื่องได้เนียน ๆ อันนี้น่าจะเป็นผลมาจาก พล็อตเรื่อวน่าติดตาม , การดำเนินเรื่องของผู้กำกับมืออาชีพอย่าง Luc Besson นั้นค่อนข้างชัดเจนไม่เยิ่นเย้ออืดอาด, เสน่ห์ดึงดูดแบบ Super Star ที่น่าติดตามของดารานำอย่าง Scarlett Johansson เหล่านี้ทำให้ดูหนังเรื่องนี้ได้อย่างสนุกใช้ได้เลย ... ยกเว้นเรื่องจุดอ่อนของบทที่หลวมไปนิ๊สสสนึง คือพล็อตเรื่องดี แต่รายละเอียดไม่แน่นพอทำให้เหตุผลความน่าเชื่อถือลดลงไปเยอะ ... แต่ก็ดูได้อย่างไม่น่าเบื่อ เพียงแต่สิ่งที่ได้ติดสมองของเราไป มันจะไม่มากมายอะไร ... สรุปว่าดูเอาสนุก สาระมีครับ ปรัชญาดีครับ ความต่อเนื่องของเรื่องราวดีครับ แค่มันมาไม่สุดพีคเท่านั้นเอง.
คุณล่ะ ใช้สมองกี่เปอร์เซ็นต์กัน !!!
เยี่ยมชมที่มาจากบทวิจารณ์ได้ที่
http://thailandthinkingofmovies.blogspot.com/2014/08/2014-lucy.html
วิจารณ์หนัง LUCY สวยพิฆาต [2014]
อดพูดไม่ได้ว่าเหตุผลหลัก ๆ ที่ทำให้อยากดูหนังเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เพียงพล็อตเรื่องที่น่าสนใจเท่านั้น แต่ดารานำครับ คือ Scarlett Johansson สวยมาก แถมยังแสดงหนังเก่ง และเลือกเล่นหนังได้ดีนะครับ ยกตัวอย่างหนังที่ Johansson แสดง เช่น The Island , The Prestige, The avengers , Under the Skin เรื่องนี้อาร์ทเกิน แต่ก็แปลกดี.
ต้องบอกเลยว่า Johansson เอาอยู่สำหรับการแบกรับหนังทั้งเรื่อง เพราะเธอเด่นออกมามากมายจริง ๆ จนดาราที่แสดงสมทบแบนราบไปเลยทีเดียว ขนาดลุง Morgan Freeman ยังวูบ ๆ ลงไปเมื่อเจอความโดดเด่นของ Johansson ที่จริงมันเป็นเพราะบทเธอเด่นนำมากจริง ๆ ส่วนลุง Freeman ก็ทำได้เยี่ยมยอดอยู่แล้วครับ เพียงแค่ว่า บทลุงไม่ได้ชูให้เด่นมากมายครับ.
ตอนที่ดู Trailer ตัวอย่างเรื่องนี้ บอกได้เลยครับ ว่าต้องเป็น Action Sci-Fi ผสมความโอเว่อร์ที่เกินไปมากจริง ๆ เหมือนจะเป็นพวกกลายพันธุ์แบบ The X-Men รึเปล่า งั้นก็เป็นไปได้ว่าจะนึกเปรียบเทียบไปถึง จีน เกรย์ จาก The X-Men หรือ Alice จาก Resident Evil เพราะพลังของ Lucy ก็ใช่ย่อย .... แต่ ...
แต่ว่า มันไม่ใช่แค่นั้นสิครับ .... เปิดเรื่องมาหนังแสดงให้เห็นถึงเหตุการณ์ที่ Lucy ถูกแฟนคนปัจจุบันที่คบกันแค่เดือนเดียว หลอกให้ไปส่งกระเป๋าเอกสารใบนึงซึ่งเธอก็ไม่ได้อยากไปทำเลย เพราะมันดูแปลก ๆ พิกล แต่สุดท้ายก็ต้องจำใจ มีการตัดภาพไปเป็นภาพสัตว์ ที่เป็นเหยื่อบ้าง ผู้ล่าบ้าง เหมือนกำลังจะเปรียบเปรยบางอย่าง ซึ่งผมก็เริ่มรู้แนวแล้วล่ะครับว่านี่ไม่ใช่แค่ Action Sci-Fi แต่มันมีเรื่องของปรัชญาหรือเเนวคิดด้วยสิ ไม่ใช่มาผสมนะ ผมว่ามันเป็นแกนหลักของเรื่องทีเดียว ส่วน Action นั่นเป็นเพียงเครื่องมือเพื่อนำเสนอแนวความคิดต่างหาก.
หนังพูดถึงการใช้สมองให้มากขึ้นจนหลุดขีดจำกัดที่มนุษย์ทั่วไปมี สารเสพติดตัวนึงถูกสร้างขึ้นมา โดยใครก็ไม่รู้หนังไม่ได้บอก แล้วมีพวกมาเฟียกลุ่มนึง ได้สารนี้มาไงก้ไม่รู้เช่นกัน จับยัดใส่ท้องคนกลุ่มนึง มีนางเอกรวมอยู่ด้วย การเลือกคนเหล่านั้นเลือกจากอะไรก็ไม่รู้ หนังไม่ได้บอกไว้ ผมว่านี่คือจุดอ่อนของหนัง คือไม่ค่อยมีที่มาที่ไปเท่าไร.
ปกติมนุษย์ใช้สมองเพียง 10 % แล้วมีคนคิดทฤษฎีว่าถ้าใช้สมองมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น 20 % , 30 % , 40% ไปเรื่อย ๆ จะสามารถกระทำการเช่น ควบคุมสารภายในร่างกายได้ , ควบคุมมนุษย์คนอื่น ๆ ได้ หรือกระทั่งควบคุมสิ่งของต่าง ๆ ลองจินตนาการดูครับ ว่าถ้าใช้สมองครบ 100 % จะทำอะไรได้บ้าง นั่นหล่ะคือแกนของเรื่องครับ คือพยายามพาเราเดินทางไปดูว่าแต่ละครั้งที่สามารถเพิ่มการทำงานของสมองมากขึ้นจะทำอะไรได้บ้าง ความสนุกอยู่ตรงนี้แหล่ะครับ และท้ายที่สุดคุณจะต้องอึ้งไปกับปลายทางของการใช้สมองครบ 100 % .
อดไม่ได้ที่จะนำไปเปรียบเทียบกับหนังเรื่อง Limitless ซึ่งเป็นคนละแนวกัน อันนั้นเขามีโจทย์แค่ยาตัวนึง กินเข้าไปจะทำให้สามารถใช้งานสมองได้ 100 % แต่มีฤทธิ์แค่วันเดียว ซึ่งมีผลกระทบตามมาคือสมองใช้งานหนักเกินไปจะเกิดผลข้างเคียง หนังเรื่องนี้ออกแนวจริงจังแบบไม่เกินจริงมาก ซึ่งทำให้ดูน่าเชื่อถือครับ.
กลับมาที่ Lucy กันต่อครับ หนังมีความเป็น Action ในสัดส่วนที่มากพอสมควรทีเดียว แต่ผมว่ามันยังดู ไม่สุดทางของ Action ก็แน่ล่ะสิ เพราะมันไม่ใช่ Action เพียว ๆ นี่ครับ
หนังมีส่วนของอารมณ์นางเอกที่ไม่ปะติดปะต่อเท่าไร นางเอกเป็นใครมาจากไหน สำคัญยังไงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ดูจบก็ยังคงไม่รู้ว่าหนังต้องการบอกอะไรเรา ... แค่เพียงสื่อให้เห็นแบบบางเบา ว่าเกี่ยวข้องกับเวลา ซึ่งตอบจบบอกได้เลยว่าเคลียร์ ชัดเจน ไม่มีงงครับ แต่แค่สงสัยว่าหนังต้องการจะบอกคนดูว่าอะไร ... นั่นเป็นสิ่งที่ผมคิดว่า ยังไม่ได้รับความหนักแน่นของจุดประสงค์ที่หนังจะบอก.
แต่ว่าจุดอ่อนทั้งหลายที่กล่าวมาก็ไม่ได้แปลว่าหนังจะแย่หรือดูแล้วเบื่อนะครับ เพราะหนังดำเนินเรื่องได้เนียน ๆ อันนี้น่าจะเป็นผลมาจาก พล็อตเรื่อวน่าติดตาม , การดำเนินเรื่องของผู้กำกับมืออาชีพอย่าง Luc Besson นั้นค่อนข้างชัดเจนไม่เยิ่นเย้ออืดอาด, เสน่ห์ดึงดูดแบบ Super Star ที่น่าติดตามของดารานำอย่าง Scarlett Johansson เหล่านี้ทำให้ดูหนังเรื่องนี้ได้อย่างสนุกใช้ได้เลย ... ยกเว้นเรื่องจุดอ่อนของบทที่หลวมไปนิ๊สสสนึง คือพล็อตเรื่องดี แต่รายละเอียดไม่แน่นพอทำให้เหตุผลความน่าเชื่อถือลดลงไปเยอะ ... แต่ก็ดูได้อย่างไม่น่าเบื่อ เพียงแต่สิ่งที่ได้ติดสมองของเราไป มันจะไม่มากมายอะไร ... สรุปว่าดูเอาสนุก สาระมีครับ ปรัชญาดีครับ ความต่อเนื่องของเรื่องราวดีครับ แค่มันมาไม่สุดพีคเท่านั้นเอง.
คุณล่ะ ใช้สมองกี่เปอร์เซ็นต์กัน !!!
เยี่ยมชมที่มาจากบทวิจารณ์ได้ที่
http://thailandthinkingofmovies.blogspot.com/2014/08/2014-lucy.html