(นานแล้วที่ห่างหายจากการรีวิวในpantip ไปขออนุญาติแบ่งปันเรื่องราวการเดินทางของตัวเองบ้างนะครับ..)
สายลมแห่งกาลเวลา..มักจะพัดผ่านไปเร็วเสมอ เฉกเช่นสายฝนและลมหนาวที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปตามฤดูกาล แต่ทะว่ามันกลับทิ้งร่องรอยแห่งอดีตให้เราได้จดจำและนึกถึงทุกครั้งที่มันหวนกลับมาอีกครั้ง..
เกือบครบหนึ่งปีแล้ว.. ที่ผมได้ไปเยือน เขื่อนรัชชประภา หรือที่ใครๆขนานนามว่า "กุ้ยหลินเมืองไทย" ถึงจะผ่านไปเกือบปีแล้วก็ตาม แต่ทุกครั้งที่ได้ยินคำว่า เชี่ยวหลาน ซึ่งเป็นชื่อเดิมของเขื่อนรัชชประภา มันทำให้ผมหวนนึกถึงทะเลสาปขนาดใหญ่ที่ถูกโอบล้อมด้วยภูเขานับร้อยๆลูก ทอดตัวเรียงรายสุดลูกหูลูกตา เมฆหมอกสีขาวนวลลอยกระจายตามยอดเขา ท่ามกลางผืนน้ำที่สงบนิ่ง ดูสวยงามมีมนต์เสนห์น่าค้นหายิ่ง..
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันแรกของการเดินทาง
นกยักษ์ค่ายหางแดงทะยานขึ้นจากสนามบินดอนเมืองมาได้เกือบชั่วโมงแล้ว คงเพราะเรามัวแต่เพลิดเพลินอยู่กับกลุ่มก้อนเมฆน้อยใหญ่ที่ลอยอยู่ทางปีกขวาของตัวเครื่อง และนั่งจินตนาการไปถึงรูปร่างของสัตว์ต่างๆนานาชนิดตามลักษณะของก้อนเมฆ มารู้ตัวอีกทีก็ต่อเมื่อได้ยินเสียงประกาศจากกัปตันเครื่องแจ้งเตือนให้ผู้โดยสารรัดเข็มขัดเพื่อเตรียมนำเครื่องลงจอด มองลงไปข้างล่างเห็นบ้านเรือน ถนนหนทางและท้องทุ่งทอดตัวเรียงรายใต้ปีกนกยักษ์อยู่ลิบๆ คงใกล้ถึงจุดหมายปลายทางแล้วสินะ..
ทริปนี้เราซื้อแพ็คเกจทัวร์กับ บริษัท สุราษฎร์อินเตอร์ทัวร์ จำกัด ซึ่งรวมราคารถตู้มารับส่งถึงสนามบินด้วย(ต้องจ่ายเพิ่มจากแพ็คเกจ) หลังจากกัปตันนำเครื่องแลนดิ้งลงจอดที่สนามบินสุราษฎร์ธานีแล้ว จึงมีรถตู้มาจอดคอยรับเราอยู่พร้อมแล้วโดยไม่ต้องรอให้เสียเวลา
รถตู้พาเรามาแวะพักที่ออฟฟิตแพ 500ไร่ ซึ่งอยู่ห่างจากท่าเรือเขื่อนรัชชประภาประมาณครึ่งชั่วโมง เพื่อให้ลูกทัวร์พักดื่มกาแฟ โอวัลติน และเข้าห้องน้ำ รวมถึงเคลียร์ค่าใช้จ่ายส่วนที่เหลือให้เรียบร้อยก่อนออกเดินทางต่อไปที่ท่าเรือเพื่อมุ่งสู่ที่พัก "แพ500ไร่"
ก่อนถึงท่าเรือ เรามาแวะที่เขื่อนรัชชประภา เพื่อชมทัศนียภาพรอบๆตัวเขื่อน วันนี้ดูท้องฟ้าไม่ค่อยเป็นใจสักเท่าไหร่ ได้แต่หวังว่าจะไม่เจอสายฝนระหว่างทางที่นั่งเรือเข้าไปที่พัก
ถึงท้องฟ้าจะไม่เป็นสีครามอย่างที่ตั้งใจหวัง แต่ทะสาปขนาดใหญ่และภูเขานับร้อยๆลูกที่ทอดตัวกระจายเรียงรายไกลออกไปสุดสายตาก็ทำให้เราตื่นตาตื่นใจกับภาพที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้า ณ ขณะนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว
เขื่อนรัชชประภา มีชื่อเรียกดั้งเดิมว่า เขื่อนเชี่ยวหลาน เป็นเขื่อนอเนกประสงค์แห่งที่สองของภาคใต้ อยู่ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามให้ใหม่ว่า “เขื่อนรัชชประภา” มีความหมายว่า “แสงสว่างแห่งราชอาณาจักร”
เราแวะถ่ายรูปและชมวิวตรงสันเขื่อนพอประมาณก่อนออกเดินทางต่อไปที่ท่าเรือซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมากนัก
จากจุดชมวิวที่สัน เขื่อนรัชชประภา มาถึงท่าเรื่อใช้เวลาไม่ถึง10 นาที ระหว่างที่รอขึ้นเรือไปแพ500ไร่ ยังมีเวลาให้เราพักทานมื้อเช้าและเดินชมสินค้า-ของฝากที่ร้านค้าตรงท่าเรือ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าโอท๊อปประจำท้องถิ่นและเสื้อยืดสกรีนที่มักเห็นตามสถานที่ท่องเที่ยวทั่วๆไป
เรือยนต์ขนาดบรรทุกได้ 15 ที่นั่งวิ่งแหวกสายน้ำแตกกระจายเป็นฟองฝอย นำเราออกจากท่าเรือเขื่อนรัชชประภา มุ่งหน้าสู่ผืนน้ำกว้างใหญ่สุดสายตา ทิ้งละลอกคลื่นที่กระเพื่อมขึ้นลงและวิ่งตามใว้เบื้องหลังอย่างไม่แยแสประหนึ่งคนไร้เยื่อใยต่อกัน..
ตลอดเส้นทางที่เรือวิ่งผ่าน เราได้สัมผัสกับความมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสร้างสรรค์และมนุษย์สร้างเสริม จนก่อกำเนิดเป็นกุ้ยหลินเมืองไทย อันสวยงามตระการตาขึ้นมาให้เราได้ทัศนา ราวภาพนิรมิตรจากจิตกรเอกของโลก
จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า ภายใต้ความสวยงามที่ได้มาเหล่านี้ ต้องแลกมาด้วยภูเขานับร้อยๆลูกที่ต้องจมอยู่ใต้ผืนน้ำเพราะการสร้างเขื่อนกักน้ำเอาใว้ วิถีชีวิตสัตว์ป่าและชุมชนที่ถูกทำลาย เพื่อให้ได้มาซึ่งแหล่งน้ำที่ใช้ในการเพาะปลูกและผลิตกระแสไฟฟ้าให้ผู้คนนับล้านได้ใช้ประโยชน์ หากมนุษย์ผู้ได้ประโยชน์เหล่านั้นจะมองเห็นคุณค่าแห่งสายน้ำและกระแสไฟฟ้า แล้วใช้มันอย่างคุ้มค่าเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ต้นไม้และสัตว์ป่าที่เสียสละตัวเองจมอยู่ใต้ผืนน้ำแห่งนี้คงจะดีใจไม่น้อย..
ใบพัดจากเครื่องยนต์เรือหางยาวขนาด6.5แรงม้า ตีน้ำแตกกระจายปลิวฟลุ้งมากระทบใบหน้าเราขณะที่นายท้ายถือหางเสือบังคับหัวเรือพาคณะทัวร์ลัดเลาะไปตามจุดชมวิวต่างๆ จนมาถึง เขาสามเกลอ
“เขาสามเกลอ” เป็นเอกลักษณ์ของเขื่อนรัชชประภาแห่งนี้ เป็นสถานที่ที่ผู้มาเยือนเขื่อนเชี่ยวหลานหรือเขื่อนรัชชประภา จะต้องแวะเข้ามาชมและเก็บภาพเป็นที่ระลึก เพื่อบันทึกความทรงจำว่าครั้งหนึ่งได้มาเยือนดินแดนแห่งนี้ ดินแดนที่ได้รับขนานนามว่า “กุ้ยหลินเมืองไทย” ด้วยทัศนียภาพที่แวดล้อมไปด้วยภูเขาหินปูนที่สูงชันสลับซับซ้อน มวลไม้เขียวชะอุ่มปกคลุมพื้นที่ทิวเขาโดยรอบห้อมล้อมไปด้วยพื้นน้ำที่มีสีเขียวมรกต
ออกจากเขาสามเกลอ มาไม่นานเราก็มาถึงที่พัก แพ500ไร่ เป็นแพเรือนไม้ประมาณ12หลัง ลอยตัวแบบหน้ากระดานเรียงหนึ่งห่างจากแนวชายฝั่งออกมาไม่ไกลนัก ด้านหลังเป็นแนวเขาปกคลุมด้วยต้นไม่สีเขียวขจี
เนื่องจากแพ500ไร่ เน้นกลุ่มลูกค้าที่รักความสงบ ชอบความเป็นส่วนตัวและรักธรรมชาติเป็นสำคัญ จึงทำให้ห้องพักที่นี่ไม่มีทีวี ตู้เย็น สัญญาณมือถือ ส่วนสัญญาณอินเตอร์เนตหรือ WiFi นั้นไม่ต้องพูดถึง (บอดสนิท) ไฟฟ้าที่นี่มีจำกัด เปิดปิดเป็นเวลา ใครที่คิดจะมาพัก แพ500ไร่ ต้องทำใจตัดขาดจากโลกภายนอกชั่วขณะนะครับ..
เวลาให้บริการห้องพัก : Check In 13.30 น. / Check Out 10.30 น.
เวลาเปิด-ปิดไฟฟ้า : ร้านอาหาร 24 ชม. / ห้องพัก 17.00-09.00 น. / เฉพาะแอร์18.00-4.00 น.
ภายในห้องพักตกแต่งแบบเรียบง่าย เน้นความกลมกลืนอยู่กับธรรมชาติ ..บ้านที่เราพักมี2ชั้น นอนได้ 4-5 คน มีห้องน้ำในตัว ถือว่าสะดวกสบายพอ
สมควร
ด้านหน้าห้องพักมีแพไม้ไผ่สำหรับขึ้น-ลง เวลาเล่นน้ำ ห้องพักแต่ละหลังจะมีเรือคายัคผูกเอาใว้ให้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ทางแพ500ไร่ จัดใว้สำหรับผู้มาพักให้ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น เล่นน้ำ หรือพายเรือคายัคชมวิวรอบๆที่พัก เพราะไม่อยากให้ผู้มาพักต่างคนต่างนั่งจิ้มโทรศัพท์มือถือตัวเอง จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ที่นี่ไม่มีสัญญาณมือถือ
หลังจากเก็บของเข้าที่พักเรียบร้อยแล้ว เราถือโอกาสเอนหลังพักเหนื่อยเอาแรงสักงีบ ก่อนที่เรือจะมารับไปชมวิวที่ "จุดชมวิวเขาไกรสร" ตอนบ่าย4โมงตามกำหนดการของวันนี้
ท้องฟ้ายามบ่ายยังคงอึมครึมอย่างต่อเนื่อง กลุ่มก้อนเมฆสีควันบุหรี่แผ่กระจายปกคลุมยึดครองเกือบทั่วน่านฟ้า เรือยนต์หางยาวพาเราวิ่งผ่ากระแสน้ำมาจอดเทียบท่าตรงทางขึ้นเขาไกรสร มองเห็นป้ายบอกทาง "จุดชมวิวไกรสร 1.5 กม."
ผมอดนึกในใจไม่ได้ว่าแค่ระยะทาง 1.5 กิโลเอง คงเดินสบายๆชิวๆ ขึ้นไปนั่งรับลมชิมวิวแล้วก็เดินกลับลงมาแบบเบิร์ดๆ แต่ที่ไหนได้ ระยะแค่นี้แหละที่เล่นเอาบางคนถอดใจเกือบไปไม่ถึงจุดชมวิว
"เดินสบายๆ ไม่ไกลมากหรอกค่ะ ทางไม่ลำบาก นู๋เดินประจำ" น้องปุ๊กกี้ ไกด์ประจำคณะผู้พาเราบุกป่าผ่าดงขึ้นไปบนยอดเขาไกรสรอธิบายระหว่างเดินลัดเลาะไปตามไหล่ทางแคบๆขึ้นสู่เขาไกรสร
แต่พอเดินมาได้สักครึ่งชั่วโมง กระทั่งขวดน้ำที่ติดตัวมาแค่ขวดเดียว ผมแทบอยากจะเททิ้งให้หมด กล้องที่อุตสาห์แบกมา กะว่าจะเก็บภาพบรรยากาศระหว่างทางก็แทบไม่มีแรงกดซัตเตอร์ กว่าจะรู้ตัวว่าถูกปุ๊กกี้หลอกเข้าให้แล้ว ก็ต่อเมื่อหันไปเห็น "น้องจ๊อย" เพื่อนร่วมทริปของเรา นั่งทอดอาลัยลงข้างโขดหินพ่นลมหายใจเข้าออกทางปากราวกับปืนกลอัตโนมัติ เห็นสภาพแล้วประหนึ่งว่าชาตินี้เธอจะไม่ขยับร่างกายอันบอบบางนี้ไปที่ไหนอีกแล้ว..
หนทางยิ่งสูงยิ่งชัน โดยเฉพาะระยะ10เมตรสุดท้าย ซึ่งระเกะระกะไปด้วยหินปูนแหลมคมแทบทั้งนั้น ถ้าพลาดพลั้งลื่นไถลลงมาก็มีสิทธิ์เสียเลือดเป็นแน่แท้ กว่าจะกระชากลากดึงและดันกันขึ้นมาได้ก็เล่นเอาหมดแรงไปตามๆกัน
รางวัลจากความเหน็ดเหนื่อยของเรา คือภาพผืนน้ำเว้าแหว่งที่ทอดตัวสงบนิ่งอยู่เบื้องล่าง ตามรูปร่างของแนวเขาที่ยื่นออกไปในทะสาปสีเขียวมรกรต สายลมเย็นจากยอดเขาพัดไล่ความเปียกชื้นจากเหงื่อที่ไหลท่วมตัวไปจนหมด
เรานั่งดื่มด่ำซึมซับเอาความสวยงามที่ธรรมชาติมอบให้อยู่พักใหญ่ ให้สมกับความเหนื่อยยากที่ปีนป่ายขึ้นมา ก่อนที่จะอำลาจาก จุดชมวิวเขาไกรสร กลับที่พักด้วยความอ่อนล้า ระหว่างนั่งเรือกลับสายฝนเริ่มโปรยปราย ถึงกระนั้นผมยังแอบเห็นหลายคนเผลอหลับไปท่ามกลางสายฝนชุ่มฉ่ำ คงเพราะความเหนื่อยล้าจากการปีนเขา บางคนมีเลือดไหลซิบได้แผลจากคมเคี้ยวของตัวทาก ระหว่างเดินเขากลับไปเป็นที่ระลึกอีกด้วย ..
ดวงอาทิตย์กำลังจะลับหายไปจากแนวป่าด้านหลัง ขณะที่เรากลับมาถึงที่พัก สายฝนยังคงโปรยปรายไม่ยอมหยุด แต่ถึงกระนั้นหลายคนก็ยังลงเล่นน้ำหน้าห้องพักอย่างสนุกสนานท่ามกลางสายฝนพรำ
เราทานมื้อเย็นที่ร้านอาหารของแพ500 จัดใว้ให้ ซึ่งอาหารทุกมื้อของทริปนี้รวมอยู่ในแพ็คเกจทัวร์เรียบร้อยแล้ว เลยไม่ต้องห่วงเรื่องอาหารการกิน อาหารทุกมื้อส่วนมากจะเป็นอาหารไทยสลับเมนูพื้นบ้านรสชาติจัดจ้านตามแบบฉบับชาวใต้ เรียกว่าอิ่มอร่อยท้องกันทุกมื้อเลยทีเดียว (เสียดายที่ห่วงกินจนลืมเก็บภาพอาหารใว้อ่ะ )
หลังมื้อเย็นสิ้นสุดลง เรากลับมาห้องพักด้วยความอ่อนล้าเพราะหนังตาเริ่มจะปิด คงเพราะความเหนื่อยล้าจากการเดินทางในวันแรก บวกกับการเดินขึ้นเขาไกสรที่สูงชัน ทำให้ทุกคนต้องหลับเร็วกว่าปกติ เพื่อพักเอาแรงไว้เที่ยวต่อในวันพรุ่งนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สำหรับทริปวันแรกของ "เชี่ยวหลาน เขาสก แพ500ไร่" ขอจบลงแค่นี้ก่อนนะครับ ยังเหลืออีก 2วันของการเดินทาง แล้วจะมาบอกเล่าให้เพื่อนๆฟังวันหลังนะครับ..
[CR] ทริปเชี่ยวหลาน เขาสก แพ500ไร่
สายลมแห่งกาลเวลา..มักจะพัดผ่านไปเร็วเสมอ เฉกเช่นสายฝนและลมหนาวที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปตามฤดูกาล แต่ทะว่ามันกลับทิ้งร่องรอยแห่งอดีตให้เราได้จดจำและนึกถึงทุกครั้งที่มันหวนกลับมาอีกครั้ง..
เกือบครบหนึ่งปีแล้ว.. ที่ผมได้ไปเยือน เขื่อนรัชชประภา หรือที่ใครๆขนานนามว่า "กุ้ยหลินเมืองไทย" ถึงจะผ่านไปเกือบปีแล้วก็ตาม แต่ทุกครั้งที่ได้ยินคำว่า เชี่ยวหลาน ซึ่งเป็นชื่อเดิมของเขื่อนรัชชประภา มันทำให้ผมหวนนึกถึงทะเลสาปขนาดใหญ่ที่ถูกโอบล้อมด้วยภูเขานับร้อยๆลูก ทอดตัวเรียงรายสุดลูกหูลูกตา เมฆหมอกสีขาวนวลลอยกระจายตามยอดเขา ท่ามกลางผืนน้ำที่สงบนิ่ง ดูสวยงามมีมนต์เสนห์น่าค้นหายิ่ง..
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันแรกของการเดินทาง
นกยักษ์ค่ายหางแดงทะยานขึ้นจากสนามบินดอนเมืองมาได้เกือบชั่วโมงแล้ว คงเพราะเรามัวแต่เพลิดเพลินอยู่กับกลุ่มก้อนเมฆน้อยใหญ่ที่ลอยอยู่ทางปีกขวาของตัวเครื่อง และนั่งจินตนาการไปถึงรูปร่างของสัตว์ต่างๆนานาชนิดตามลักษณะของก้อนเมฆ มารู้ตัวอีกทีก็ต่อเมื่อได้ยินเสียงประกาศจากกัปตันเครื่องแจ้งเตือนให้ผู้โดยสารรัดเข็มขัดเพื่อเตรียมนำเครื่องลงจอด มองลงไปข้างล่างเห็นบ้านเรือน ถนนหนทางและท้องทุ่งทอดตัวเรียงรายใต้ปีกนกยักษ์อยู่ลิบๆ คงใกล้ถึงจุดหมายปลายทางแล้วสินะ..
ทริปนี้เราซื้อแพ็คเกจทัวร์กับ บริษัท สุราษฎร์อินเตอร์ทัวร์ จำกัด ซึ่งรวมราคารถตู้มารับส่งถึงสนามบินด้วย(ต้องจ่ายเพิ่มจากแพ็คเกจ) หลังจากกัปตันนำเครื่องแลนดิ้งลงจอดที่สนามบินสุราษฎร์ธานีแล้ว จึงมีรถตู้มาจอดคอยรับเราอยู่พร้อมแล้วโดยไม่ต้องรอให้เสียเวลา
รถตู้พาเรามาแวะพักที่ออฟฟิตแพ 500ไร่ ซึ่งอยู่ห่างจากท่าเรือเขื่อนรัชชประภาประมาณครึ่งชั่วโมง เพื่อให้ลูกทัวร์พักดื่มกาแฟ โอวัลติน และเข้าห้องน้ำ รวมถึงเคลียร์ค่าใช้จ่ายส่วนที่เหลือให้เรียบร้อยก่อนออกเดินทางต่อไปที่ท่าเรือเพื่อมุ่งสู่ที่พัก "แพ500ไร่"
ก่อนถึงท่าเรือ เรามาแวะที่เขื่อนรัชชประภา เพื่อชมทัศนียภาพรอบๆตัวเขื่อน วันนี้ดูท้องฟ้าไม่ค่อยเป็นใจสักเท่าไหร่ ได้แต่หวังว่าจะไม่เจอสายฝนระหว่างทางที่นั่งเรือเข้าไปที่พัก
ถึงท้องฟ้าจะไม่เป็นสีครามอย่างที่ตั้งใจหวัง แต่ทะสาปขนาดใหญ่และภูเขานับร้อยๆลูกที่ทอดตัวกระจายเรียงรายไกลออกไปสุดสายตาก็ทำให้เราตื่นตาตื่นใจกับภาพที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้า ณ ขณะนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว
เขื่อนรัชชประภา มีชื่อเรียกดั้งเดิมว่า เขื่อนเชี่ยวหลาน เป็นเขื่อนอเนกประสงค์แห่งที่สองของภาคใต้ อยู่ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามให้ใหม่ว่า “เขื่อนรัชชประภา” มีความหมายว่า “แสงสว่างแห่งราชอาณาจักร”
เราแวะถ่ายรูปและชมวิวตรงสันเขื่อนพอประมาณก่อนออกเดินทางต่อไปที่ท่าเรือซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมากนัก
จากจุดชมวิวที่สัน เขื่อนรัชชประภา มาถึงท่าเรื่อใช้เวลาไม่ถึง10 นาที ระหว่างที่รอขึ้นเรือไปแพ500ไร่ ยังมีเวลาให้เราพักทานมื้อเช้าและเดินชมสินค้า-ของฝากที่ร้านค้าตรงท่าเรือ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าโอท๊อปประจำท้องถิ่นและเสื้อยืดสกรีนที่มักเห็นตามสถานที่ท่องเที่ยวทั่วๆไป
เรือยนต์ขนาดบรรทุกได้ 15 ที่นั่งวิ่งแหวกสายน้ำแตกกระจายเป็นฟองฝอย นำเราออกจากท่าเรือเขื่อนรัชชประภา มุ่งหน้าสู่ผืนน้ำกว้างใหญ่สุดสายตา ทิ้งละลอกคลื่นที่กระเพื่อมขึ้นลงและวิ่งตามใว้เบื้องหลังอย่างไม่แยแสประหนึ่งคนไร้เยื่อใยต่อกัน..
ตลอดเส้นทางที่เรือวิ่งผ่าน เราได้สัมผัสกับความมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสร้างสรรค์และมนุษย์สร้างเสริม จนก่อกำเนิดเป็นกุ้ยหลินเมืองไทย อันสวยงามตระการตาขึ้นมาให้เราได้ทัศนา ราวภาพนิรมิตรจากจิตกรเอกของโลก
จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า ภายใต้ความสวยงามที่ได้มาเหล่านี้ ต้องแลกมาด้วยภูเขานับร้อยๆลูกที่ต้องจมอยู่ใต้ผืนน้ำเพราะการสร้างเขื่อนกักน้ำเอาใว้ วิถีชีวิตสัตว์ป่าและชุมชนที่ถูกทำลาย เพื่อให้ได้มาซึ่งแหล่งน้ำที่ใช้ในการเพาะปลูกและผลิตกระแสไฟฟ้าให้ผู้คนนับล้านได้ใช้ประโยชน์ หากมนุษย์ผู้ได้ประโยชน์เหล่านั้นจะมองเห็นคุณค่าแห่งสายน้ำและกระแสไฟฟ้า แล้วใช้มันอย่างคุ้มค่าเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ต้นไม้และสัตว์ป่าที่เสียสละตัวเองจมอยู่ใต้ผืนน้ำแห่งนี้คงจะดีใจไม่น้อย..
ใบพัดจากเครื่องยนต์เรือหางยาวขนาด6.5แรงม้า ตีน้ำแตกกระจายปลิวฟลุ้งมากระทบใบหน้าเราขณะที่นายท้ายถือหางเสือบังคับหัวเรือพาคณะทัวร์ลัดเลาะไปตามจุดชมวิวต่างๆ จนมาถึง เขาสามเกลอ
“เขาสามเกลอ” เป็นเอกลักษณ์ของเขื่อนรัชชประภาแห่งนี้ เป็นสถานที่ที่ผู้มาเยือนเขื่อนเชี่ยวหลานหรือเขื่อนรัชชประภา จะต้องแวะเข้ามาชมและเก็บภาพเป็นที่ระลึก เพื่อบันทึกความทรงจำว่าครั้งหนึ่งได้มาเยือนดินแดนแห่งนี้ ดินแดนที่ได้รับขนานนามว่า “กุ้ยหลินเมืองไทย” ด้วยทัศนียภาพที่แวดล้อมไปด้วยภูเขาหินปูนที่สูงชันสลับซับซ้อน มวลไม้เขียวชะอุ่มปกคลุมพื้นที่ทิวเขาโดยรอบห้อมล้อมไปด้วยพื้นน้ำที่มีสีเขียวมรกต
ออกจากเขาสามเกลอ มาไม่นานเราก็มาถึงที่พัก แพ500ไร่ เป็นแพเรือนไม้ประมาณ12หลัง ลอยตัวแบบหน้ากระดานเรียงหนึ่งห่างจากแนวชายฝั่งออกมาไม่ไกลนัก ด้านหลังเป็นแนวเขาปกคลุมด้วยต้นไม่สีเขียวขจี
เนื่องจากแพ500ไร่ เน้นกลุ่มลูกค้าที่รักความสงบ ชอบความเป็นส่วนตัวและรักธรรมชาติเป็นสำคัญ จึงทำให้ห้องพักที่นี่ไม่มีทีวี ตู้เย็น สัญญาณมือถือ ส่วนสัญญาณอินเตอร์เนตหรือ WiFi นั้นไม่ต้องพูดถึง (บอดสนิท) ไฟฟ้าที่นี่มีจำกัด เปิดปิดเป็นเวลา ใครที่คิดจะมาพัก แพ500ไร่ ต้องทำใจตัดขาดจากโลกภายนอกชั่วขณะนะครับ..
เวลาให้บริการห้องพัก : Check In 13.30 น. / Check Out 10.30 น.
เวลาเปิด-ปิดไฟฟ้า : ร้านอาหาร 24 ชม. / ห้องพัก 17.00-09.00 น. / เฉพาะแอร์18.00-4.00 น.
ภายในห้องพักตกแต่งแบบเรียบง่าย เน้นความกลมกลืนอยู่กับธรรมชาติ ..บ้านที่เราพักมี2ชั้น นอนได้ 4-5 คน มีห้องน้ำในตัว ถือว่าสะดวกสบายพอ
สมควร
ด้านหน้าห้องพักมีแพไม้ไผ่สำหรับขึ้น-ลง เวลาเล่นน้ำ ห้องพักแต่ละหลังจะมีเรือคายัคผูกเอาใว้ให้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ทางแพ500ไร่ จัดใว้สำหรับผู้มาพักให้ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น เล่นน้ำ หรือพายเรือคายัคชมวิวรอบๆที่พัก เพราะไม่อยากให้ผู้มาพักต่างคนต่างนั่งจิ้มโทรศัพท์มือถือตัวเอง จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ที่นี่ไม่มีสัญญาณมือถือ
หลังจากเก็บของเข้าที่พักเรียบร้อยแล้ว เราถือโอกาสเอนหลังพักเหนื่อยเอาแรงสักงีบ ก่อนที่เรือจะมารับไปชมวิวที่ "จุดชมวิวเขาไกรสร" ตอนบ่าย4โมงตามกำหนดการของวันนี้
ท้องฟ้ายามบ่ายยังคงอึมครึมอย่างต่อเนื่อง กลุ่มก้อนเมฆสีควันบุหรี่แผ่กระจายปกคลุมยึดครองเกือบทั่วน่านฟ้า เรือยนต์หางยาวพาเราวิ่งผ่ากระแสน้ำมาจอดเทียบท่าตรงทางขึ้นเขาไกรสร มองเห็นป้ายบอกทาง "จุดชมวิวไกรสร 1.5 กม."
ผมอดนึกในใจไม่ได้ว่าแค่ระยะทาง 1.5 กิโลเอง คงเดินสบายๆชิวๆ ขึ้นไปนั่งรับลมชิมวิวแล้วก็เดินกลับลงมาแบบเบิร์ดๆ แต่ที่ไหนได้ ระยะแค่นี้แหละที่เล่นเอาบางคนถอดใจเกือบไปไม่ถึงจุดชมวิว
"เดินสบายๆ ไม่ไกลมากหรอกค่ะ ทางไม่ลำบาก นู๋เดินประจำ" น้องปุ๊กกี้ ไกด์ประจำคณะผู้พาเราบุกป่าผ่าดงขึ้นไปบนยอดเขาไกรสรอธิบายระหว่างเดินลัดเลาะไปตามไหล่ทางแคบๆขึ้นสู่เขาไกรสร
แต่พอเดินมาได้สักครึ่งชั่วโมง กระทั่งขวดน้ำที่ติดตัวมาแค่ขวดเดียว ผมแทบอยากจะเททิ้งให้หมด กล้องที่อุตสาห์แบกมา กะว่าจะเก็บภาพบรรยากาศระหว่างทางก็แทบไม่มีแรงกดซัตเตอร์ กว่าจะรู้ตัวว่าถูกปุ๊กกี้หลอกเข้าให้แล้ว ก็ต่อเมื่อหันไปเห็น "น้องจ๊อย" เพื่อนร่วมทริปของเรา นั่งทอดอาลัยลงข้างโขดหินพ่นลมหายใจเข้าออกทางปากราวกับปืนกลอัตโนมัติ เห็นสภาพแล้วประหนึ่งว่าชาตินี้เธอจะไม่ขยับร่างกายอันบอบบางนี้ไปที่ไหนอีกแล้ว..
หนทางยิ่งสูงยิ่งชัน โดยเฉพาะระยะ10เมตรสุดท้าย ซึ่งระเกะระกะไปด้วยหินปูนแหลมคมแทบทั้งนั้น ถ้าพลาดพลั้งลื่นไถลลงมาก็มีสิทธิ์เสียเลือดเป็นแน่แท้ กว่าจะกระชากลากดึงและดันกันขึ้นมาได้ก็เล่นเอาหมดแรงไปตามๆกัน
รางวัลจากความเหน็ดเหนื่อยของเรา คือภาพผืนน้ำเว้าแหว่งที่ทอดตัวสงบนิ่งอยู่เบื้องล่าง ตามรูปร่างของแนวเขาที่ยื่นออกไปในทะสาปสีเขียวมรกรต สายลมเย็นจากยอดเขาพัดไล่ความเปียกชื้นจากเหงื่อที่ไหลท่วมตัวไปจนหมด
เรานั่งดื่มด่ำซึมซับเอาความสวยงามที่ธรรมชาติมอบให้อยู่พักใหญ่ ให้สมกับความเหนื่อยยากที่ปีนป่ายขึ้นมา ก่อนที่จะอำลาจาก จุดชมวิวเขาไกรสร กลับที่พักด้วยความอ่อนล้า ระหว่างนั่งเรือกลับสายฝนเริ่มโปรยปราย ถึงกระนั้นผมยังแอบเห็นหลายคนเผลอหลับไปท่ามกลางสายฝนชุ่มฉ่ำ คงเพราะความเหนื่อยล้าจากการปีนเขา บางคนมีเลือดไหลซิบได้แผลจากคมเคี้ยวของตัวทาก ระหว่างเดินเขากลับไปเป็นที่ระลึกอีกด้วย ..
ดวงอาทิตย์กำลังจะลับหายไปจากแนวป่าด้านหลัง ขณะที่เรากลับมาถึงที่พัก สายฝนยังคงโปรยปรายไม่ยอมหยุด แต่ถึงกระนั้นหลายคนก็ยังลงเล่นน้ำหน้าห้องพักอย่างสนุกสนานท่ามกลางสายฝนพรำ
เราทานมื้อเย็นที่ร้านอาหารของแพ500 จัดใว้ให้ ซึ่งอาหารทุกมื้อของทริปนี้รวมอยู่ในแพ็คเกจทัวร์เรียบร้อยแล้ว เลยไม่ต้องห่วงเรื่องอาหารการกิน อาหารทุกมื้อส่วนมากจะเป็นอาหารไทยสลับเมนูพื้นบ้านรสชาติจัดจ้านตามแบบฉบับชาวใต้ เรียกว่าอิ่มอร่อยท้องกันทุกมื้อเลยทีเดียว (เสียดายที่ห่วงกินจนลืมเก็บภาพอาหารใว้อ่ะ )
หลังมื้อเย็นสิ้นสุดลง เรากลับมาห้องพักด้วยความอ่อนล้าเพราะหนังตาเริ่มจะปิด คงเพราะความเหนื่อยล้าจากการเดินทางในวันแรก บวกกับการเดินขึ้นเขาไกสรที่สูงชัน ทำให้ทุกคนต้องหลับเร็วกว่าปกติ เพื่อพักเอาแรงไว้เที่ยวต่อในวันพรุ่งนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สำหรับทริปวันแรกของ "เชี่ยวหลาน เขาสก แพ500ไร่" ขอจบลงแค่นี้ก่อนนะครับ ยังเหลืออีก 2วันของการเดินทาง แล้วจะมาบอกเล่าให้เพื่อนๆฟังวันหลังนะครับ..