ขอปรึกษาหน่อยค่ะ ตั้งใจจะเป็น VI แต่ถือ INTUCH , TOP กับ PTTGC ไว้เต็มพอร์ทเลย ไม่มีเงินซื้อถัวแล้วด้วย

กระทู้คำถาม
จะเอายังไงต่อดีคะ จะถือต่อ ก็ชักไม่แน่ใจในพื้นฐานของหุ้นทั้ง3ตัว  
จะขายก็ขาดทุนเยอะ จะซื้อถัวก็หมดงบแล้วค่ะ
จะกินปันผล  ก็คงได้น้อยลง
อุตส่าห์อยากเป็น VI  มาเจอแบบนี้ เลยกลัวจะกลายเป็น VERY ILL ซะก่อนน่ะค่ะ
ขอคำแนะนำจากเพื่อนๆด้วยนะคะ ตอนนี้ได้แต่นั่งมองตาปริบๆ 555..
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 16
VI แต่หวั่นไหวกับราคาหุ้นรายวัน คงไม่ใช่ VI แล้วละครับ

ผมเห็นคนส่วนใหญ่มีความเชื่อผิดๆ อย่างเช่น การถือหุ้นนานแล้วเป็น VI , คิดว่า VI ซื้อหุ้นแล้วต้องได้กำไร 200-300 % , VI ซื้อหุ้นแล้วไม่ขาดทุน , หุ้น VI ซื้อราคาไหนก็ได้ และบลาๆๆๆ

คุณต้องเข้าใจก่อนว่า Value Invesment คืออะไร ?

Value Stock คือหุ้นที่ราคาตลาด ณ ตอนนั้นต่ำกว่ามูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน

VI ส่วนใหญ่จะบอกว่าราคาหุ้นในตลาดต้องต่ำกว่ามูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน 30 % ขึ้นไป ตรงนี้เรียกว่า Margin of Safety จึงจะเข้าไปลงทุน  ไม่ใช่มองว่าปัจจัยพื้นฐานดี  แล้วซื้อได้ทุกราคา ไม่สนใจว่าถูก หรือแพง

ที่นี้มาดูหุ้นที่คุณถือ INTUCH , TOP และ PTTGC

เหตุผลในการซื้อของคุณคืออะไร ?

ต้องการกำไรหลายเด้ง ?  หุ้นทั้ง 3 คงไม่สามารถตอบสนองความต้องการของคุณได้ เพราะหุ้นทั้ง 3 นี้ โอกาสเติบโตเยอะๆ น้อยมาก ยกเว้น TOP กับ PTTGC ที่จัดเป็นหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์  เผื่อมีโอกาสฟลุ๊ก  อยู่ๆ ราคาผลิตภัณฑ์สูงขึ้นกว่าปกติ  ทำให้กำไรมากกว่าปกติมาก  ก็จะมีผลทำให้ราคาขึ้นเยอะตามไปด้วย

ต้องการเงินปันผลสม่ำเสมอ ?  หุ้นทั้ง 3 สามารถตอบสนองความต้องการของคุณได้  เพราะหุ้นทั้ง 3 ตัว โดยเฉพาะ INTUCH มีรายได้ และกำไรสม่ำเสมอ ส่วน TOP และ PTTGC จัดเป็นหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ (เกี่ยวกับน้ำมัน และปิโตรเคมี) แต่ราคาผลิตภัณฑ์ค่อนข้างผันผวนน้อย  ถ้าไม่เจอวิกฤตเศรษฐกิจระดับโลกแบบแรงๆ ที่ทำให้เกิดกำลังซื้อหดตัวแรงๆ บริษัทแทบจะกำไรทุกปี  ดังนั้นจึดจัดว่าสามารถจ่ายเงินปันผลได้ค่อนข้างสม่ำเสมอเกือบทุกปี  ซึ่งเงินปันผลที่ได้รับจากหุ้นทั้ง 3 ตัว เมื่อเทียบกับราคา ณ ตอนนี้ก็ตกราวๆ 4-6%

คุณต้องถามตัวเองก่อนว่าต้องการอะไรจากหุ้น  จากนั้นจึงซื้อหุ้นให้สอดคล้องกับความต้องการของคุณครับ
ความคิดเห็นที่ 8
ไม่แน่ใจในพื้นฐานหุ้น? พื้นฐานหุ้นไม่ได้เปลี่ยนกันวันสองวันนะครับ คุณได้วิเคราะห์ก่อนซื้อแล้วจริงหรือ
อย่างผมถ้ามั่นใจหุ้นตัวไหนแล้ว ตกแค่ไหนก็ไม่กลัว มีแต่รีบกระโจนซื้อเพิ่ม(แต่ไม่ใช่ซื้อตูมเดียวหมดนะครับ)

"จะซื้อถัวก็หมดงบแล้วค่ะ"

ถัว เป็นคำกริยา แปลว่า ทำให้มีส่วนเสมอกัน

เวลาผมซื้อถัวหุ้น สิ่งที่มาพร้อมกับการถัวก็คือ "เวลา" ครับ ถามว่าทำไมต้องมีเวลามาเกี่ยวข้องด้วย
ก็ต้องถามก่อนว่า การทำให้ราคาหุ้น(ที่เราซื้อหลายๆ ครั้ง)มีส่วนเสมอกัน เพื่ออะไร? คุณตอบตัวเองได้ไหมครับว่ากำลังทำอะไรอยู่?
ถ้าเป็นผม ผมเห็นหุ้นตัวนึงจ่ายปันผลดี ราคาไม่แพง แต่ผมคาดเดาราคาหุ้นไม่ได้ ผมก็เลยซื้อถัวเฉลี่ยเดือนละครั้งแบบ DCA
แต่แทนที่จะเป็นจำนวนเงินเท่ากัน ก็เปลี่ยนเป็นซื้อหุ้นจำนวนเท่ากันทุกเดือนแทน สมมติว่าเดือนละ 1,000 หุ้น ผ่านไป 1 ปีก็กลายเป็น
12,000 หุ้น ราคาหุ้นจากทั้ง 12 เดือนจากการถัว ก็กลายมาเป็นค่าเฉลี่ยหรือใกล้เคียงค่ากลาง นี่แหละครับผมการถัวของผม

ถ้าไม่ใช่ตามข้างบน ไปกระหน่ำซื้อตอนมันตกเอาๆ มันไม่ใช่ถัวแล้วครับ เขาเรียกว่ารับมีด มือขาด เลือดกระฉูด กรี๊ดๆๆๆ

"จะกินปันผล ก็คงได้น้อยลง"...
"จะขายก็ขาดทุนเยอะ"... ตกลงจะเอา Capital Gain หรือ Dividend ครับ? ราคาหุ้นตก เราซื้อก็ได้ปันผลมากขึ้นสิครับ???

ปล. ก่อนจะถัวเฉลี่ยหุ้นซักตัว สิ่งที่ผมคำนึงหลังเลือกหุ้นเสร็จก็คือ ผมมีเงินเก็บแต่ละเดือนมากพอที่จะถัวมันไปทุกเดือน
สำหรับเกมยาวได้ไหม ถ้าเราเล่นแบบนี้ คิดซะว่ากินปันผล ถัวไปเดือนละครั้งๆ รอมันขึ้นรอบหน้า
เผลอๆ ไม่ถึงปีได้ทั้งปันผล+ส่วนต่างราคา สบายเลยครับ วางตำแหน่งในจุดที่ตัวเราไม่แพ้ แม้จะกินคำเล็กน้อย...
แล้วให้เวลาเป็นตัวช่วย กับหุ้นพื้นฐานดีที่มีโอกาสเติบโต สุดท้ายเราจะชนะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่