ชายชาวสวีเดนนอนเร่ร่อนขอทานย่านนานา เผย ถูกหญิงไทยหลอกเงินจนหมดเนื้อหมดตัว กลับประเทศไม่ได้

สืบเนื่องจากไม่กี่วันที่ผ่านมา ในสังคมออนไลน์ได้แชร์เรื่องราวของชายชาวสวีเดนรายหนึ่งต้องใช้ชีวิตอย่างเร่ร่อนอยู่ข้างถนนในย่ายนานา ไม่สามารถเดินทางกลับประเทศได้ โดยเจ้าตัวระบุว่าเป็นเพราะถูกหญิงสาวชาวไทยหลอกเงินไปจนหมดตัว ไม่มีแม้กระทั่งพาสปอร์ตนั้น

            ล่าสุด เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2557 ทางมูลนิธิกระจกเงา โพสต์ถึงเรื่องนี้ลงในเฟซบุ๊ก มูลนิธิกระจกเงา The Mirror Foundation ระบุว่า เคยเข้าไปพูดคุยกับชายคนดังกล่าวเมื่อวันที่ 13 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยชายคนนี้ชื่อ Leif Christer  อายุ 45 ปี เป็นชาวสวีเดน เคยประกอบอาชีพพ่อครัว ปัจจุบันมีปัญหาสุขภาพคือ มีอาการซึมเศร้า ติดสุรา และมีอาการป่วยที่ต้องอาศัยสายสวนปัจจุบัน ก่อนหน้านี้ถูกหญิงชาวไทยที่ทำงานในบาร์ที่ซอยสุขุมวิท 4 หลอกถึง 3 ครั้งจนหมดตัว ไม่สามารถเดินทางกลับสวีเดนได้ จึงต้องหารายได้ด้วยการรับจ้างทำงานทั่วไป ขณะที่บางครั้งต้องมานั่งขอทาน

            ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ นาย Leif Christer เคยติดต่อไปยังสถานทูตสวีเดนเพื่อขอความช่วยเหลือแล้ว แต่ไม่ได้รับการช่วยเหลือ เพราะนาย Leif Christer ไม่มีญาติที่จะให้เก็บเงนปลายทางได้ ขณะที่ นาย Leif Christer ก็ไม่ประสงค์จะถูกผลักดันกลับโดยกระบวนการของสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เพราะจะทำให้ติดแบล็กลิสต์ ไม่สามารถกลับเข้ามาเที่ยวประเทศไทยได้อีก อีกทั้งยังเกรงว่าหากเข้ากระบวนการผลักดันกลับประเทศจะต้องถูกนำตัวเข้าไปอยู่ในห้องขังของทางสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งตัวเองคงทนสภาพแออัดและความล่าช้าในการดำเนินการไม่ได้

            หลังจากทราบเรื่อง ทางมูลนิธิกระจกเงาก็มองว่า หน่วยงานราชการของประเทศที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาจนตกอยู่ในสภาพไร้ที่พึ่งน่าจะเข้ามาประสานงานกับสถานทูตสวีเดน เพื่อขอให้ช่วยเหลือ เพราะชายคนดังกล่าวไม่มีเจตนาหลบหนีเข้าเมือง แต่ถูกคนไทยล่อลวงให้เสียทรัพย์ อีกทั้งยังมีปัญหาป่วยทางร่างกายและติดสุรา ซึ่งหากเข้ากระบวนการผลักดันกลับโดย ตม. อาจเป็นปัญหาต่อสุขภาพได้ ดังนั้น ควรจะมีการส่งกับประเทศในกรณีพิเศษ เพื่อเป็นการช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรมดีกว่าดำเนินการตามกฎหมายแบบขึงตึง

สำหรับข้อความทั้งหมดที่มูลนิธิกระจกเงาโพสต์ไว้มีดังนี้

            "เนื่องจากในขณะนี้มีการแชร์เรื่องราวที่เกี่ยวกับชาวต่างประเทศเร่ร่อนคนหนึ่งชาวสวีเดนใน social network กันอย่างแพร่หลาย และทั้งมีการแชร์ต่อมาแจ้งในเพจต่า งๆ ของมูลนิธิกระจกเงา รวมถึงเพจโครงการผู้ป่วยข้างถนน ซึ่งในข้อเท็จจริงทางทีมงานของโครงการผู้ป่วยข้างถนน ได้เคยทำการลงพื้นที่และได้พูดคุยกับชาวต่างประเทศเร่ร่อนคนนี้ตามการแจ้งของผู้แจ้งที่ประกอบอาชีพในบริเวณพื้นที่ของซอยนานา เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2557

            ซึ่งข้อมูลจากการพูดคุยและรวมถึงข้อมูลจากทางผู้แจ้งและข้อมูลจากบุคคลแวดล้อมที่เคยได้พูดคุยมาก่อนหน้านั้นมีดังนี้

             ชื่อ Leif Christer เกิดเมื่อ 1969 อายุ 45 ปี
             เป็นชาวสวีเดน

             มาประเทศไทยรวมทั้งหมด 3 ครั้ง

            ครั้งที่ 1 เดือนพฤศจิกายน 2556
            ครั้งที่ 2 เดือนมกราคม 2557
            ครั้งที่ 3 เดือนพฤษภาคม 2557 (ข้อมูลตามการประทับตราวีซ่า)

             งานที่สวีเดนเป็นเชฟทำอาหาร (ข้อมูลจากเคสให้สัมภาษณ์)
             ไม่มีญาติพี่น้องที่สวีเดน
             มีอาการป่วยที่ตัองอาศัยสายสวนปัสสาวะ
             มีอาการติดสุรา
             มีอาการซึมเศร้า มีพฤติกรรมนั่งร้องไห้ (ในช่วงกลางวัน)
             ช่วงกลางวันมีการหารายได้โดยช่วยรับจ้างทั่วไป และบางครั้งนั่งขอทาน
             ถูกหญิงไทยคนเดียวกันที่ทำงานในบาร์ที่ซอยสุขุมวิท 4 หลอกถึง 3 ครั้งที่เข้ามาในประเทศไทยครั้งหลังสุดคือครั้งที่ 3 ถูกหลอกจนหมดตัวซึ่งทำให้ไม่สามารถกลับสวีเดนได้

             เคยเข้าติดต่อกับสถานทูตสวีเดนหลายครั้งแต่ทางสถานทูตสวีเดนปฎิเสธการให้ความช่วยเหลือเนื่องจากไม่มีญาติที่ทางสถานทูตจะสามารถเก็บค่าเดินทางจากปลายทางที่ประเทศสวีเดนได้

             ทางผู้แจ้งก็ได้เคยติดต่อสอบถามไปที่สถานทูตสวีเดนก็ได้รับขัอมูลในขัอข้างต้นเช่นเดียวกันและทางสถานทูตฯ ก็รู้จักเคสนี้เช่นเดียวกัน

             ชายชาวสวีเดนผู้นี้ไม่ประสงค์ที่จะถูกผลักดันกลับโดยกระบวนการของสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เนื่องจากเหตุผลสองประการ คือ

            1. จะทำให้ตนติดแบล็กลิสต์และไม่สามารถกลับเข้ามาเที่ยวที่ประเทศไทยได้อีก

            2. ตัวเขามีความเข้าใจว่ากระบวนการก่อนที่จะถูกผลักดันกลับตัองไปอยู่ในห้องขังของทาง ตม. ซึ่งตัวเขารับความเป็นอยู่ลักษณะนั้นไม่ได้ เนื่องจากความแออัด ความล่าช้าในการผลักดันรวมถึงอาการป่วยและอาการติดเหล้าของเขาเอง

             ค่าใช้จ่ายในการเดินทางกลับประเทศสวีเดน จะมีทั้งค่าปรับจากวีซ่าเกินกำหนดวันอนุญาตให้อยู่ในประเทศและค่าเครื่องบินซึ่งรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 40,000 บาท จึงทำให้เขาไม่สามารถเดินทางกลับได้ (ข้อมูลตัวเลขค่าเดินทางนี้ไม่ชัวร์ เป็นการประเมินของทางเคสและผู้แจ้ง)

             ชาวชาวสวีเดนคนนี้มี "ความประสงค์" ที่จะกลับแต่ขาดซึ่งค่าใช้จ่ายที่จะสามารถเดินทางกลับได้

            ในแนวทางการแก้ไขปัญหาซึ่งทางโครงการผู้ป่วยข้างถนน มูลนิธิกระจกเงา มองว่า "ชายชาวต่างประเทศผู้นี้ประสบกับปัญหาการถูกล่อลวงให้เสียทรัพย์โดยคนไทย (ซึ่งมีปากคำการให้ข้อมูลเรื่องนี้ตรงกันของคนในละแวกสุขุมวิทซอย 4 ) มากกว่ามีเจตนาการหลบหนีเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายในประเทศไทย และมีอาการป่วยทางร่างกายและมีปัญหาการติดสุราซึ่งอาจเกิดปัญหาทางด้านความไม่ปลอดภัยด้านสุขภาพขึ้นได้ในกระบวนการการผลักดันกลับโดย ตม.

            ดังนั้นหน่วยงานราชการของประเทศไทยที่มีภารกิจโดยตรงในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาจนตกอยู่ในสภาพไร้ที่พึ่ง เช่น กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ หรือสำนักสวัสดิการสังคม กรุงเทพมหานคร อาจจะต้องเข้ามาเป็นหน่วยงานประสานงานกับสถานทูตสวีเดน รวมถึงสร้างแนวทางความช่วยเหลือเฉพาะกิจขึ้นมาโดยร่วมกันแก้ไขปัญหาจากพื้นฐานหลักการของการช่วยเหลือคนไร้ที่พึ่งให้ได้รับการดูแลในด้านคุณภาพชีวิตที่ดี

            เช่น การส่งกลับประเทศในกรณีพิเศษ ตามข้อมูลที่บ่งบอกว่าไม่ได้มีเจตนาจะกระทำผิดในฐานลักลอบเข้าเมืองแต่เป็นการประสบปัญหาจากการถูกล่อลวงจนไม่สามารถเดินทางกลับประเทศได้ ซึ่งจะเป็นการดำเนินการช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรมตรงตามข้อมูลสภาพข้อเท็จจริง ซึ่งดีกว่าการดำเนินการตามกฎหมายแบบขึงตึง และสุดท้ายเพื่อจะเป็นการสร้างกระบวนการรองรับปัญหาอย่างในกรณีนี้ในอนาคตได้อีกด้วย

            ซึ่งเคสนี้ทางโครงการผู้ป่วยเคยลงพื้นที่และนำมาสะท้อนปัญหาแล้วในเพจของโครงการฯ เฟซบุ๊ก โครงการผู้ป่วยข้างถนน มูลนิธิกระจกเงา

            โครงการผู้ป่วยข้างถนน มูลนิธิกระจกเงา
            23 สิงหาคม 2557"

http://hilight.kapook.com/view/106998

ใครผ่าน ซอย นานา 4 ช่วยต่อชีวิต ฝรั่ง ชาวสวีเดน ด้วย นอนเร่ร่อนขอทานย่านนานา
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 11
เราว่าเรื่องราวคงไม่ใช่แค่นี้ สวีเดนสวัสดิการดีจะตาย
อยู่เมืองไทย โดนหลอกหมดตัว หมดได้ยังไง อย่างน้อยตอนซื้อตั๋วเครื่องบินก็ต้องจ่ายทั้งไป-กลับอยู่แล้วมั้ย
ที่ดึงดันจะอยู่ไทยด้วยเหตุผลว่ากลัวถูกผลักดันกลับไปแล้วกลัวติด blacklist กลับมาไทยไม่ได้อีก เราว่าไม่ใช่มั้ง
แถมยังติดเหล้าด้วย ถ้าเป็นคนไทย+คนจรจัดข้างถนน ติดเหล้า ขอทาน จะมีมูลนิธิตื่นตัวขนาดนี้มั้ย
อายุก็ไม่น้อยแล้ว 45 แล้วทำงานทำการอะไร เพื่อนฝูงอยู่ไหน มันแหม่งๆอ่ะ
ไม่ใช่ว่าเอาเงินมาเที่ยวจนหมดแล้วมาอ้างเรื่องโดนหลอกอะไรแบบนั้นหรอกนะ ..
สวีเดนไม่ใช่ประเทศที่จะทิ้งพลเมืองของตัวเองไปได้ง่ายๆ ถ้าแม้แต่สถานฑูตยังปฏิเสธ เรื่องคงไม่ใช่แค่นี้หรอกมั้ง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่