ข้อคิดข้างถนน ๒๑ ส.ค.๕๗

เรื่องธรรมดาของคนธรรมดา

ข้อคิดข้างถนน

เพทาย

วันนั้นผมลงจากรถไฟฟ้าที่สถานีราชดำริ เมื่อเวลาประมาณสามโมงเช้า แล้วเดินเลียบไปตามทางเท้าไม่ไกลนักก็เลี้ยวเข้าไปในโรงพยาบาลตำรวจ มุ่งตรงไปที่ตึกคุณวิศาลชั้น ๔ เพื่อเยี่ยมเพื่อนซึ่งมาพักรอผ่าตัดตาที่เป็นต้อ แต่เมื่อไปถึงที่หมาย พยาบาลบอกว่าได้เข้าห้องเตรียมผ่าตัดไปนานแล้ว กว่าจะเสร็จเรื่องกลับมานอนที่เตียงเดิม ก็ประมาณหลังเที่ยงไปแล้ว ให้ผมรอที่ไหนก็ได้ แล้วค่อยมาใหม่

ผมจึงถอยออกมานั่งตั้งสติอยู่ที่ป้ายรถโดยสารประจำทางหน้าโรงพยาบาล คิดว่าจะไปไหนดี ธุระที่จะทำก็มีอยู่ แต่ถ้าไปแล้วกว่าจะเสร็จอาจจะเย็น และขี้เกียจกลับมาแล้วก็ได้ แต่จะรออยู่ที่โรงพยาบาลนี้ ก็น่าเบื่อเต็มที มีแต่ผู้คนที่หน้าตาไม่แจ่มใส อมทุกข์อมโรคทั้งนั้น เมื่อนึกถึงหนังสือสามเล่มในย่ามที่หิ้วมาก็คิดออกว่า ควรจะไปหาที่สงบสงัดอ่านหนังสือรอเวลาจะดีกว่า

ผมจึงข้ามทางม้าลายไปทางฝั่งโรงแรมเอราวัณ และขึ้นรถประจำทางสาย ๑๔ ไปลงที่สวนลุมพินี ด้านถนนราชดำริ เดินผ่านพื้นที่กว้างนอกรั้ว ซึ่งเดิมเป็นที่ทำการสำนักงานก่อสร้างรถไฟฟ้า แต่เดี๋ยวนี้ได้ดัดแปลงเป็นที่จอดรถเก็บเงิน และแบ่งเป็นตลาดที่มีหน้าตา คล้ายตลาดริมทางเท้าแถว เยาวราช เพราะเป็นแหล่งที่มีคนจีนและคนไทยเชื้อสายจีน มาออกกำลังกายกันมากมากมายทุกวัน

ผมเดินผ่านประตูทางเข้าซึ่งมีป้าย ห้ามไม่ให้ทำอะไรบ้างในสวนสาธารณะแห่งนี้ เช่นเดียวกับที่อื่น ๆ แต่ที่น่าสังเกตคือเพิ่มข้อห้ามดื่มสุรา ซึ่งเดิมไม่มี เพราะสวนแห่งนี้กว้างขวางใหญ่โต มีที่ทำกิจกรรมมากมาหลายอย่าง และอย่างหนึ่งที่สำคัญไม่น้อยก็คือ การจัดดนตรีในสวนเมื่อถึงฤดูแล้งคือตั้งแต่ปลายฤดูหนาวไปจนถึงต้นฤดูร้อน และวงดนตรีที่มาบรรเลงเพลงก็เป็นวงชั้นหนึ่งของประเทศไทย โดยการสนับสนับสนุนของบริษัทผู้ผลิตเบียร์ไทยเจ้าแรกของประเทศไทยเหมือนกัน ซึ่งคงจะลงทุนไปไม่น้อย กว่าจะได้สร้างศาลาแสดงดนตรีไว้เป็นอนุสรณ์ที่สวนปาล์ม อย่างถาวร แล้วเขาจะขายเบียร์ของเขาได้หรือเปล่า หรือยกเลิกรายการนี้ไปเสียแล้วก็ไม่ทราบ เพราะผมไม่ได้มาหลายปีแล้ว เนื่องจากในระยะหลัง วันอาทิตย์ที่เขาแสดงดนตรีนั้น ผมต้องไป ทำบุญที่วัดเป็นประจำ

ภายในสวนลุมพินีที่ผมไม่ได้มาแวะนานแล้วนั้น ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก เว้นแต่ดูเหมือนจะมีจะมีผู้มาออกกำลังมากขึ้น สามารถจะเห็นผู้สวมเสื้อสีเหลืองกระจายอยู่ทั่วไป นอกจากผู้ที่วิ่งหรือเดินแล้ว เครื่องช่วยในการออกกำลังยังมีอีกหลายชนิด นอกจากเครื่องมือเพาะกายแล้ว บ้างก็รำกระบองซึ่งใช้ท่อพลาสติกสีฟ้าแทน บ้างก็รำพัด และบ้างก็รำมือเปล่า ส่วนที่เคยเห็นเต้นแอโรบิกเป็นกลุ่มใหญ่นั้น อาจจะมาตอนเช้ามืด หรือเย็นใกล้ค่ำ จึงไม่เห็นในเวลานั้น

ผมหาที่นั่งบนเก้าอี้ยาวสาธารณะตัวหนึ่งใต้ต้นไม่ร่มรื่น แม้ว่าในวันนั้นท้องฟ้าอึมครึมไม่มีแดดก็ตาม แต่มีลมพัดเฉื่อยฉิวเย็นสบาย แล้วผมก็หยิบวารสารในย่ามออกมาพลิกดูตามลำดับ เป็นหนังสือรายสามเดือนของทหารม้า และรายเดือนของทหารอากาศกับตำรวจ ที่ผมได้รับเป็น อภินันทนาการ เพราะมีข้อเขียนของผมลงพิมพ์เป็นประจำ เป็นเวลาหลายปีมาแล้ว ผมเริ่มอ่านตั้งแต่หน้าแรกของเล่มแรก เรื่อยไปโดยไม่รู้ว่าเวลาล่วงไปสักเท่าไร

เมื่ออ่านจบทุกเรื่องของทุกเล่ม โดยไม่ได้สนใจกับกลุ่มขบวนที่วิ่ง หรือเดินออกกำลังผ่านไปหลายสิบกลุ่มแล้ว ผมก็ปิดหนังสือเล่มสุดท้าย บิดตัวด้วยความเมื่อยขบ มองดูนาฬิกาข้อมือไม่มีสายที่ใส่มาในย่าม เพิ่งจะสิบเอ็ดนาฬิกา ยังอีกนานกว่าจะถึงเวลาที่พยาบาลจะอนุญาตให้เข้าเยี่ยมเพื่อน แต่ก็ได้เวลาอาหารกลางวันของผมแล้ว จึงลุกขึ้นเดินไปยังทางออกด้านหน้า ที่มีพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ซึ่งผินพระพักตร์ไปทางถนนสีลม

ขณะนั้นบริเวณลานกว้างปราศจากผู้คน มีเพียงชายหนุ่มแต่งตัวแบบซอมซ่อคนหนึ่งสะพายย่ามเดินสวนมาคนเดียว เมื่อจะผ่านผมเขาก็กระซิบเบา ๆ ว่า ลุงขอตังกินข้าวหน่อย ขณะที่พูดก็มีกลิ่นแอลกอฮอล์ระเหยออกมานิดหน่อย

ผมยังคงเดินหน้าต่อไปด้วยก้าวที่เนิบนาบเช่นเดิม พลางเอามือตบกระเป๋าเสื้อและกางเกง เพื่อหาเศษเหรียญ แต่ไม่มีเลยแม้แต่อันเดียวรวมทั้งที่ได้รับทอนจากกระเป๋ารถเมล์ด้วย เพราะได้บริจาคให้ขอทานที่ประตูเข้าเมื่อเช้านี้สามคนจนหมดเกลี้ยงแล้ว จึงบอกกับเขาตามตรงว่าไม่มีเงิน แต่เขาก็ยังคงเดินตามมาโดยไม่ ได้พูดต่อรองว่าอย่างไร ผมมองดูหน้าเขาแล้วก็ควักกระเป๋าเงินจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาเปิดออก เดี๋ยวนี้ธนบัตรของรัฐบาลไทยก็มีราคาอย่างต่ำยี่สิบบาทเท่านั้น ผมจึงตัดใจตามคติโบราณว่า ฆ่าควายอย่าเสียดายเกลือ และเสียเกลืออย่าให้เนื้อเน่า จะทำบุญทั้งทีอย่าเสียดายเงิน

ผมส่งธนบัตรใบละยี่สิบบาทให้เขา พร้อมกับบอกว่า เอ้า...เอาไปกินข้าว เขายกมือไหว้ขอบคุณแล้วก็หันกลับเดินไปทางเดิม ผมร้องตามไปว่า เอาไปกินข้าวนะ ไม่ได้ยินว่าเขารับคำหรือเปล่า แต่ผมก็ยินดีแล้วที่ได้ช่วยผ่อนทุกข์ของเขา และอาจจะช่วยให้เขามีความสุขขึ้นกว่าเมื่อก่อนหน้าที่จะได้พบผม

เมื่อมาถึงริมถนนก็ข้ามฟากไปยังฝั่งตรงข้าม ขึ้นรถโดยสารประจำทางย้อนกลับไปทางประตูน้ำ แต่ลงเสียที่ป้ายรถเมล์หน้าศูนย์การค้า ที่มีชื่อเดิมเหมือนตึกในนครนิวยอร์คที่ถูกถล่มด้วยฝีมือของผู้ก่อการร้าย เมื่อหลายปีก่อน แล้วข้ามสะพานลอยสวยงามไปยังปากตรอกที่มีอาหารการกินมากมาย ผมซื้อขนมครกใส่กล่องโฟมหนึ่งกล่องแล้วก็หิ้วไปหาเครื่องดื่ม ซึ่งตั้งเป็นซุ้มอยู่ไม่ไกลนัก เขาขายน้ำชากาแฟ และเครื่องดื่มแช่เย็นทั้งขวดและกระป๋อง แทบจะทุกยี่ห้อ ผมสั่งเบียร์กระป๋องหนึ่งและน้ำแข็งแห้งแก้วหนึ่ง นั่งลงบนม้ากลมหน้าซุ้ม เพื่อจัดการกับอาหารกลางวันมื้อนั้น

ทันใดสายตาก็เหลือบไปเห็นแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่ง เขียนตัวหนังสือด้วยปากกาลูกลื่น ลายมือสวยเป็นระเบียบเรียบร้อย ดีกว่านักเรียนในยุคปัจจุบันมาก ตัวอักษรโตพอที่คนสวมแว่นสายตาอย่างผมจะอ่านออกได้สบาย มันเป็นคำคมที่น่าสนใจมากสำหรับผม

เมื่อสมัยที่เวปพันทิปเปิดหน้ากระทู้นอกเรื่อง ที่ไม่ใช่การประพันธ์ แยกออกจากถนนนักเขียนของห้องสมุด ตั้งแต่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ นั้น ได้มีผู้วิพากษ์วิจารณ์หรือบ่นว่ามากมาย นักอ่านคนหนึ่งถึงกับตั้งกระทู้ต่อว่าต่อขาน และมีผู้สนับสนุนหลายคน ว่าไม่ควรแยกออกจากหน้ารวมเรื่องในถนนนักเขียน เพราะจะทำให้ไม่มีผู้อ่านเปิดเข้ามาอ่าน ซึ่งก็เป็นความจริง

ผมจึงพยายามเปิดกระทู้ในหมวดบทกวี เชิญชวนให้นักเขียนนักอ่าน เข้าไปเยี่ยมชมหน้ากระทู้นอกเรื่อง ทุกครั้ง ที่เปิดเข้ามาในถนน ก็ไม่ทราบว่าได้ผลมากน้อยประการใดหรือไม่ แต่ผมก็ไม่ละความตั้งใจ คงพยายามหาเรื่องอะไร ที่ไม่ใช่งานเขียนของผม แต่มีสาระน่ารู้ เอามาลงในกระทู้นอกเรื่องอยู่อย่างสม่ำเสมอ ตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งถึงบัดนี้

อย่างเช่น ธรรมะของท่านพุทธทาส ในวาระครบรอบ ๑๐๐ ปี ท่านพุทธทาสภิกขุ หรือ พระธรรมโกศาจารย์ คำสอนของพ่อ ในวาระที่กำลังจะจัดงานฉลองครบรอบ ๖๐ ปี การครองสิริราชสมบัติ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และบทกลอนที่มีคุณค่าน่าอ่าน ในวันสุนทรภู่ เป็นต้น

นอกจากนั้นผมได้เปิดกระทู้ ข้อคิด-คำคม ขึ้น และนำข้อความที่เป็นคติ มาเผยแพร่สู่กันอ่าน ผมจึงสนใจคำคมที่แปะอยู่ข้างซุ้มขายเครื่องดื่มที่ผมนั่งอยู่นั้นเป็นอย่างยิ่ง เมื่อผมกินขนมครกหมดไปครึ่งกล่อง และเบียร์พร่องไปครึ่งกระป๋องแล้ว ผมจึงขออนุญาตเจ้าของซุ้มซึ่งเป็นหญิงสาว คัดลอกข้อความเหล่านั้น เพื่อจะเอามาเผยแพร่ในกระทู้ ข้อคิด-คำคม ของผม ซึ่งเธอก็อนุญาตโดยไม่อิดเอื้อน

ผมติดใจอยู่หลายบททีเดียว เช่น

* จงเลี้ยงดูพ่อแม่เมื่อยังมีชีวิต ป่วยการคิดเซ่นไหว้เมื่อตายแล้ว

* ภัยธรรมชาติอาจหนีได้ กรรมที่ตนทำไว้นั้นหนียาก

* จงทำความถูกต้อง อย่าทำเพราะความถูกใจ

* คนหวังพึ่งโชคชะตา เป็นคนปัญญาอ่อน

* หวังได้ทรัพย์จากการพนัน เป็นคนเพ้อฝันอย่างสิ้นคิด

ผมจดไปกินขนมครกและดื่มเบียร์ไปจนหมดสิ้นทั้งสามอย่าง จึงชำระเงินและลุกขึ้นเดินออกจากซุ้ม โดยไม่ลืมที่จะขอบคุณเจ้าของสาวน่ารักผู้นั้น และคิดในใจว่าคงจะได้มีโอกาสแวะเวียนมาอุดหนุนอีก แม้ราคาจะแพงกว่าร้านหน้าบ้านของผม หลายเปอร์เซ็นต์ก็ตาม

ระหว่างที่เดินข้ามสะพานลอย กลับไปยังโรงพยาบาลตำรวจ เพื่อเยี่ยมเพื่อนซึ่งป่านนี้คงจะออกจากห้องผ่าตัดตาแล้ว ก็สวนกับชายชราผู้หนึ่ง ซึ่งมีหน้าตาและเครื่องแต่งกายเป็นคนชนบทร้อยเปอร์เซ็นต์ แววตาของแกแห้งแล้งหม่นหมอง เหมือนกับที่เห็นทั่วไปในโรงพยาบาลเมื่อเช้านี้ แกบอกกับผมเบา ๆ ว่า

“ ลุง...........ขอตังกินข้าวหน่อยนะ “

ความจริงดูลักษณะทั่วไปแล้ว แกน่าจะมีอายุมากกว่าผมหลายปี แต่เอาเถอะถึงจะเรียกลุงก็ไม่ว่าอะไร ผมเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยความเคยชิน แม้จะยังข้องใจคำคมข้อสุดท้ายที่คัดมาเมื่อกี้ว่า

* คนดีพอกินเหล้าลงท้อง ก็กลายเป็นคนเลว
แต่ยังไม่เคยเห็นคนเลว กินเหล้าแล้วเป็นคนดีเลย

ผมไม่อยากจะเชื่อเลยครับ.

#########

พ.ศ.๒๕๔๙
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่