พอดีวันนี้ว่างและอยากลองแชร์ประสบการณ์ให้คนที่กำลังจะไปออสเตรเลียด้วยวรซ่านักเรียนหรือวีซ่า Work and Holiday (Wah)
เกริ่นนำก่อนว่า จขกท ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเก่งเท่าไร แต่เนื่องจาก โง่เลขมาก จึงหนีมาเรียน สายศิลป์ภาษา แต่ปรากฏ ก็ยังเจอเลขอยู่ จนถึง ม.5 พอเข้าเรียนมหาลัยวิทยาลัย ก็ไม่รู้จะเลือกเรียนอะไร เลยเรียน ภาษาอังกฤษต่อ
เรื่องมีอยู่ว่า หลังเรียนจบ ก็ได้งานประจำ แต่ไม่ได้รู้สึกเบื่อแต่อย่างไรแค่รู้สึก เงินเดือนน้อยจัง มีวันหยุดวันหนึ่ง ไปเดินร้านหนังสือ Kinokuniya แล้วเจอหนังสือ เปลือย ซิดนีย์ เลยหยิบมาลองอ่านและซื้อกลับบ้าน ปรากฏอ่านไปอ่านมา สนุกดี เลยไปหาข้อมูลเพิ่มจาก อินเตอร์เน็ต บู้ม โครงการนี้จึงเริ่มขึ้น
เงื่อนไขอย่างแรก ที่ต้องทำก่อนเลยคือ สอบ IELTS ให้ได้ Overall 4.5 ขึ้นไป ซึ่งตอนนั้น ถามว่ามั่นใจไหม ไม่มั่นใจเลย เพราะว่า ขนาดเรียนเอก ภาษาอังกฤษมา ก็ยัง พูดงูๆปลาๆ แถมต้องไปเขียน Essay รวมถึง Speaking ตาม Topic ที่ไม่สามารถ รู้มาก่อนได้ ตายแล้ว งานงอกก
หลังจากศึกษาขั้นตอน มาได้สักพัก เลยตัดสินใจบอก คุณพ่อ ว่า จะลองไปอยู่เมืองนอกสักปีนะ แต่ต้องผ่านขั้นตอน ขอวีซ่าก่อน ตอนนั้น คุณพ่อเหมือนไม่ได้ใส่ใจเท่าไร แต่พูดเป็นนัย ว่า ถ้าทำผ่าน ค่อยไปเถอะ (พอได้ยินดังนั่น เอาไงก็เอากัน สอบให้ผ่านก่อน)
จขกท เลย ไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนที่ มีความสามารถในการ ดาวน์โหลด ข้อมูลเก่ง ช่วยโหลด แบบฝึกหัด และตัวอย่าง ข้อสอบ IELTS มาทำดู พอได้ไฟล์จากเพื่อน โอ้ มีเล่ม 1-8 (ขออนุญาตไม่กล่าวชื่อหนังสือ) เลยลองเปิดมาทำดู IELTS มี 4 parts คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน
ด้วยความที่ เคยผ่านการสอบ Toeic มาบ้าง แรกๆคิดว่า คงเป็นแบบเดียวัน แต่เปล่าเลย IELTS ยากกว่าเยอะ ไม่มีแกรมม่าโต้งๆ เป็นช้อยส์มาให้เลือก เติมเป็นตัวอักษรทั้งหมด เลยตั้งใจ มีวินัย ฝึกทุกวัน คือ ฟังวันละ 2 Exercises ลองทำอ่าน วันละ 2 Paragraphs วันหยุด เสาร์อาทิตย์ ลองจับเวลา เขียน Essay เอง เหลือแค่ Speaking ที่ในตอนแรก ไม่สามารถฝึกเองได้
จากนั้นมา ก็ฝึกทุกวัน แต่เพื่มการฟังและอ่านด้วย การ พออยู่ยนรถเมล์ ไป หรือกฃับจากทำงาน จะฟัง audio books เพื่อฝึกจับใจความ เริ่มซื้อนิยายภาษษอังกฤษมาอ่าน และยังฝึกทำข้อสอบทุกวัน จนครบ 1 เดือน เหลือแค่ Speaking ที่ ยังไม่ได้เป็นรูปเป็นร่าง จนกระทั่ง คิดว่า คงเป็นจุดอ่อน จึงเน้นแค่ฟัง กับอ่านให้มากๆ ส่วนเรื่องเขียน ก็นั่งอ่าน Essay คนอื่นเยอะๆ แล้วให้เพื่อนตรวจบ้าง 555+
จนถึงวันสอบ (ขอข้าม part นี้) เหนื่อยมาก ได้สอบ Speaking เกือบ 5 โมงเย็น แถมได้ ฝรั่ง ออสซี่ เป็นคนถาม บอกเลย แอบมึนไปสักพัก แต่ก็พอพูดได้
รอผล 13 วัน จนกระทั่ง ไปรับผลสอบถึงที่ เปิดซอง แทบกรี๊ด ผ่านนนนน เลย 4.5
หลังจาก นั้น คือ ขั้นตอน สมัครออนไลน์ รวมถึง ขั้นตอนการยื่นวีซ่า (ขอข้ามไปเลย สามารถหาอ่านได้ตามอินเตอร์เน็ท)
จนกระทั่งวันที่ ต้องบอกและขอเอกสารพ่อ ทุกอย่าง เพื่อประกอบการขอวีซ่า พ่อ ก็ โอเค ให้ตามที่ลูกขอ
วันที่ 26 สิงหาคม 2555 ไปรับผลวีซ่า ปรากฏ วีซ่าผ่าน (แอบไม่แปลกใจ เพราะเตรียมตัวมาเป็นปี) แต่หลังจากนี้แหละ คือ เรื่องการเดินทางและการเตรียมข้าวของละ
เนื่องจาก ทางบ้าน จขกท ไม่มีใครเคยไปอยู่เมืองนอกเลย จึงไม่สามารถปรึกษาใครได้ ประกอบกับ ประเทศออสเตรเลียแลดู จะเรื่องมาก เรื่องของเข้าประเทศ จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ จขกท ก็หาข้อมูล จ่าก pantip บ้าง หนังสือท่องเที่ยวบ้าง
จขกท ลาออกจากงานประจำ ก่อนจะเดินทางไปออส 2 เดือน เดือนแรก เตรียมของ เดือนที่ 2 หาความรู้เพิ่มเติม รวมถึง ที่พัก (ค่อนข้างวุ่นวาย) ช่วงนี้
หลังจาก ลิสต์ เสื้อผ้า (รวมถึงของกันหนาวต่างๆ) ของใช้ ของฝากเพื่อนที่ไม่รู้จะมีหรือเปล่าในอนาคต และจอง ตั๋วเครื่องบิน เรียบร้อย เป้าหมาย การเดินทาง คือ 7 กุมภาพันธ์ 2556 และ เมืองที่จะไปอยู่ คือ Melbourne เพราะ จขกท คิดว่า เป็นเมืองที่สวยมาก และตอนนี้ก็หา บ้านพักได้แล้ว หลังจาก ค้นหามานานแรมเดือน (เป็นบ้านพักที่แชร์กะ ฝรั่ง 1 คน เจ้าของบ้าน อยู่แถว Greensborough)
และแล้ว วันเดินทางก็มาถึง ไฟลท์ออก จาก สนามบิน สุวรรณภูมิ 8.20 ในตอนเช้า คืนนั้น ตื่นเต้น นอนไม่หลับ ไม่รู้ว่า จะเจออะไรบ้าง งานจะหาได้ไหม เตรียมตัวไปเนี่ย มันสมบูรณ์ไหม เอกสารต่างๆ กังวลไปหมด พอถึง สนามบิน ก็ไป เช็คอิน ปรากฏ กระเป๋าน้ำหนักเกิน แต่เจ้าหน้าที่ใจดี ให้ผ่านไปได้ จดจำวินาที นั้นได้เลย ตอนที่จะเข้า Gate พ่อบอกว่า ห้ามหันหลังมามองนะ ถึงนู้นแล้ว โทรมาบอกด้วย (วันนั้น ญาติไปส่งเยอะมาก ร่วม 10 คน) พอต้องเข้า Gate ไปแล้ว เราไม่หันหลังไปมองพ่อเลย ตามที่พ่อบอก แต่ก็ต้องมาเจอ ตม ตรวจมากมาย พอผ่านไปได้ เราก็เดินไปนั่ง เพื่อรอขึ้นเครื่อง ไฟลท์วันนั้น คนอินเดียเยอะมาก เพราะเค้ามาต่อเครื่องไป ลง ออส เรานั่งติด กับคนอินเดียแม่ลูกอ่อน กับการขึ้นเครื่องบินครั้งแรก และต้องนั่ง 9 ชม บอกเลย เราทรมานมาก ไม่มีไรทำ เน็ตเล่นไม่ได้ ลืมบอกไป เรานัด เจ้าของบ้านเช่ามารับที่สนามบิน พอเครื่องบิน แล่นลง ที่สนามบิน Melbourne เราดีใจมาก เพราะเราปวดหัวจากเสียงเด็กร้อง แล้วเราก็ลากสัมภาระ เดินตามทางไป จน จะถึงด่านตรวจ ตม ของออส เค้าก็บอกว่า Hey you guys. Follow me this way. ตอนนั้น เราเดินตาม คน อินเดียมา เราก็เลยถาม Me too? เจ้าหน้าที่เลยบอก Yes.. Are you Indians? เราก้เลยบอก No. I come from Thailand. และ ยื่น Passport ให้เจ้าหน้าที่ดู เค้าเลยชี้ให้เราไปอีกทางนึง หลังจากนั้นก็ตามทางไปจนถึง สายพานรับกระเป๋า และ เรา ติ๊ก Declare เพราะเราเอายาสามัญประจำบ้านมา พอถึงด่านตรวจกระเป๋า เราก็บอกเค้าว่า เราเอา ยาสามัญประจำบ้านมา พวก พาราเซตามอล เค้าก็ให้ผ่าน จนออกมา เราพยาพยามมองหา เจ้าของบ้านเช่าเรา ชื่อ จิม ตอนนั้น เริ่ม ใจแป๊ว 4 ทุ่มกว่าแล้วด้วยที่ ออส มองไปตั้งนาน ไม่เจอ จนกระทั่ง เค้าเดินมาถาม ว่า ใช่... ใช่ไหม เราก็เลยบอกใช่ ตอนนั้น โล่งมาก จิมมารับ นึกว่าต้อง ไปแลกเหรียญหยอด เพื่อโทรตามซะอีก
จิมขับรถมาถึงบ้าน ตอนนั้น น่าจะ 5 ทุ่มกว่า แล้วก็พาดู บ้าน สักเล็กน้อย ว่าห้องน้ำอยู่ทาง ไหน ห้องครัว รหัส ไวไฟ ห้องนอน เค้า ห้องนอน เรา และ เราขอยืมโทสัพเค้าโทรบอกพ่อ ว่าเรา ถึงแล้ว... เนื่องจากเราเหนื่อยมาก เราจึงขอตัวไปนอน และ เก็บของ (ทำไมมันหนาวอย่างนี้นะ ไหนบอก ฤดูร้อน) ตื่นเช้ามา จิม แปะโน้ตว่า มีขนมปัง ไข่ กับ นม ซีเรียล อยู่ในห้องครัว ทำกินข้าวเช้า และเดี๋ยว 11 โมง เค้าจะกลับมา หา survey รอบๆ บ้าน
เดี๋ยวกลับมาต่อนะ อาบน้ำกินข้าวก่อน
ประสบการณ์ใช้ชีวิตในออสเตรเลียด้วย วีซ่า WAH (Work and holiday)
เกริ่นนำก่อนว่า จขกท ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเก่งเท่าไร แต่เนื่องจาก โง่เลขมาก จึงหนีมาเรียน สายศิลป์ภาษา แต่ปรากฏ ก็ยังเจอเลขอยู่ จนถึง ม.5 พอเข้าเรียนมหาลัยวิทยาลัย ก็ไม่รู้จะเลือกเรียนอะไร เลยเรียน ภาษาอังกฤษต่อ
เรื่องมีอยู่ว่า หลังเรียนจบ ก็ได้งานประจำ แต่ไม่ได้รู้สึกเบื่อแต่อย่างไรแค่รู้สึก เงินเดือนน้อยจัง มีวันหยุดวันหนึ่ง ไปเดินร้านหนังสือ Kinokuniya แล้วเจอหนังสือ เปลือย ซิดนีย์ เลยหยิบมาลองอ่านและซื้อกลับบ้าน ปรากฏอ่านไปอ่านมา สนุกดี เลยไปหาข้อมูลเพิ่มจาก อินเตอร์เน็ต บู้ม โครงการนี้จึงเริ่มขึ้น
เงื่อนไขอย่างแรก ที่ต้องทำก่อนเลยคือ สอบ IELTS ให้ได้ Overall 4.5 ขึ้นไป ซึ่งตอนนั้น ถามว่ามั่นใจไหม ไม่มั่นใจเลย เพราะว่า ขนาดเรียนเอก ภาษาอังกฤษมา ก็ยัง พูดงูๆปลาๆ แถมต้องไปเขียน Essay รวมถึง Speaking ตาม Topic ที่ไม่สามารถ รู้มาก่อนได้ ตายแล้ว งานงอกก
หลังจากศึกษาขั้นตอน มาได้สักพัก เลยตัดสินใจบอก คุณพ่อ ว่า จะลองไปอยู่เมืองนอกสักปีนะ แต่ต้องผ่านขั้นตอน ขอวีซ่าก่อน ตอนนั้น คุณพ่อเหมือนไม่ได้ใส่ใจเท่าไร แต่พูดเป็นนัย ว่า ถ้าทำผ่าน ค่อยไปเถอะ (พอได้ยินดังนั่น เอาไงก็เอากัน สอบให้ผ่านก่อน)
จขกท เลย ไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนที่ มีความสามารถในการ ดาวน์โหลด ข้อมูลเก่ง ช่วยโหลด แบบฝึกหัด และตัวอย่าง ข้อสอบ IELTS มาทำดู พอได้ไฟล์จากเพื่อน โอ้ มีเล่ม 1-8 (ขออนุญาตไม่กล่าวชื่อหนังสือ) เลยลองเปิดมาทำดู IELTS มี 4 parts คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน
ด้วยความที่ เคยผ่านการสอบ Toeic มาบ้าง แรกๆคิดว่า คงเป็นแบบเดียวัน แต่เปล่าเลย IELTS ยากกว่าเยอะ ไม่มีแกรมม่าโต้งๆ เป็นช้อยส์มาให้เลือก เติมเป็นตัวอักษรทั้งหมด เลยตั้งใจ มีวินัย ฝึกทุกวัน คือ ฟังวันละ 2 Exercises ลองทำอ่าน วันละ 2 Paragraphs วันหยุด เสาร์อาทิตย์ ลองจับเวลา เขียน Essay เอง เหลือแค่ Speaking ที่ในตอนแรก ไม่สามารถฝึกเองได้
จากนั้นมา ก็ฝึกทุกวัน แต่เพื่มการฟังและอ่านด้วย การ พออยู่ยนรถเมล์ ไป หรือกฃับจากทำงาน จะฟัง audio books เพื่อฝึกจับใจความ เริ่มซื้อนิยายภาษษอังกฤษมาอ่าน และยังฝึกทำข้อสอบทุกวัน จนครบ 1 เดือน เหลือแค่ Speaking ที่ ยังไม่ได้เป็นรูปเป็นร่าง จนกระทั่ง คิดว่า คงเป็นจุดอ่อน จึงเน้นแค่ฟัง กับอ่านให้มากๆ ส่วนเรื่องเขียน ก็นั่งอ่าน Essay คนอื่นเยอะๆ แล้วให้เพื่อนตรวจบ้าง 555+
จนถึงวันสอบ (ขอข้าม part นี้) เหนื่อยมาก ได้สอบ Speaking เกือบ 5 โมงเย็น แถมได้ ฝรั่ง ออสซี่ เป็นคนถาม บอกเลย แอบมึนไปสักพัก แต่ก็พอพูดได้
รอผล 13 วัน จนกระทั่ง ไปรับผลสอบถึงที่ เปิดซอง แทบกรี๊ด ผ่านนนนน เลย 4.5
หลังจาก นั้น คือ ขั้นตอน สมัครออนไลน์ รวมถึง ขั้นตอนการยื่นวีซ่า (ขอข้ามไปเลย สามารถหาอ่านได้ตามอินเตอร์เน็ท)
จนกระทั่งวันที่ ต้องบอกและขอเอกสารพ่อ ทุกอย่าง เพื่อประกอบการขอวีซ่า พ่อ ก็ โอเค ให้ตามที่ลูกขอ
วันที่ 26 สิงหาคม 2555 ไปรับผลวีซ่า ปรากฏ วีซ่าผ่าน (แอบไม่แปลกใจ เพราะเตรียมตัวมาเป็นปี) แต่หลังจากนี้แหละ คือ เรื่องการเดินทางและการเตรียมข้าวของละ
เนื่องจาก ทางบ้าน จขกท ไม่มีใครเคยไปอยู่เมืองนอกเลย จึงไม่สามารถปรึกษาใครได้ ประกอบกับ ประเทศออสเตรเลียแลดู จะเรื่องมาก เรื่องของเข้าประเทศ จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ จขกท ก็หาข้อมูล จ่าก pantip บ้าง หนังสือท่องเที่ยวบ้าง
จขกท ลาออกจากงานประจำ ก่อนจะเดินทางไปออส 2 เดือน เดือนแรก เตรียมของ เดือนที่ 2 หาความรู้เพิ่มเติม รวมถึง ที่พัก (ค่อนข้างวุ่นวาย) ช่วงนี้
หลังจาก ลิสต์ เสื้อผ้า (รวมถึงของกันหนาวต่างๆ) ของใช้ ของฝากเพื่อนที่ไม่รู้จะมีหรือเปล่าในอนาคต และจอง ตั๋วเครื่องบิน เรียบร้อย เป้าหมาย การเดินทาง คือ 7 กุมภาพันธ์ 2556 และ เมืองที่จะไปอยู่ คือ Melbourne เพราะ จขกท คิดว่า เป็นเมืองที่สวยมาก และตอนนี้ก็หา บ้านพักได้แล้ว หลังจาก ค้นหามานานแรมเดือน (เป็นบ้านพักที่แชร์กะ ฝรั่ง 1 คน เจ้าของบ้าน อยู่แถว Greensborough)
และแล้ว วันเดินทางก็มาถึง ไฟลท์ออก จาก สนามบิน สุวรรณภูมิ 8.20 ในตอนเช้า คืนนั้น ตื่นเต้น นอนไม่หลับ ไม่รู้ว่า จะเจออะไรบ้าง งานจะหาได้ไหม เตรียมตัวไปเนี่ย มันสมบูรณ์ไหม เอกสารต่างๆ กังวลไปหมด พอถึง สนามบิน ก็ไป เช็คอิน ปรากฏ กระเป๋าน้ำหนักเกิน แต่เจ้าหน้าที่ใจดี ให้ผ่านไปได้ จดจำวินาที นั้นได้เลย ตอนที่จะเข้า Gate พ่อบอกว่า ห้ามหันหลังมามองนะ ถึงนู้นแล้ว โทรมาบอกด้วย (วันนั้น ญาติไปส่งเยอะมาก ร่วม 10 คน) พอต้องเข้า Gate ไปแล้ว เราไม่หันหลังไปมองพ่อเลย ตามที่พ่อบอก แต่ก็ต้องมาเจอ ตม ตรวจมากมาย พอผ่านไปได้ เราก็เดินไปนั่ง เพื่อรอขึ้นเครื่อง ไฟลท์วันนั้น คนอินเดียเยอะมาก เพราะเค้ามาต่อเครื่องไป ลง ออส เรานั่งติด กับคนอินเดียแม่ลูกอ่อน กับการขึ้นเครื่องบินครั้งแรก และต้องนั่ง 9 ชม บอกเลย เราทรมานมาก ไม่มีไรทำ เน็ตเล่นไม่ได้ ลืมบอกไป เรานัด เจ้าของบ้านเช่ามารับที่สนามบิน พอเครื่องบิน แล่นลง ที่สนามบิน Melbourne เราดีใจมาก เพราะเราปวดหัวจากเสียงเด็กร้อง แล้วเราก็ลากสัมภาระ เดินตามทางไป จน จะถึงด่านตรวจ ตม ของออส เค้าก็บอกว่า Hey you guys. Follow me this way. ตอนนั้น เราเดินตาม คน อินเดียมา เราก็เลยถาม Me too? เจ้าหน้าที่เลยบอก Yes.. Are you Indians? เราก้เลยบอก No. I come from Thailand. และ ยื่น Passport ให้เจ้าหน้าที่ดู เค้าเลยชี้ให้เราไปอีกทางนึง หลังจากนั้นก็ตามทางไปจนถึง สายพานรับกระเป๋า และ เรา ติ๊ก Declare เพราะเราเอายาสามัญประจำบ้านมา พอถึงด่านตรวจกระเป๋า เราก็บอกเค้าว่า เราเอา ยาสามัญประจำบ้านมา พวก พาราเซตามอล เค้าก็ให้ผ่าน จนออกมา เราพยาพยามมองหา เจ้าของบ้านเช่าเรา ชื่อ จิม ตอนนั้น เริ่ม ใจแป๊ว 4 ทุ่มกว่าแล้วด้วยที่ ออส มองไปตั้งนาน ไม่เจอ จนกระทั่ง เค้าเดินมาถาม ว่า ใช่... ใช่ไหม เราก็เลยบอกใช่ ตอนนั้น โล่งมาก จิมมารับ นึกว่าต้อง ไปแลกเหรียญหยอด เพื่อโทรตามซะอีก
จิมขับรถมาถึงบ้าน ตอนนั้น น่าจะ 5 ทุ่มกว่า แล้วก็พาดู บ้าน สักเล็กน้อย ว่าห้องน้ำอยู่ทาง ไหน ห้องครัว รหัส ไวไฟ ห้องนอน เค้า ห้องนอน เรา และ เราขอยืมโทสัพเค้าโทรบอกพ่อ ว่าเรา ถึงแล้ว... เนื่องจากเราเหนื่อยมาก เราจึงขอตัวไปนอน และ เก็บของ (ทำไมมันหนาวอย่างนี้นะ ไหนบอก ฤดูร้อน) ตื่นเช้ามา จิม แปะโน้ตว่า มีขนมปัง ไข่ กับ นม ซีเรียล อยู่ในห้องครัว ทำกินข้าวเช้า และเดี๋ยว 11 โมง เค้าจะกลับมา หา survey รอบๆ บ้าน
เดี๋ยวกลับมาต่อนะ อาบน้ำกินข้าวก่อน