เรื่องส้น : เฮียโส่ย

“วงการนี้มันมีอาถรรพ์” ชายสูงวัยเชื้อจีนผมสั้นเกรียน ใส่เสื้อคอตั้งสีขาวเอ่ยเป็นคำแรกเมื่อรู้ถึงวัตถุประสงค์ของผม เรานั่งห่างกันไม่ถึงเมตร ทั้งที่ห้องนี้มีขนาดราวๆ 4 คูณ 6 เมตรเห็นจะได้ ผมเริ่มต้นด้วยการนั่งมองเขาพ่นควันบุหรี่ตองห้าขึ้นเพดานมันม้ วนตัวเป็นก้อนก่อนสลายเป็นม่านหมอกบางๆ ผ่านแสงไฟหลอดสีส้มดวงเดียวในห้อง มังกรเฒ่ามองเด็กหนุ่มอย่างผมด้วยหางตา

“ทุกวันเฮียทำให้คนมีความสุขเยอะแยะ คนเสียใจมากมาย”  เขาอัดควันสีเทานั้นเข้าปอดสามครั้งติดๆ “ธุรกิจต้องตรงไปตรงมา ของหายากต้องแย่งชิง ลื๊อจดลงไป”

ผมก้มหน้าจดตามที่เฮียบอก กลิ่นบุหรี่กับน้ำหอมปรับอากาศในห้องแอร์มันคลุกเคล้ากันจนผมรู้สึกว่ากลิ่นของมันคงถูกบันทึกลงไปในเครื่องอัดเสียงขนาดฝ่ามือบนโต๊ะไม้แผ่นใหญ่ของผู้ชายที่มีชื่อว่าเฮียโส่ยแน่ ๆ ผมยังไม่ทันจะอ้าปากถามคำถามที่เตรียมมาเลย บุรุษตรงหน้าก็ดูเหมือนจะรู้ว่าจะต้องพูดอะไรต่อไป เหมือนที่ผมอยากอ้าปากถาม

“เฮียทำเท่าที่เฮียอยากทำ และทำพออยู่ได้ มันก็ต้องมีคนผิดหวังจริงไหม” ผมพยักหน้าว่าเห็นด้วยแต่อยากเดินไปแง้มประตูบานเฟี๊ยมลายดอกท้อให้กว้างกว่านี้หวังให้อากาศมันถ่ายเทและจับสัญญาณเสียงของความเคลื่อนไหวภายนอกให้ชัดเจนมากขึ้น เพราะเสียงเริ่มดังเซ็งแซ่เข้ามาถึงห้องที่ปิดมิดชิดและลึกเข้ามาจากด้านหน้าพอควร แสดงว่าผู้คนมีจำนวนไม่น้อย

เฮียโส่ยต่อบุหรี่อีกตัวทั้งที่ตัวแรกยังคาที่เขี่ยควันโชยขึ้นเป็นเส้นเชือกตรงไปที่แสงไฟส่องลงกระทบ ผมได้แต่คิดในใจว่าทำไม่ดับซะก่อนแต่ไม่กล้าทัก ด้วยชื่อเสียงด้านอารมณ์ร้อนของเฮียโส่ยนั้นเป็นที่เลื่องลือ

“แต่เฮียต้องทำ น้องๆสี่ห้าคนเอาแต่มุ่งมั่นเรียนหนังสือ” แกยกน้ำชาขึ้นจิบราวครึ่งจอก แล้วสาดที่เหลือใส่ที่เขี่ยบุหรี่รูปปลาหน้าสิงห์ ขี้เถ้าลอยตัวฟุ้งเบาๆ และตกกลับลงในแอ่งเล็กๆ ไม่มีกระฉอกให้เลอะเปื้อนโต๊ะทั้งของเหลวและขี้เถ้า

“เฮียไม่ได้ว่าการศึกษาไม่ดีนะ เฮียซื้อมาขายไป” แกพูดในขณะหลับตาลงเหมือนครุ่นคิด

“เฮียมีหน้าร้านทำการค้าถูกต้อง ใครอยากมาซื้อหาวัตถุดิบเฮียก็ขาย ที่มีไม่ถูกใจก็จัดหาให้ รับซื้อเข้าบางเดือนหลายล้าน” แกพ่นควันแทบจะใส่หน้าผมที่เผลอตัวทำหน้าตาเอ๋อประลาดใจอยู่หลับตาแทบไม่ทัน

“ลำพังแค่รู้จักกำไร ขาดทุน ชีวิตเฮียพอแล้ว” นาฬิกาตราม้าหน้าปัดขาวยวงแขว่งตุ้มตีบอกเวลา 11 นาฬิกา

“จริงๆ มันป็นเรื่องในครอบครัว... ลื้อพอเข้าใจนะ” ท้ายประโยคเฮียแกถลึงตาใส่ผมด้วยเสียงที่ดังขึ้น ผมพยักหน้าตั้งแต่หางเสียงแกไม่ทันสุด เหงื่อเม็ดโป้งเหมือนพร้อมใจกันผุดขึ้นเต็มหน้าในห้องแอร์เย็นเฉียบ

เจ้าของน้ำเสียงมีอำนาจนั้นลุกขึ้นยืนหยิบผ้าขนหนูที่พาดอย่างเป็นระเบียบที่ท้าวแขนเก้าอี้ขึ้นมาพาดไหล่ ท่าทางแกยังองอาจราวโจวเหวินฟะ แต่ผมใจหายวาบไม่เข้าใจว่าการหลับตาปี๋ไประคายเคืองให้เฮียโส่ยไม่พอใจที่ตรงไหน รีบคว้าเครื่องอัดเสียงมาแนบอกไว้เสมือนเป็นเครื่องรางชิ้นเดียวที่พอปกป้องตัวเองได้ ใจเต้นระทึก

“ลูกค้ามารอซื้อกระเพาะปลาแล้ว ไม่เกินเที่ยงก็หมด”เฮียโส่ยบรรจงดับขี้บุหรี่ “ถ้าลื้ออยากสัมภาษณ์ต่อก็ได้ แต่ถ้าอยากกินก็ไปต่อแถว” ผมพยักหน้าและกระโจนตัดหน้ามังกรเฒ่า ผลักบานเฟี้ยมนั้นออกไปต่อแถวโดยไม่มีข้อแม้



ขอบคุณภาพจาก http://mihk2002.wordpress.com/
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่