ลาออกจากงานประจำ ไปเป็นช่างแต่งหน้า ดีมั๊ยน้า

กระทู้สนทนา
ใครชอบแต่งหน้า...ยกมือขึ้น \ ^_^ /
ใครหารายได้เสริม...ยกมือขึ้น \ ^_^ /
ใครอยากเปลี่ยนงาน...ยกมือขึ้น \ ^_^ /
ใครอยากทำสิ่งที่ตัวเองรักให้กลายเป็นอาชีพ เอ้า...ยกมือขึ้น \ ^_^ /

ใครยกมือตั้งแต่ 1 ข้อขึ้นไป รีบอ่านเรื่องข้างล่างนี้เลย เผื่อจะช่วยประกอบการตัดสินใจได้
มีน้องๆ ถามมาเยอะค่ะว่าเป็นช่างแต่งหน้าดีไหม ทำงานนี้ได้เงินไหม คุ้มไหม ลาออกจากงานประจำดีไหม
เลยตัดสินใจเขียนลงพันทิปดีกว่า เผื่อใครมาถามอีกก็ส่ง link ให้อ่านเลย ง่ายดี อิอิ

ก่อนอื่นต้องขออนุญาตแทนตัวเองว่าครูนะคะ ลูกศิษย์ลูกหาเรียกครูแอนบ้าง 'จารย์แอนบ้าง เลยแทนตัวเองว่าครูจนติดปากค่ะ

ครูเองก็เป็นคนหนึ่งนะคะที่เคยทำงานในบริษัทวันละ 8 ชม. แถมไม่ชอบงานที่ตัวเองทำเอาซะเลย อย่าเรียกว่าไม่ชอบเลย เรียกว่าเกลียดงานที่ทำเลยจะถูกต้องกว่า ตอนเช้ากว่าจะงัดตัวเองออกมาจากเตียงได้ กลิ้งแล้วกลิ้งอีก กด snooze ไม่รู้กี่รอบ ตื่นมาเสร็จมานั่งคิดว่าวันนี้จะโทรลาป่วยดี หรือโทรไปลาออกเลยดีนะ ไปทำงานแบบเหี่ยวๆแบบนี้มา 6-7 ปี และวันหนึ่งหลังจากที่หมดความอดทนกับงานที่ทำ และเริ่มมีเงินเก็บ (ย้ำ! ต้องมีเงินเก็บ เดี๋ยวจะบอกว่าทำไมต้องมีเงินเก็บ) ครูก็ตัดสินใจลาออกจากงานที่ทำอยู่ไปเรียนแต่งหน้าให้เป็นเรื่องเป็นราว

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าครูมีความชอบในเรื่องการแต่งหน้าอยู่แล้วเป็นเดิมทุน แต่งหน้าตัวเองบ้าง แต่งหน้าเพื่อนบ้าง อยากเรียนแต่งหน้ามาตั้งแต่เหยียบอเมริกาใหม่ๆ (สิบกว่าปีที่แล้วนู่น) แต่ไม่มีโอกาสเพราะค่าเรียนแต่งหน้าที่อเมริกาค่อนข้างสูง โครงการเรียนแต่งหน้าในตอนนั้นเลยต้องพับเก็บไว้ก่อน

โอเค...หลังจากที่ลาออกจากงาน ก็เริ่มเสาะหาโรงเรียน ดูทั้ง websites อ่าน comments แถมไปทัวร์มันทุกโรงเรียนที่สนใจเลย ไปดูสภาพแวดล้อม ดูห้องเรียน ดูบรรยากาศ ในที่สุดก็ตัดสินใจเรียนคอร์ส Master Make-up ยิ้ม ที่โรงเรียน Make-up Designory ในเมือง Burbank รัฐ California ใครสนใจรายละเอียดโรงเรียน ครูจะเล่าให้ฟังในโอกาสต่อไปนะคะ

เรียน Full-time ค่ะ คือเรียนจันทร์ ถึงศุกร์ 9 โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็น เป็นเวลา 6 เดือน
ค่ะ...เรียนแต่งหน้า 6 เดือนเต็มๆค่ะ อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ อเมริกาเค้าเป็นแบบนี้ คือเรียนอะไรก็เรียนจริงจังไปเลย ลงลึก ฝึกหัดจนเป็นจนคล่องเพื่อให้งานที่ทำออกมามีคุณภาพสูงสุดค่ะ นี่คือเหตุผลที่บอกว่าทำไมต้องมีเงินเก็บ คือนอกจากต้องจ่ายค่าเรียนและค่าอุปกรณ์ในราคาเหยียบล้านแล้ว ยังไม่มีเวลาเหลือให้ไปทำงานอีกด้วย คือกลับไปเป็นเด็กนักเรียนเต็มตัวเลยค่ะ ค่าใช้จ่ายระหว่างที่เรียนทั้งค่าเช่าบ้าน ค่ากิน ค่าอยู่ จิปาถะ เลยอยากบอกว่าถ้าจะลาออกจากงานมาทำแบบนี้เต็มตัว การเงินต้องค่อนข้างพร้อมค่ะ ถ้ายังไม่พร้อม อย่าทำแบบนี้ค่ะ มองหาคลาสเรียนภาคค่ำ หรือเสาร์อาทิตย์จะเวิร์คกว่าค่ะ

หลังจาก 1 เดือนครึ่ง ก็เรียนจบคลาสแรกค่ะ คือการแต่งหน้าแนวสวยงาม ในตอนนั้นถ้ามีงานแต่งหน้าแบบbeauty เข้ามานี่แต่งได้หมด พอจบคลาสนี่ปั๊บ ครูก้เริ่มหางานเลยค่ะ 90% ของงานที่ทำเป็นงานฟรีทั้งหมดค่ะ เพราะเรายังถือว่าอ่อนหัดมากๆสำหรับวงการแต่งหน้า บางทีไปเป็นผู้ช่วยเค้าบ้าง ไปทำงานฟรีบ้าง เพื่อฝึกฝน และเสริมสร้างประสบการณ์ทำงาน สิ่งที่ได้รับก็คือเราได้พัฒนาฝีมือการแต่งหน้า เรียนรู้วิธีการทำงานร่วมกับผู้อื่น เรียนรู้ความสำคัญของการตรงต่อเวลา เรียนรู้หลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่เราไม่สามารถหาได้ในห้องเรียน ถ้าเป็นหนังจีนก็คงประมาณลงจากเขาไปฝึกวิทยายุทธ์หน่ะค่ะ

ที่ออกไปทำงาน ไม่ใช่ว่าหยุดเรียนไปทำนะคะ เรียนวันจันทร์ ถึงวันศุกร์ ทำงานวันเสาร์อาทิตย์ค่ะ คือเรียกได้ว่าไม่มีวันหยุดเลย ประโยชน์ที่ได้จากการเริ่มทำงานตั้งแต่จบคลาสแรกคือ เรียนจบออกมาปุ๊บก็มีงานทำปั๊บเลยค่ะ ทำไมนะเหรอ ก็ทั้ง portfolio ทั้ง resume แน่นเอี๊ยดขนาดนั้น แถมสร้าง connection ไว้เพียบ ทำไว้ดีค่ะ คือถึงแม้จะเป็นงานฟรีไม่ได้ตังค์ แต่เราก็ตั้งใจทำอย่างเต็มที่ ขยัน อดทน ตรงเวลา คราวนี้หล่ะ ใครมีงานอะไรก็เรียกใช้บริการ เริ่มกลับมามีรายได้อีกครั้ง หลังจากหยุดทำงานไป 6 เดือนเต็มๆ

วันนี้เอาแค่นี้ก่อนนะคะ เดี๋ยววันหลังมาเล่าต่อค่ะ

อยากบอกน้องๆว่าความสำเร็จมันไม่ได้ได้มาง่ายๆนะคะ ไม่มีใครเก่งได้ใน 3 วัน 5 วันหรอกค่ะ
ความสำเร็จต้องอาศัยการฝึกฝน เรียนรู้ ความขยัน ความพยายาม
ใครที่ยังทำไม่ได้ในวันนี้อย่าไปท้อนะคะ ทุกอย่างมันต้องใช้เวลาค่ะ


ป.ล. เรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงกับผู้เขียน ความคิดเห็นที่เขียนเป็นความคิดเห็นส่วนตัว หากละเมิดผู้ใดหรือทำให้ผู้ใดไม่พอใจ ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่