ผมเชื่อว่าผมคงเป็นคนๆนึงที่มีความฝันร่วมกับอีกหลายๆท่านถึงการที่จะได้ขี่มอไซค์ท่องเที่ยว อยากจะขี่ขึ้นเหนือสัมผัสลมเย็นๆ เล่นโค้งสวยๆ กินอาหารอร่อยๆ ค่ำไหนนอนนั่น แหม่ะ แค่ฟังก็ฟินแล้วใช่มั้ยครับ
ปัญหามีอยู่ว่า
1) ถ้าเราเป็นคนที่ไม่ได้ขี่มอไซค์ในชีวิตประจำวัน แค่คิดว่าจะขี่ทางไกลก็แอบหวั่นใจแล้วใช่มั้ยครับว่าจะเจออะไรบ้าง ข่าวบิ๊กไบค์ประสบอุบัติเหตุงี้ เพื่อนเล่ามาว่าเพื่อนของเพื่อน(บางทีเพื่อนของเพื่อนของเพื่อน)ประสบอุบัติงี้ ฟังแค่นี้ก็แอบท้อซะแล้ว
2) มีคนเตือนว่าถ้าไม่ได้ขี่รถมอไซค์บ่อยๆเอาไม่อยู่หรอก ต้องข้อแข็งงี้ ต้องหัดขี่แต่เด็กงี้
3) พอตัดใจจะเอาจริงๆ อันนี้เก้าในสิบเลยครับว่าที่บ้านไม่ยอม ประโยคที่เจอบ่อยเลยก็นี่ (โดยเฉพาะจากคุณแม่ที่รัก) - ซื้อทำไมมอไซค์เนื้อหุ้มเหล็ก (หนึ่งดอก) มีรถขี่ดีไม่ชอบรึไงจะไปขี่มอไซให้ลำบาก (สองดอก) ถ้าซื้อกลับมาจะเอาไปทิ้ง (สามดอก)
4) สมมติตัดใจซื้อมาแล้วและเป็นคนที่ตรงตามข้อ1 จะเจอเหตุการณ์ประมาณว่าจะหัดขับเองก็กลัว จะเอาออกไปไหนก็ไม่กล้า คราวนี้โดนที่บ้านว่าอีกว่า"บอกแล้ววววว"ซื้อมาทำม้ายยยย กว่าจะได้เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง1000กิโลแรกก็ร่วมปี
ยินดีที่จะบอกให้ทราบครับว่าผมเคยเจอเหตุการณ์เหล่านั้นมาหมดแล้ว (ยกเว้นข้อ4) ปัจจุบันที่บ้านมีความเข้าใจมากขึ้นกับกิจกรรมขี่รถท่องเที่ยวอันนี้
เรื่องมันเริ่มมาจากการค้นหาข้อมูลทางเน็ตของผมว่าถ้าเราจะเริ่มขี่บิ๊กไบค์แต่ไม่มีประสบการในการขี่รถในชีวิตประจำวันเลย เราควรจะเริ่มต้นยังไงระหว่าง 1) ซื้อรถใหญ่มาเลยแล้วมาหัดขับระวังๆเอา กับ 2) ซื้อรถเล็กก่อน พอหัดขับจนคล่องแล้วค่อยขยับเอา
ข้อมูลจากต่างประเทศจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าไบค์เกอร์ทุกคนควรเริ่มจากรถขนาดเล็กก่อนแล้วค่อยขยับไซส์ขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นบางประเทศยังมีข้อบังคับเรื่องใบขับขี่กับขนาดซีซีที่ต้องสอบเลื่อนขั้นขึ้นไปเป็นลำดับ เช่นไลเซนส์คลาสซีสำหรับรถ50-250ซีซี บีสำหรับ 250จนถึง400 และเอคือมากกว่า400ขึ้นไป แสดงว่าทักษะหรือความสามารถที่จำเป็นในรถแต่ละขนาดไม่เหมือนกัน อีกเหตุผลนึงก็คือรถมอไซค์คันแรกไม่ว่าจะระวังดีแค่นั้นก็จะต้องมีการล้ม ไม่ล้มแปะก็ล้มตอนฝึก ล้มตอนเข็นรถ ล้มตอนขึ้นรถ ประหนึ่งว่าถูกออกแบบมาเพื่อล้มทีเดียว
แต่เอาหละครับ ผมมันไม่ค่อยชอบเชื่อฝรั่งมังค่าเลยลองหาข้อมูลต่อในภาษาไทย ก็ปรากฎว่ามีคุณหมอท่านนึงที่ใช้ชื่อทางเน็ตว่า SweetSyrup สร้างบล็อกของตัวเองเกี่ยวกับการท่องเที่ยวทางมอไซค์โดยคุณหมอเธอเริ่มจากรถเล็ก 250ซีซีตะลอนไปทั่วประเทศจนปัจจุบันใช้ตัวพันแล้ว (เอ่อ ผมไม่รู้จักคุณหมอเป็การส่วนตัวนะครับ แต่ต้องยอมรับโดยดีว่าตามstalkบล็อกเธอมานาน ถือเป็นไอดอลของผมเลยทีเดียว) คุณหมอเองก็เลือกที่จะเริ่มจากรถเล็กก่อนที่จะก้าวไปรถใหญ่
อีกเหตุผลนึงที่ผมคิดว่าควรเริ่มจากรถเล็กก่อนก็คือในกรณีที่ค้นพบว่าการขี่มอไซค์มัน"ไม่ใช่"หรือว่ามัน"ใช่แน่ๆ"จนอยากจะอัพเกรด การขายต่อจะเกิดขึ้นไวและไม่เจ็บตัวมากนัก (อย่าไปแต่งเยอะนะครับ) เมื่อตกผลึกถึงขั้นนี่แล้วผมก็เดินตามรอยไอดอลผมโดยการออกรถคันแรกคือ Dtracker 250 เมื่อต้นปี 2554
สำหรับรถคันแรกนี้หน้าที่หลักๆของเค้าหรือเป็นรถฝึกหัด ผมจึงเลือกรถที่ค่อนข้างเบา ขี่ง่าย ถ้าล้มก็ยกง่าย พอได้รถมาไม่นานก็เอาไปลงเรียนกับทางกลุ่ม Stormclub ที่สนามพีระ (นี่คือเหตุการณ์ในปี 2554 นะครับ)
อาจารย์ทุกท่านสอนดีมากเลยพอจะขี่ได้แบบนี้
หลังจากฝึกกับทางสตอร์มไปสองคอร์สคือ basic กับ intermediate ผมก็ไปลงเรียนกับทาง AP Honda ที่สำโรงในคอร์สทำใบขับขี่ซึ่งผมคิดว่าเป็นคอร์สเบสิคที่ดีมากจนอยากจะแนะนำให้คนที่อยากขี่มอไซค์ไปเรียนทุกคนเลยทีเดียว แต่พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกช่วงนั้นผมไม่มีเวลาขี่dtrackerก็เลยต้องขายไป สรุปรถคันแรกนี้มีเพื่อการหัดขับอย่างเดียวจากที่คาดหวังว่าจะทันออกทริปกับคนอื่นเค้าไกลสุดคือขี่ไปสนามพีระนั่นหละครับ
ระหว่างที่เวลาผ่านพ้นไปโดยที่ยังไม่ได้ทำความฝันให้เป็นจริงคือการขี่มอไซค์ท่องเที่ยว ผมก็ทำการบ้านหาข้อมูลเรื่องรถคันใหม่ประหนึ่งขุนพลเฟ้นหาหมาคู่ค้า เอ๊ย ม้าคู่ขายังไงยังงั้น บีเอ็มก็อืมมมมมดีแต่แพง เคทีเอ็มก็อูยยยยแพง ดูคาติก็อูยแพงงงง คาวาเวอร์ซี๊ดดีมั้ยน้าราคากะลังน่าคบหา (ผมสายทัวร์ริ่งนะครับ หรือจะติดใจจากdtrackerก็ไม่แน่ใจ) จนกระทั่งดูคาติได้โอกาสปล่อยของแรงมากระชากใจชายไทยไร้พันธะอย่างผม คือเจ้าตัวนี้
นี่มัน hypermotard ที่มี ชีลด์ๆๆๆ (เอคโค่) แถมมีกระเป๋าข้างมาให้ด้วย อะไรมันจะครบสูตรการท่องเที่ยวขนาดเน้!! ว่าแล้วก็รวบรรวมทุนทรัพย์กลืนเลือดไปจัดการเธอมาซะ แต่ก่อนที่จะซื้อมาผมก็ได้ไปลงเรียน basic big bike กับทาง AP Honda อีกหนึ่งคอร์สเพื่อที่เป็นการรื้อฟื้นทักษะอันน้อยนิดให้กลับคืนมาอีกครั้ง หลังจากที่ได้รถมาแล้ว (ให้รถเซอร์วิสมาส่งด้วย ไม่กล้าขับครับ) ก็ไปลงเรียน basic dre ของทางดูคาติเองอีกหนึ่งคอร์ส
เขียนมาทั้งหมดนี่ยังไม่ได้ออกทริปเลยนะครับ ตั้งแต่เริ่มมี dtracker จนถึงน้องดาด้า (hyperstrada) ก็ร่วมสองปีกว่า สิริรวมลงเรียนไปทั้งหมด 5 คอร์ส (สองคอร์สจากสตอร์ม สองคอร์สจากฮอนด้า อีกหนึ่งคอร์สจากดูคาติ) มีรถดี คนพร้อมแล้วก็ถึงเวลาทำตามฝันซะทีก็คือการออกทริปปปป!
ประจวบเหมาะกับช่วงปลายเดือนพค 2557ที่ผ่านมาผมมีเวลาว่างของตัวเองถึงหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ ทำให้การจัดทริปสามารถทำได้แบบไม่ต้องเกรงใจหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆทั้งนั้นเพราะไปคนเดียว โดยผมตั้งเป้าไว้ว่าจะขับขึ้นเหนือโดยวิ่งไปพักที่แรกคือเขื่อนภูมิพล คืนสองแม่สะเรียง คืนสามบ้านรักไทย คืนสี่ภูหลวงเชียงดาว คืนที่ห้าบ้านแม่กำปอง คืนที่หกที่ไหนซักที่ในพิษณุโลก พักทุกระยะ 200 กิโลและภายในหนึ่งวันขับไม่เกิน 500 กิโลจนได้ภาพบางส่วนนี้มาครับ
เขื่อนภูมิพล
สวนสนบ่อแก้วระหว่างทางไปแม่สะเรียง
แม่สะเรียง
ปางอุ๋งในวันเงียบเหงา
บ้านรักไทย
ดอยกิ่วลม (แม่ฮ่องสอนวิ่งไปเชียงใหม่)
ระเบียงดาว ณ ภูหลวงเชียงดาว เป็นที่ๆใกล้ขุนเขาและธรรมชาติสุดๆจริงๆครับ
โครงการหลวงตีนตก บ้านแม่กำปอง ห้องพักดูดีมากๆในราคาแค่พันห้าร้อยบาทครับ เมืองไทยนี่มีที่เที่ยวดีๆอีกเยอะจริงๆ
ร้านกาแฟชมนกชมไม้ บ้านแม่กำปอง ทางขับขึ้นไปโค้งแคบ พับ หัก ชัน มันพะย่ะค่ะ
จนวิ่งกลับมาถึงบ้าน (ปรับโหมด urban ตอนวิ่งในเมืองนะครับ)
มาถึงจุดจบของมหากาพย์ของผมแล้วครับ 2449 กิโลที่ขี่ไปนี่จะเป็นประสบการณ์และความสุขที่ผมจะจำไปตลอดแต่อะไรก็ไม่สำคัญกับว่าผมสามารถทำตามความฝันของตัวเองได้ซะที การขี่มอไซค์โดยเนื้อแท้มีความอันตรายอยู่ในตัวเองแต่ชีวิตคนๆนึงถ้าจะไม่ทำตามฝันของตัวเองเลยก็ดูจะเป็นเรื่องน่าเสียดายไม่น้อย ที่สำคัญขอให้ทำอย่างมีสตินึกเสมอว่ามีคนที่เป็นห่วงเรามากๆรออยู่ข้างหลังตอนเราออกไปขี่รถสนุกสนาน ส่วนตัวผมเองก็ยังคงคิดว่าตัวเองเป็นมือใหม่จะคงจะใหม่ไปตลอดเพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ประมาท ที่เขียนมาก็ถือว่าเป็นมุมมองจากมือใหม่ถึงเพื่อนๆมือใหม่หรือว่าที่มือใหม่ทุกคนครับ
หวังว่าจะทำให้คนที่อยากขี่มอไซค์ท่องเที่ยวตัดสินใจได้นะครับ ^_^
มหากาพย์:การเตรียมตัวอันยาวนานเพื่อการขี่มอไซค์ท่องเที่ยวคนเดียว
ปัญหามีอยู่ว่า
1) ถ้าเราเป็นคนที่ไม่ได้ขี่มอไซค์ในชีวิตประจำวัน แค่คิดว่าจะขี่ทางไกลก็แอบหวั่นใจแล้วใช่มั้ยครับว่าจะเจออะไรบ้าง ข่าวบิ๊กไบค์ประสบอุบัติเหตุงี้ เพื่อนเล่ามาว่าเพื่อนของเพื่อน(บางทีเพื่อนของเพื่อนของเพื่อน)ประสบอุบัติงี้ ฟังแค่นี้ก็แอบท้อซะแล้ว
2) มีคนเตือนว่าถ้าไม่ได้ขี่รถมอไซค์บ่อยๆเอาไม่อยู่หรอก ต้องข้อแข็งงี้ ต้องหัดขี่แต่เด็กงี้
3) พอตัดใจจะเอาจริงๆ อันนี้เก้าในสิบเลยครับว่าที่บ้านไม่ยอม ประโยคที่เจอบ่อยเลยก็นี่ (โดยเฉพาะจากคุณแม่ที่รัก) - ซื้อทำไมมอไซค์เนื้อหุ้มเหล็ก (หนึ่งดอก) มีรถขี่ดีไม่ชอบรึไงจะไปขี่มอไซให้ลำบาก (สองดอก) ถ้าซื้อกลับมาจะเอาไปทิ้ง (สามดอก)
4) สมมติตัดใจซื้อมาแล้วและเป็นคนที่ตรงตามข้อ1 จะเจอเหตุการณ์ประมาณว่าจะหัดขับเองก็กลัว จะเอาออกไปไหนก็ไม่กล้า คราวนี้โดนที่บ้านว่าอีกว่า"บอกแล้ววววว"ซื้อมาทำม้ายยยย กว่าจะได้เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง1000กิโลแรกก็ร่วมปี
ยินดีที่จะบอกให้ทราบครับว่าผมเคยเจอเหตุการณ์เหล่านั้นมาหมดแล้ว (ยกเว้นข้อ4) ปัจจุบันที่บ้านมีความเข้าใจมากขึ้นกับกิจกรรมขี่รถท่องเที่ยวอันนี้
เรื่องมันเริ่มมาจากการค้นหาข้อมูลทางเน็ตของผมว่าถ้าเราจะเริ่มขี่บิ๊กไบค์แต่ไม่มีประสบการในการขี่รถในชีวิตประจำวันเลย เราควรจะเริ่มต้นยังไงระหว่าง 1) ซื้อรถใหญ่มาเลยแล้วมาหัดขับระวังๆเอา กับ 2) ซื้อรถเล็กก่อน พอหัดขับจนคล่องแล้วค่อยขยับเอา
ข้อมูลจากต่างประเทศจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าไบค์เกอร์ทุกคนควรเริ่มจากรถขนาดเล็กก่อนแล้วค่อยขยับไซส์ขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นบางประเทศยังมีข้อบังคับเรื่องใบขับขี่กับขนาดซีซีที่ต้องสอบเลื่อนขั้นขึ้นไปเป็นลำดับ เช่นไลเซนส์คลาสซีสำหรับรถ50-250ซีซี บีสำหรับ 250จนถึง400 และเอคือมากกว่า400ขึ้นไป แสดงว่าทักษะหรือความสามารถที่จำเป็นในรถแต่ละขนาดไม่เหมือนกัน อีกเหตุผลนึงก็คือรถมอไซค์คันแรกไม่ว่าจะระวังดีแค่นั้นก็จะต้องมีการล้ม ไม่ล้มแปะก็ล้มตอนฝึก ล้มตอนเข็นรถ ล้มตอนขึ้นรถ ประหนึ่งว่าถูกออกแบบมาเพื่อล้มทีเดียว
แต่เอาหละครับ ผมมันไม่ค่อยชอบเชื่อฝรั่งมังค่าเลยลองหาข้อมูลต่อในภาษาไทย ก็ปรากฎว่ามีคุณหมอท่านนึงที่ใช้ชื่อทางเน็ตว่า SweetSyrup สร้างบล็อกของตัวเองเกี่ยวกับการท่องเที่ยวทางมอไซค์โดยคุณหมอเธอเริ่มจากรถเล็ก 250ซีซีตะลอนไปทั่วประเทศจนปัจจุบันใช้ตัวพันแล้ว (เอ่อ ผมไม่รู้จักคุณหมอเป็การส่วนตัวนะครับ แต่ต้องยอมรับโดยดีว่าตามstalkบล็อกเธอมานาน ถือเป็นไอดอลของผมเลยทีเดียว) คุณหมอเองก็เลือกที่จะเริ่มจากรถเล็กก่อนที่จะก้าวไปรถใหญ่
อีกเหตุผลนึงที่ผมคิดว่าควรเริ่มจากรถเล็กก่อนก็คือในกรณีที่ค้นพบว่าการขี่มอไซค์มัน"ไม่ใช่"หรือว่ามัน"ใช่แน่ๆ"จนอยากจะอัพเกรด การขายต่อจะเกิดขึ้นไวและไม่เจ็บตัวมากนัก (อย่าไปแต่งเยอะนะครับ) เมื่อตกผลึกถึงขั้นนี่แล้วผมก็เดินตามรอยไอดอลผมโดยการออกรถคันแรกคือ Dtracker 250 เมื่อต้นปี 2554
สำหรับรถคันแรกนี้หน้าที่หลักๆของเค้าหรือเป็นรถฝึกหัด ผมจึงเลือกรถที่ค่อนข้างเบา ขี่ง่าย ถ้าล้มก็ยกง่าย พอได้รถมาไม่นานก็เอาไปลงเรียนกับทางกลุ่ม Stormclub ที่สนามพีระ (นี่คือเหตุการณ์ในปี 2554 นะครับ)
อาจารย์ทุกท่านสอนดีมากเลยพอจะขี่ได้แบบนี้
หลังจากฝึกกับทางสตอร์มไปสองคอร์สคือ basic กับ intermediate ผมก็ไปลงเรียนกับทาง AP Honda ที่สำโรงในคอร์สทำใบขับขี่ซึ่งผมคิดว่าเป็นคอร์สเบสิคที่ดีมากจนอยากจะแนะนำให้คนที่อยากขี่มอไซค์ไปเรียนทุกคนเลยทีเดียว แต่พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกช่วงนั้นผมไม่มีเวลาขี่dtrackerก็เลยต้องขายไป สรุปรถคันแรกนี้มีเพื่อการหัดขับอย่างเดียวจากที่คาดหวังว่าจะทันออกทริปกับคนอื่นเค้าไกลสุดคือขี่ไปสนามพีระนั่นหละครับ
ระหว่างที่เวลาผ่านพ้นไปโดยที่ยังไม่ได้ทำความฝันให้เป็นจริงคือการขี่มอไซค์ท่องเที่ยว ผมก็ทำการบ้านหาข้อมูลเรื่องรถคันใหม่ประหนึ่งขุนพลเฟ้นหาหมาคู่ค้า เอ๊ย ม้าคู่ขายังไงยังงั้น บีเอ็มก็อืมมมมมดีแต่แพง เคทีเอ็มก็อูยยยยแพง ดูคาติก็อูยแพงงงง คาวาเวอร์ซี๊ดดีมั้ยน้าราคากะลังน่าคบหา (ผมสายทัวร์ริ่งนะครับ หรือจะติดใจจากdtrackerก็ไม่แน่ใจ) จนกระทั่งดูคาติได้โอกาสปล่อยของแรงมากระชากใจชายไทยไร้พันธะอย่างผม คือเจ้าตัวนี้
นี่มัน hypermotard ที่มี ชีลด์ๆๆๆ (เอคโค่) แถมมีกระเป๋าข้างมาให้ด้วย อะไรมันจะครบสูตรการท่องเที่ยวขนาดเน้!! ว่าแล้วก็รวบรรวมทุนทรัพย์กลืนเลือดไปจัดการเธอมาซะ แต่ก่อนที่จะซื้อมาผมก็ได้ไปลงเรียน basic big bike กับทาง AP Honda อีกหนึ่งคอร์สเพื่อที่เป็นการรื้อฟื้นทักษะอันน้อยนิดให้กลับคืนมาอีกครั้ง หลังจากที่ได้รถมาแล้ว (ให้รถเซอร์วิสมาส่งด้วย ไม่กล้าขับครับ) ก็ไปลงเรียน basic dre ของทางดูคาติเองอีกหนึ่งคอร์ส
เขียนมาทั้งหมดนี่ยังไม่ได้ออกทริปเลยนะครับ ตั้งแต่เริ่มมี dtracker จนถึงน้องดาด้า (hyperstrada) ก็ร่วมสองปีกว่า สิริรวมลงเรียนไปทั้งหมด 5 คอร์ส (สองคอร์สจากสตอร์ม สองคอร์สจากฮอนด้า อีกหนึ่งคอร์สจากดูคาติ) มีรถดี คนพร้อมแล้วก็ถึงเวลาทำตามฝันซะทีก็คือการออกทริปปปป!
ประจวบเหมาะกับช่วงปลายเดือนพค 2557ที่ผ่านมาผมมีเวลาว่างของตัวเองถึงหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ ทำให้การจัดทริปสามารถทำได้แบบไม่ต้องเกรงใจหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆทั้งนั้นเพราะไปคนเดียว โดยผมตั้งเป้าไว้ว่าจะขับขึ้นเหนือโดยวิ่งไปพักที่แรกคือเขื่อนภูมิพล คืนสองแม่สะเรียง คืนสามบ้านรักไทย คืนสี่ภูหลวงเชียงดาว คืนที่ห้าบ้านแม่กำปอง คืนที่หกที่ไหนซักที่ในพิษณุโลก พักทุกระยะ 200 กิโลและภายในหนึ่งวันขับไม่เกิน 500 กิโลจนได้ภาพบางส่วนนี้มาครับ
เขื่อนภูมิพล
สวนสนบ่อแก้วระหว่างทางไปแม่สะเรียง
แม่สะเรียง
ปางอุ๋งในวันเงียบเหงา
บ้านรักไทย
ดอยกิ่วลม (แม่ฮ่องสอนวิ่งไปเชียงใหม่)
ระเบียงดาว ณ ภูหลวงเชียงดาว เป็นที่ๆใกล้ขุนเขาและธรรมชาติสุดๆจริงๆครับ
โครงการหลวงตีนตก บ้านแม่กำปอง ห้องพักดูดีมากๆในราคาแค่พันห้าร้อยบาทครับ เมืองไทยนี่มีที่เที่ยวดีๆอีกเยอะจริงๆ
ร้านกาแฟชมนกชมไม้ บ้านแม่กำปอง ทางขับขึ้นไปโค้งแคบ พับ หัก ชัน มันพะย่ะค่ะ
จนวิ่งกลับมาถึงบ้าน (ปรับโหมด urban ตอนวิ่งในเมืองนะครับ)
มาถึงจุดจบของมหากาพย์ของผมแล้วครับ 2449 กิโลที่ขี่ไปนี่จะเป็นประสบการณ์และความสุขที่ผมจะจำไปตลอดแต่อะไรก็ไม่สำคัญกับว่าผมสามารถทำตามความฝันของตัวเองได้ซะที การขี่มอไซค์โดยเนื้อแท้มีความอันตรายอยู่ในตัวเองแต่ชีวิตคนๆนึงถ้าจะไม่ทำตามฝันของตัวเองเลยก็ดูจะเป็นเรื่องน่าเสียดายไม่น้อย ที่สำคัญขอให้ทำอย่างมีสตินึกเสมอว่ามีคนที่เป็นห่วงเรามากๆรออยู่ข้างหลังตอนเราออกไปขี่รถสนุกสนาน ส่วนตัวผมเองก็ยังคงคิดว่าตัวเองเป็นมือใหม่จะคงจะใหม่ไปตลอดเพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ประมาท ที่เขียนมาก็ถือว่าเป็นมุมมองจากมือใหม่ถึงเพื่อนๆมือใหม่หรือว่าที่มือใหม่ทุกคนครับ
หวังว่าจะทำให้คนที่อยากขี่มอไซค์ท่องเที่ยวตัดสินใจได้นะครับ ^_^