มีลูกกับสามีที่จดทะเบียนสมรส ลูกเพศชาย ปัจจุบันอายุ7เดือนยังไม่หย่านมแม่ สามีไม่มีอาชีพ อยู่บ้านเลี้ยงลูก เราทำงานประจำ รับผิดชอบรายจ่ายทั้งหมดมานานเป็นปี แม่สามีมีฐานะการเงินดีจึงช่วยเงินมาบ้างตามสมควร แต่ไม่ได้ให้เป็นประจำทั้งๆที่เขาก็ทำได้เพื่อช่วยเหลือ พ่อแม่แฟนต้องการมีหลานเพราะเป็นหลานเพียงคนเดียวและพยายามโน้มน้าวให้กลับบ้านโคราชทุกครั้งที่มีหยุดยาวแต่เราเป็นคนขับรถเองเพราะสามีขับรถไม่เก่งจึงปฏิเสธการกลับในบางครั้งที่เหนื่อยล้าอยากพักผ่อน สามีเองเป็นคนขี้น้อยใจเอะอะก็ชอบหนีหายจากบ้านมาตั้งแต่เราตั้งท้องครั้งละ1-3วันหลายครั้ง แต่พอคลอดก็ยังทำพฤติกรรมเดิมแต่เอาลูกไปด้วย ตอนลูกอายุ6เดือนและ7เดือนโดยไม่บอกเราว่าไปไหน พอตามข่าวจนรู้เขาพาไปบ้านโคราชโดยฝ่ายปู่ย่าเป็นคนยุยงให้เอาไปโดยไม่ให้บอกเราเราเป็นห่วงแจ้งจส.100คนหาย ลงบันทึกประจำวัน 2ครั้ง (15 ก.ค.,8 ส.ค.)ด้วยความทุกข์ทรมานใจกินและนอนไม่ได้ ที่ผ่านมาสามีเคยใช้ความรุนแรง เคยขู่เรื่องพาลูกหนี ด่าว่าแม่ยาย และปล่อยลูกร้องไห้(เลี้ยงเด็กไม่ค่อยเป็น)และมีความคิดที่แปลกแยกกว่าคนทั่วไป เช่น ชอบยกกระถางต้นไม้ไปตากแดดทุกวัน และปลูกรุกล้ำไปบนถนนสาธารณะอย่างไม่เกรงใจใคร เราเตือนหรือพูดโน้มน้าวอะไรเขาก็ไม่ฟัง ถือว่าค่อนข้างมีปัญหาเรื่องความเข้าใจอันดี(การสื่อสาร)อยู่แล้ว ยิ่งมีลูกอ่อน การบอกวิธีการเลี้ยงดูที่ถูกต้องยิ่งพูดยาก เช่นพาอุ้มนอกบ้านตากน้ำค้างตอนมืดๆเราจึงสงสารลูกหลายเรื่อง ตลอดเวลาที่ทำงานก็หวาดระแวงว่าเขาจะพาลูกหนีไปอีกแบบไม่มีเหตุผล
1.มูลฟ้องหย่าเพียงพอหรือไม่
2.สิทธิการเลี้ยงดูบุตรจะเป็นของเราหรือไม่
3.กังวลเรื่องความปลอดภัย เพราะพ่อเขาไม่ทำงานมีเวลาว่างมาตามรังควานหรือสะกดรอยจากที่ทำงานไปที่พักได้ (อยู่บ้านเช่า) ตามกฎหมายเราให้ตำรวจคุ้มครองความปลอดภัยโดยไม่ให้พ่อเขาเข้ามาพบได้หรือไม่(ป้องกันการแย่งชิงไปอีก)
4.ดิฉันไม่ต้องการไกล่เกลี่ย เพราะย่าเขาอาจรับปากว่าถ้าเอาไปเลี้ยงจะทำตามมาตรฐานการเลี้ยงเด็ก แต่ในทางปฏิบัติอาจไม่ทำอีก
เรามีลูกติด(คนโตอายุ16)
รบกวนช่วยด้วยนะคะกำลังเดือดร้อนมาก กลัวเขาไม่ยอมหย่าและหันมาทำร้ายลูกคนโตหรือพาลูกคนเล็กหนีไปอีก และเราอาจต้องตกงานค่ะ
การเอาลูกหนีไปครั้งล่าสุดนี้ลูกป่วยเป็นไข้หวัดด้วย และทางบ้านย่าก็เลี้ยงดูแบบมีความเชื่อผิดๆเช่นเอาแป้งลูบหน้า จมูกเด็ก หัวเด็ก หลังอาบน้ำ ผูกเปลทำหล่นหัวกระแทกพื้น ป้อนน้ำหวาน เคี้ยวอาหารแล้วคายป้อน เลี้ยงหมาเอาไปนอนบนที่นอนด้วยแล้วขนหมาเข้าจมูกเด็กกำลังคลาน ฯลฯ
สามีต้องการรับสมบัติ โดยใช้ลูกเป็นสื่อกลาง ส่วนย่าอยากได้หลานไปเลี้ยงเอง (อ้างว่ารักและคิดถึงต่างๆนานา) ตอนคลอดทุลักทุเลมาก ย่ารับปากจะจ่ายค่าคลอดให้ ทำเหมือนไม่พอใจที่เป็นเด็กผู้ชาย(เขาอยากได้ผู้หญิง) พอคลอดกลับมาอยู่บ้านเขามาเยี่ยมในช่วงเดือนมกราปี 57 อากาศเย็นจับหลานอาบน้ำเย็น(ไม่ต้มน้ำให้อาบ) ที่จริงย่าอยากเอาหลานไปตั้งแต่แรกเกิด จึงมีการดึงให้เราไปคลอดที่โคราช แต่เราห่วงเรื่องการเลี้ยงดูจึงไม่กล้าให้ไป คือ ย่าเขาต้องกินยานอนหลับทุกคืนจึงจะสามารถนอนได้และมีการหลับลึกถ้าเขาเอาไปเลี้ยงเองช่วงเด็กวัยนี้อาจจะป่วยบ่อย หากเป็นไข้สูงอาจชักได้(นอนหลับลึกเหมือนหลับเป็นตาย) เราว่าเขาไม่ควรเลี้ยง แต่สามีพยายามเกลี้ยกล่อมให้เอาไปไว้โคราชให้ได้เพื่อตามใจแม่ตนเองแม่เขามีเงิน มีที่ดินพอสมควรค่ะ
ส่วนยาย(แม่ของดิฉันเอง) เป็นคนหัวสมัยใหม่ฟังและปฏิบัติตามคำแนะนำการเลี้ยงเด็กที่ดิฉันแนะนำเต็มความสามารถ และเข้าใจถึงหัวอกดิฉันอย่างดี แต่ก็โกรธและเกลียดการกระทำของสามี รวมทั้งการไร้ซึ่งความสามารถในการทำงานหาเงินเลี้ยงดูดิฉัน โดยทำให้ดิฉันไม่สามารถส่งเสียเงินไปให้กับแม่ได้อีกเพราะต้องใช้เงินเดือนชนเดือน รวมทั้งสามีเอาหมาที่เคยเลี้ยงได้สองตัว (เพราะไม่มีที่เลี้ยง) ไปฝากไว้ให้แม่ดิฉันเลี้ยงเป็นเวลา 2 ปีแล้ว ไม่เคยส่งเงินค่าอาหารให้แม่เลยจนถึงปัจจุบัน
ที่บ้านที่เลี้ยงลูกอยู่ตอนนี้ก็มีหมา 1 ตัว แมวอีก 1 ตัว (ในอดีตแฟนเคยพักอยู่หอแล้วแอบเลี้ยงหมาแมวเป็นสิบตัว จนเจ้าของหอจับได้ พอคบกับดิฉันจึงช่วยรับแบ่งเบาให้เขา หมาตัวอื่นก็แจกจ่ายให้คนอื่นนำไปเลี้ยง) เห็นไหมคะว่าเขาเป็นคนแปลกแค่ไหน แต่ดิฉันคิดว่าถ้าคบหากันแล้วเขาอาจปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแปลกๆนี้ได้ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดของดิฉันเอง
ที่เขากลับไปคราวนี้ได้ติดตามโทรถามหาว่าไปที่ไหน เขายอมรับว่าที่ต้องพาไปเพราะรู้ว่าดิฉันไม่ยอมขับรถพาไปแน่นอน และการกลับไปแต่ละครั้งแม่เขาจะให้เงินติดตัวกลับมาด้วยเสมอ และย่าเองก็คิดถึงหลาน ช่วงที่อยู่โคราชเขาได้พยายามพาลูกไปห้างกับย่าเพื่อหลอกล่อให้ซื้อนมผง แพมเพิร์ส ฯลฯ ให้ ส่วนเรากำลังแสดงความรู้สึกว่าเหงา คิดถึง ทั้งเขาและลูก อยากให้รีบกลับมาอยากอยู่ด้วยตามประสาครอบครัว แต่เขาบอกว่าเราไม่ได้มีลูกคนเดียว ให้เอาลูกคนโตมาสั่งสอนบ้าง ให้รดน้ำต้นไม้ให้ด้วย ให้ล้างรถดูดฝุ่น ทำนู่นนี่ซะจะได้ลืม เขาเพียงแค่พาลูกมาเที่ยวจะกลับในอีก 2 วันข้างหน้า
เราได้แต่ปั๊มนมแช่ตู้เย็นไว้รอลูก รวมรวมสติ ถ่ายภาพหลักฐานต่างๆ ไว้ เช่นพวกต้นไม้ที่รุกล้ำไปที่ถนนส่วนกลาง หยุดยาววันแม่ปี 57 ช่วงวันที่ 9-12 สิงหานี้ (เรามาทำงานวันที่ 11 เพราะเป็นเอกชนไม่ได้หยุดต่อเนื่อง) เราไม่มีความสุขเลยสักนิด ร้องไห้ ใจสั่น กินและนอนไม่ได้ ซึ่งเย็นวันศุกร์เรารีบขับรถกลับบ้าน คาดหวังว่าจะกลับมาดูแลลูกที่กำลังไม่สบาย และจะได้ไปเที่ยวด้วยกันในช่วงเทศกาลวันแม่กับครอบครัวเล็กๆของเรา แต่กลับได้รับ sms ว่า"ไม่ต้องห่วงพาไปเที่ยวเดี๋ยวกลับ" แล้วเขาก็ปิดโทรศัพท์ไป ระหว่างนั้นเขาพาลูกผ่าฝนตกขึ้นรถสองแถว ต่อรถเมล์ ต่อแทกซี่ เดินทางไปบ้านน้องชาย(ที่ดินแดง) เพื่อติดรถส่วนตัวน้องกลับไปบ้านต่างจังหวัด เรากลัวว่าวันข้างหน้าเราและลูก อาจต้องเจอปัญหาแบบนี้อีก ไตร่ตรองดูแล้วหลายครั้งว่า การที่เราจะเป็นฝ่ายเลี้ยงลูกเองนั้นจะสามารถทำให้เด็กมีความปลอดภัย มีคุณภาพชีวิต และมีความรู้สึกมั่นคงทางอารมณ์ เพื่อเติบโตขึ้นเป็นคนดีของสังคมได้แม้ว่าจะไม่มีพ่อก็ตาม (พิสูจน์ได้จากการที่เราเลี้ยงลูกคนโตมาโดยลำพังเพราะได้แยกกับอดีตสามีเนื่องจากเขาก็เคยใช้ความรุนแรงในช่วงเราตั้งท้อง เราไม่ได้จดทะเบียนสมรส เด็กมีอยู่กับเราได้มาโดยตลอดโดยไม่มีปัญหาเหมือนกับในกรณีนี้)
สอบถามการฟ้องหย่าสามีเพื่อสิทธิ์ในการเลี้ยงดูบุตร
1.มูลฟ้องหย่าเพียงพอหรือไม่
2.สิทธิการเลี้ยงดูบุตรจะเป็นของเราหรือไม่
3.กังวลเรื่องความปลอดภัย เพราะพ่อเขาไม่ทำงานมีเวลาว่างมาตามรังควานหรือสะกดรอยจากที่ทำงานไปที่พักได้ (อยู่บ้านเช่า) ตามกฎหมายเราให้ตำรวจคุ้มครองความปลอดภัยโดยไม่ให้พ่อเขาเข้ามาพบได้หรือไม่(ป้องกันการแย่งชิงไปอีก)
4.ดิฉันไม่ต้องการไกล่เกลี่ย เพราะย่าเขาอาจรับปากว่าถ้าเอาไปเลี้ยงจะทำตามมาตรฐานการเลี้ยงเด็ก แต่ในทางปฏิบัติอาจไม่ทำอีก
เรามีลูกติด(คนโตอายุ16)
รบกวนช่วยด้วยนะคะกำลังเดือดร้อนมาก กลัวเขาไม่ยอมหย่าและหันมาทำร้ายลูกคนโตหรือพาลูกคนเล็กหนีไปอีก และเราอาจต้องตกงานค่ะ
การเอาลูกหนีไปครั้งล่าสุดนี้ลูกป่วยเป็นไข้หวัดด้วย และทางบ้านย่าก็เลี้ยงดูแบบมีความเชื่อผิดๆเช่นเอาแป้งลูบหน้า จมูกเด็ก หัวเด็ก หลังอาบน้ำ ผูกเปลทำหล่นหัวกระแทกพื้น ป้อนน้ำหวาน เคี้ยวอาหารแล้วคายป้อน เลี้ยงหมาเอาไปนอนบนที่นอนด้วยแล้วขนหมาเข้าจมูกเด็กกำลังคลาน ฯลฯ
สามีต้องการรับสมบัติ โดยใช้ลูกเป็นสื่อกลาง ส่วนย่าอยากได้หลานไปเลี้ยงเอง (อ้างว่ารักและคิดถึงต่างๆนานา) ตอนคลอดทุลักทุเลมาก ย่ารับปากจะจ่ายค่าคลอดให้ ทำเหมือนไม่พอใจที่เป็นเด็กผู้ชาย(เขาอยากได้ผู้หญิง) พอคลอดกลับมาอยู่บ้านเขามาเยี่ยมในช่วงเดือนมกราปี 57 อากาศเย็นจับหลานอาบน้ำเย็น(ไม่ต้มน้ำให้อาบ) ที่จริงย่าอยากเอาหลานไปตั้งแต่แรกเกิด จึงมีการดึงให้เราไปคลอดที่โคราช แต่เราห่วงเรื่องการเลี้ยงดูจึงไม่กล้าให้ไป คือ ย่าเขาต้องกินยานอนหลับทุกคืนจึงจะสามารถนอนได้และมีการหลับลึกถ้าเขาเอาไปเลี้ยงเองช่วงเด็กวัยนี้อาจจะป่วยบ่อย หากเป็นไข้สูงอาจชักได้(นอนหลับลึกเหมือนหลับเป็นตาย) เราว่าเขาไม่ควรเลี้ยง แต่สามีพยายามเกลี้ยกล่อมให้เอาไปไว้โคราชให้ได้เพื่อตามใจแม่ตนเองแม่เขามีเงิน มีที่ดินพอสมควรค่ะ
ส่วนยาย(แม่ของดิฉันเอง) เป็นคนหัวสมัยใหม่ฟังและปฏิบัติตามคำแนะนำการเลี้ยงเด็กที่ดิฉันแนะนำเต็มความสามารถ และเข้าใจถึงหัวอกดิฉันอย่างดี แต่ก็โกรธและเกลียดการกระทำของสามี รวมทั้งการไร้ซึ่งความสามารถในการทำงานหาเงินเลี้ยงดูดิฉัน โดยทำให้ดิฉันไม่สามารถส่งเสียเงินไปให้กับแม่ได้อีกเพราะต้องใช้เงินเดือนชนเดือน รวมทั้งสามีเอาหมาที่เคยเลี้ยงได้สองตัว (เพราะไม่มีที่เลี้ยง) ไปฝากไว้ให้แม่ดิฉันเลี้ยงเป็นเวลา 2 ปีแล้ว ไม่เคยส่งเงินค่าอาหารให้แม่เลยจนถึงปัจจุบัน
ที่บ้านที่เลี้ยงลูกอยู่ตอนนี้ก็มีหมา 1 ตัว แมวอีก 1 ตัว (ในอดีตแฟนเคยพักอยู่หอแล้วแอบเลี้ยงหมาแมวเป็นสิบตัว จนเจ้าของหอจับได้ พอคบกับดิฉันจึงช่วยรับแบ่งเบาให้เขา หมาตัวอื่นก็แจกจ่ายให้คนอื่นนำไปเลี้ยง) เห็นไหมคะว่าเขาเป็นคนแปลกแค่ไหน แต่ดิฉันคิดว่าถ้าคบหากันแล้วเขาอาจปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแปลกๆนี้ได้ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดของดิฉันเอง
ที่เขากลับไปคราวนี้ได้ติดตามโทรถามหาว่าไปที่ไหน เขายอมรับว่าที่ต้องพาไปเพราะรู้ว่าดิฉันไม่ยอมขับรถพาไปแน่นอน และการกลับไปแต่ละครั้งแม่เขาจะให้เงินติดตัวกลับมาด้วยเสมอ และย่าเองก็คิดถึงหลาน ช่วงที่อยู่โคราชเขาได้พยายามพาลูกไปห้างกับย่าเพื่อหลอกล่อให้ซื้อนมผง แพมเพิร์ส ฯลฯ ให้ ส่วนเรากำลังแสดงความรู้สึกว่าเหงา คิดถึง ทั้งเขาและลูก อยากให้รีบกลับมาอยากอยู่ด้วยตามประสาครอบครัว แต่เขาบอกว่าเราไม่ได้มีลูกคนเดียว ให้เอาลูกคนโตมาสั่งสอนบ้าง ให้รดน้ำต้นไม้ให้ด้วย ให้ล้างรถดูดฝุ่น ทำนู่นนี่ซะจะได้ลืม เขาเพียงแค่พาลูกมาเที่ยวจะกลับในอีก 2 วันข้างหน้า
เราได้แต่ปั๊มนมแช่ตู้เย็นไว้รอลูก รวมรวมสติ ถ่ายภาพหลักฐานต่างๆ ไว้ เช่นพวกต้นไม้ที่รุกล้ำไปที่ถนนส่วนกลาง หยุดยาววันแม่ปี 57 ช่วงวันที่ 9-12 สิงหานี้ (เรามาทำงานวันที่ 11 เพราะเป็นเอกชนไม่ได้หยุดต่อเนื่อง) เราไม่มีความสุขเลยสักนิด ร้องไห้ ใจสั่น กินและนอนไม่ได้ ซึ่งเย็นวันศุกร์เรารีบขับรถกลับบ้าน คาดหวังว่าจะกลับมาดูแลลูกที่กำลังไม่สบาย และจะได้ไปเที่ยวด้วยกันในช่วงเทศกาลวันแม่กับครอบครัวเล็กๆของเรา แต่กลับได้รับ sms ว่า"ไม่ต้องห่วงพาไปเที่ยวเดี๋ยวกลับ" แล้วเขาก็ปิดโทรศัพท์ไป ระหว่างนั้นเขาพาลูกผ่าฝนตกขึ้นรถสองแถว ต่อรถเมล์ ต่อแทกซี่ เดินทางไปบ้านน้องชาย(ที่ดินแดง) เพื่อติดรถส่วนตัวน้องกลับไปบ้านต่างจังหวัด เรากลัวว่าวันข้างหน้าเราและลูก อาจต้องเจอปัญหาแบบนี้อีก ไตร่ตรองดูแล้วหลายครั้งว่า การที่เราจะเป็นฝ่ายเลี้ยงลูกเองนั้นจะสามารถทำให้เด็กมีความปลอดภัย มีคุณภาพชีวิต และมีความรู้สึกมั่นคงทางอารมณ์ เพื่อเติบโตขึ้นเป็นคนดีของสังคมได้แม้ว่าจะไม่มีพ่อก็ตาม (พิสูจน์ได้จากการที่เราเลี้ยงลูกคนโตมาโดยลำพังเพราะได้แยกกับอดีตสามีเนื่องจากเขาก็เคยใช้ความรุนแรงในช่วงเราตั้งท้อง เราไม่ได้จดทะเบียนสมรส เด็กมีอยู่กับเราได้มาโดยตลอดโดยไม่มีปัญหาเหมือนกับในกรณีนี้)