สวัสดีครับ ชาวPantip คอหนังทุกๆท่าน
วันนี้ผมจะมา  วิเคราะห์ วิจารณ์ ประจาน?? หนังเรื่องนี้
นี้เป็นกระทู้แรกเลยที่ผมเขียนยังไงหากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วยน่ะครับ

เอาล่ะเรามาเริ่มจากเนื้อเรื่องย่อก่อนน่ะครับ

Into the Storm จะถ่ายเรื่องราวในแต่ละวันที่เมืองซิลเวอร์ตันได้รับความเสียหายจากพายุทอร์นาโดที่โหมกระหน่ำอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั่วทั้งเมืองต้องอยู่ท่ามกลางความไม่แน่นอนและพายุไซโคลนที่รุนแรง แม้แต่ผู้ที่สังเกตการณ์พายุก็มีการพยากรณ์ว่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดกำลังจะมา ผู้คนส่วนใหญ่ต้องหาที่หลบภัยและบางคนต้องถูกพัดไปตามกระแสพายุ เป็นการทดสอบว่านักล่าพายุจะไปเก็บภาพครั้งหนึ่งในชีวิตได้ไกลสุดแค่ไหน เรื่องราวถูกถ่ายทอดผ่านสายตาและมุมมองของนักล่าพายุมืออาชีพ มือสมัครเล่นที่แสวงหาความตื่นเต้น และพลเมืองผู้กล้าหาญ ภาพยนตร์เรื่อง "Into the Storm" จะพาคุณไปเผชิญหน้าให้เห็นถึงภัยพิบัติแห่งธรรมชาติที่ร้ายแรงกับตา
(เรื่องย่อจากเว็ป sfcinemacity ครับ ขอบคุณครับ _/i\_)


ถ้าอ่านจากรีวิวน่ะครับจะเห็นได้ว่า มันเป็นหนังเกี่ยวกับพายุหมุน ธรรมดาๆ เรื่องหนึ่งเท่านั้นเอง
ส่วนตัวที่ผมไปดูหนังเรื่องนี้บอกตรงๆเพราะว่าชอบหนังเรื่อง twister หนังตอนวัยเด็ก และผม
ก็ได้มีโอกาศไปดูหนังเรื่องนี้แบบไม่ได้ตั้งใจจะไปดู (จริงๆจะไปดูเฮอคิวริส) ผมจึงไม่ได้คาดหวังแบบ
เห้ย มันต้องมันส์ต้องอลังการงานสร้าง ร้อยล้าน พันร้าน และที่ไปดูเพราะ อยากดู พายุหมุน ....... แค่นั้นเอง

คราวนี้ช้างล่างนี้จะเป็นส่วนสปอยน่ะครับ เป็นฉากๆที่ผมพอจะคิดออก(ยาวมากๆ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้-หนังดำเนินเรื่องผ่าน การอัดวีดีโอ ซึ่งเป็นเทคนิคที่เดี้ยวนี้ใช้กันบ่อยมาก เพื่อให้มันดูเรียวลิตี้ มาก มันจะคล้ายๆกับการ
ฟังเรื่องเล่าจากปาก อีกคน

-เริ่มจากกลุ่มวัยรุ่นที่อยู่ในรถ เป็นฉากเชือดไก่ให้ลิงดูธรรมดาๆฉากนึงครับ กล่าวความคึกคะนองของวัยรุ่นโดยไม่คิด
อาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้เพียงกระพิบตา

-ตัดมากฉากการอัดวีดีโอแคปซูลเวลา เป็นกิจกรรมธรรมดาๆ ที่มีคนทำกันเยอะแหยะ โดยในหนังเลือกกำหนดเวลา 25 ปี
ผมนึกสงสัยตรงนี้มากช่วงแรก นี้เราดูหนังพายุหมุนๆ หรือ หนังแนวดราม่าชีวิตๆ กันน่ะ??

-สนับสนุน แต่ไม่ดูแล เป็นฉากของดอนนี่ ทะเลาะกับพ่อเกี่ยวกับการถ่ายวีดีโอแคปซูลที่ตั้งแต่แรกพ่อเป็นคนสนับสนุนแต่
กลับปัดออกเพราะบอกว่า"ยุ่ง ไม่มีเวลา" ฉากนี้ทำให้ผมนึกหลายเรื่องได้ คำว่า "ยุ่ง ไม่มีเวลา" ทำร้ายจิตใจของเด็กค่อนข้าง
รุนแรง ผู้ใหญ่ส่วนไม่มากไม่น้อย มักจะสนับสนุนเด็กว่า "ทำเลยๆ" แต่จะไม่ค่อยใส่ใจดูแลชื่นชมให้กำลังใจในการทำสิ่งที่ผู้ใหญ่
สนับสนุนและมักใช้คำว่า "ยุ่ง ไม่มีเวลา" เป็นข้ออ้างจนทำให้เด็กหลายๆคน หมดกำลังใจที่จะทำสิ่งนั้นต่อ

-ไม่สนับสนุนไม่พอยังห้าม ตีความจากความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับน้องชาย แทอร ในการพกมีดครับ ผู้ใหญ่มักจะด่วนตัดสินจาก
ภายนอกเร็วเกินไปด้วยประสบการณ์ที่ตัวเองผ่านมาหรือได้ฟังจากสื่อต่างนาๆ ในที่นี้ คือมีดครับ ผู้ใหญ่อาจเห็นมีดเป็นของมีคม
และอันตราย แต่สำหลับเด็กอาจเห็นเป็นอุปการณ์การดำเนินชีวิตในป่า เครื่องป้องกันตัว ยกตัวอย่างง่ายกับสังคมไทย ผู้ใหญ่
มอง วีดีโอเกมส์ เล่นแล้วเสียเวลา แต่เด็กเล่นเกมมองเป็นกิจกรรมพัฒนาสมอง แก้เครียด ดังนั้นอยากบอกว่าผู้ใหญ่ครับเห็นลูก
ติดเกมส์ สนับสนุนแล้วดูแลครับ"อาจจะ"เป็นทางออกที่ดีกว่าห้าม แล้วก็ฝากบอกถึงเด็กครับที่เขาห้ามนุ้นนี้นั้นเพราะความเป็นห่วงน่ะจ๊ะ

-ครูใหญ่มันโอบาม่าชัดๆ!

-เรารู้วันเกิด แต่เราไม่รู้วันจบ ตอนแรกผมสนใจฉากพิธีจบมาก ผมตั้งคำถามทำไมต้องใช้พิธีจบการศึกษาในหนังเรื่องนี้แล้วก็ใช้พายุถล่ม
พิธีไม่เหลือซาก จนตอนจบมันทำให้คิดได้ว่า ไอพิธีจบการศึกษามันคือการ"เริ่มต้นใหม่" การเข้าสังคมใหม่ การเกิดมาบนโลกเพื่อเริ่มต้นมี
ชีวิต แล้วอยู่ๆก็มีพายุพัดมาทำลาย มันทำให้ผมคิดได้ว่า อีก1วิข้างหน้าเราก็ไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น

-ข้อมูล VS ประสบการณ์ ฉากเถี่ยงระหว่างนักวิจัยพายุหมุนกับนักถ่ายภาพพายุหมุนผู้เคยผ่านมาก่อน เรื่องนี้ทำให้คิดถึงคำพูด
ของผู้ใหญ่ "กูรู้ กูอาบน้ำร้อนมาก่อน" แล้วผมก็จะเถียงในใจ "ก็สิ่งที่ผู้ใหญ่บอกมันเรื่องOutdateแล้ว นี้ศึกษาอยู่ UPdateกว่า"
มันทำให้ผมคิดได้ว่า ทั้งสองอย่างมีความสำคัญพอๆครับ หากผู้ที่มีประสบการณ์ยอมที่จะศึกษาข้อมูลเขาจะมองเห็นภาพรวม
ได้ง่ายกว่าเขาจะบอกจุดบกพร่อง ส่วนข้อมูลถึงจะใหม่แค่ไหนก็ควรให้ผู้มีประสบการณ์ช่วยวิเคารห์เพราะเขาเคยผ่านมา
เขาอาจจะต่อยอดข้อมูลใหม่ให้ก็เป็นไปได้

-เจคอป ผมเห็นแล้วนึกถึง วัยรุ่นหลายๆคนครับ(จริงๆผมก็วัยรุ่นอยู่น่ะ)เขาจัดหมดไฟเร็วติดไฟง่ายครับ การมีไฟในการทำสิ่งใด
สิ่งหนึ่งเป็นสิงที่ดีน่ะครับ แต่ต้องทำให้ถูกที่ ถูกต้อง ถูกปริมาณ ซึ่งวัยรุ่นพอมีไฟก็จะโหมกระหน่ำอย่างบ้าครั้ง สุดท้ายไฟก็
ทำร้ายตัวเองซึ่ง เจคอปก็โดนไฟจริงๆ= ="

-วินาทีที่คิดว่าเป็นวินาทีสุดท้าย ฉากนี้เรียกน้ำตาผมเป็นนิดหนึ่ง กับฉากอัดวีดีโอ ลาสเมสเสจ ของดอนนี่ คลาสสิคๆคือคนเรา
มักจะเสียใจในตอนนี้กำลังจะสายไปหรือสายไปแล้ว

-ความห่างของแม่ vs ความใกล้ของพ่อ บทสนทนาของ แกลลี่ กับ แอลลิซอน เกี่ยวกับลูกของทั้งสอง สื่อถึง
"ความห่างทำให้คนอยากอยู่ใกล้ ความใกล้ทำให้คนรู้สึกห่าง" เป็นเรื่องจริงครับที่ไม่เถึยงหลายๆครั้งที่ความใกล้ทำให้ห่างกันเพราะความ
"ชิน" แล้วด้วยความชินคุณก็เลยไม่ได้ใส่ใจ แต่ความชินนี้แหละครับถ้าวันไหนสิ่งที่เคยชินๆเห็นหน้าจนชิน พูดคุยจนชิน มันห่างหายไป
มันจะทำให้โหยหาและอยากอยู่ใกล้ๆ

-ผู้ใหญ่ไม่ถูกตลอดไม่ผิดเสมอ และสิ่งที่พ่อคิดว่าอันตรายก็ช่วยชีวิตลูกชายคนโดไว้ได้

-และแล้วเนื้อเรื่องที่แท้จริงก็มาตอนจบ ทำให้ผมรู้อยากกระจ่างแจ่มแจ้งชัดแจ๋วเลยว่า หนังนี้ไม่ได้มาขาย "พายุหมุน" ด้วยการจบด้วยวีดีโอแคปซูน
(ลองทบทวนบทพูดของแต่ละคนดีๆ คุณอาจจะได้อะไรดีๆกลับมาในการดำเนินชีวิตครับ)

-สุดท้าย ดองค์ & รีวาส WTF!@#!@%$!%!

คะแนน 8.9/10
จริงๆผมว่าหนังเรื่องนี้น่าจะทำได้อีกนิดกับการกดดันเนื้อเนื่องอีกหน่อย

[เพื่มเติม ความเห็นส่วนตั๊วส่วนตัว]
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ผมว่าหนังเรื่องไม่ได้ตั้งใจขายพายุตั้งแต่แรก ดังนั้นถ้าหากไปเปรียบกับ Twister คงเป็นคนละเรื่อง
Twister เป็นหนังวิทยาศาสตร์จ้ามากในเรื่องของพายุมากเลยครับทั้งบอกความเร็ว การศึกษาและภัยอันตลาย
ส่วน into the storm เป็นหนังปรัชญาที่ใช้พายุเข้ามาในการดำเนินเรื่อง ผมเลยไม่แปลกใจเลยว่า
ทำไมตัวอย่างหนังถึงฉายฉากสำคัญๆที่เจอกับพายุหมดเลย ตัวหนังอาจจะใช้ปรัชญาทั่วๆไปที่อ่านเจอได้บ่อยๆครับ
แต่เพราะความทั่วๆไปเกินบางทีก็อาจทำให้เราลืมมันไป แล้วหนังนี้ก็แค่เคาะสนิมให้คุณนึกออกเท่านั้นเอง

เนื้อหาเป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆอาจจะดูเวิ่นเว้อไปนิดหนึ่งถึงขั้นมาก (และมากที่สุด)
แต่ทุกส่วนเป็นสิ่งที่ผมได้รับจากการดูหนังเรื่องนี้จริงๆครับ
หากมีข้อผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วยครับมือใหม่จริงๆ
แล้วเพื่อนๆคิดว่าไงครับ แสดงคิดเห็นได้น่ะครับ


     ขอให้ทุกท่านดูหนังอย่างมีความสุข
แล้วใช้ชีวิตเหมือนกับวินาทีหน้าเป็นวินาทีสุดท้าย
                ด้วยความเคารพ
                      จขกท.