เรื่องสั้น
แมวเจ้ากรรม
เพทาย
ชื่อ อีแหว่ง นี้ถ้าเป็นคนก็คงจะฟังไม่เสนาะหูนัก แต่เผอิญเป็นชื่อแมวเพศเมียตัวหนึ่ง จึงไม่มีใครว่าอะไร แม้แต่ตัวมันเอง หรือมันจะไม่รู้เสียด้วยซ้ำ ว่ามันมีชื่ออย่างนั้น แม่ของมันมาออกลูกที่กองไม้เก่า ๆ ในบ้านผม โดยผมไม่ได้เลี้ยง
ดูเหมือนมันจะมีพี่น้องอยู่ด้วยกันสามตัว พอผมไปเห็นมันเข้าทั้งโขยง แม่ของมันก็คาบลูกไปแอบไว้ ที่บ้านอื่นหมด จนมันโตขนาดอดนมแล้ว จึงเข้ามาหากินในบ้านของผมอีก และมาตัวเดียว ไม่ทราบว่าแม่และพี่น้องของมันหายไปไหนหมด
ผมจำมันได้เพราะขนของมันเป็นสีขาวตลอดทั้งตัว มีสีดำแซมแต่เฉพาะปลายหู และปลายหางเท่านั้น มันมาป้วนเปี้ยนอยู่ในบ้านผม โดยที่ผมไม่ได้เลี้ยงดูเหมือนกัน มันหาอาหารกินเองตามถังขยะหรือมุดเข้าไปในซอกในมุมเพื่อหาหนู เพราะบ้านของ ผมเป็นบ้านไม้เก่าโทรม มีสัมภารกเกะกะมากมาย
โดยเฉพาะในครัวรุงรังไปด้วยหม้อข้าวหม้อแกงจานชาม และเครื่องครัวกองเกลื่อน ก็เป็นที่อาศัยของหนู พอตกกลางคืนก็ออกหากิน วิ่งกันให้คึ่กไปทั้งบ้าน
เจ้าแมวพเนจรตัวนี้ก็คอยนั่งจ้องมอง อยู่ตามเส้นทางที่หนูจะวิ่งผ่าน ก็ได้ผลพอสมควร หนูชักจะซาลงไป
โดยไม่รู้ว่าโดนแมวตะครุบ หรือว่ามันหนีไปวิ่งที่บ้านอื่น
เมื่อโตเป็นสาวมันก็เป็นแมวเจ้าเสน่ห์ตัวหนึ่ง ไม่ว่ามันจะเยื้องกรายไปทางไหน เจ้าแมวหนุ่มทั้งขาวทั้งเหลือง ด่าง ดำ และลายเสือ ตามกันเป็นพรวน
ผม ต้องทนฟังเสียงพวกมันร้องเปี๊ยวป๊าวกันอยู่หลายคืน จนวันหนึ่งผมก็พบว่านังตัวดีนอนอยู่ที่หน้าบ้าน มีแผลถลอกเลือดแดงที่คอด้านหลังไม่ทราบว่าไปโดนอะไรมา มันเลียไม่ถึงต้องเลียอุ้งเท้าแล้วก็เอาไปเกาแผลเลยทำให้เหวอะหวะมากขึ้นทุกที นานเข้าก็ทำท่าจะลามไปรอบคอ
ผมเวทนามันเต็มทีก็เลยไปหายา จากร้านสัตวแพทย์มาขวดหนึ่ง เป็นยาน้ำสีม่วงคล้ายยาป้ายลิ้นเด็กอ่อน ครั้งแรกผมหลอกจับตัวมันให้นอนหมอบ มันคงนึกว่าผมจะช่วยมันได้บ้าง จึงยอมนอนแต่โดยดี พอเอายาราดที่แผลรอบคอ มันทั้งดิ้นทั้งข่วนถึงขั้นงับมือ ผมเลยต้องยอมปล่อย มันก็วิ่งไปสะบัดไปจนสีม่วงกระจายทั่วทุกหนทุกแห่ง ทำให้แม่บ้านของผมซึ่งไม่ชอบหน้ามันอยู่แล้ว บ่นเสียตั้งกระบุงโกย
ต่อจากนั้นมันก็ไม่ยอมเข้าใกล้ผมอีกเลย พอจะถึงตัวเป็นโดดหนีทุกทีจนเบื่อ ก็เป็นอันว่าสุดแล้วแต่เวรกรรมของมันเอง แล้วผมก็เลิกเอาใจใส่กับมันอีก เพราะไม่อยากเป็นทุกข์ไปกับมันด้วย
จนนานเป็นเดือนมันจึงโผล่หน้ามาให้เห็นอีกครั้ง บาดแผลเหวอะหวะหายแห้งไปแล้ว แต่มีแผลเป็นรอบคอขนไม่ขึ้น ผมก็เลยเรียกมันว่าอีแหว่งตั้งแต่นั้นมา
อีแหว่งก็เข้ามาหาอาหารด้วยวิธีเดิมของมัน แต่สังเกตว่ามันอุ้มท้องอุ้ยอ้ายขึ้นทุกที ผมก็ไม่ทราบว่าแมวมันใช้เวลาท้องนานสักเท่าไร
อยู่มาวันหนึ่งก็ได้ยินเสียงลูกแมวร้องกระจองอแง อยู่ใต้กองไม้ข้างรั้วที่เดิม อีกหลายวันต่อมาจึงได้เห็นว่ามันออกลูกมาสองตัว
ตัวหนึ่งสีขาวป้ายดำหลายแห่งคล้ายแม่ อีกตัวหนึ่งมีเหลืองแซม
เวลากลางวันส่วนใหญ่มันไม่ค่อยได้อยู่กับลูก ไม่ทราบว่าไปหากินที่ไหน ปล่อยให้ลูกร้องแง้ว ๆ พอตกเย็นจึงจะกลับมานอนให้ลูกกินนม พลางแกว่งหางช้า ๆ อย่างสบายอารมณ์ ปากก็เลียลูกตัวนั้นทีตัวนี้ที ดูท่าจะมีความสุขดี
แล้วอยู่ ๆ มันก็หายไปจากกองไม้นั้น ผมก็นึกว่ามันย้ายที่อยู่ แบบเดียวกับที่แม่ของมันเคยทำ จึงไม่สนใจ
แต่วันหนึ่งเข้าไปทำความสะอาดห้องลูกชาย ที่เขาไปทำงานต่างจังหวัด ปรากฎว่าอีแหว่งพาลูกเข้าไปอยู่ใต้ตู้เสื้อผ้า หาเศษกระดาษมาทำเป็นที่นอนอย่างดี แถมมีกลิ่นขี้เยี่ยวหึ่งไปทั้งห้อง
พอแหย่ไม้กวาดเข้าไปไล่ มันกลับแยกเขี้ยวใส่เสียอีก เลยต้องฟาดกันเป็นการใหญ่ ตัวมันก็วิ่งแจ้นหนีไป ผมจึงเอาลูกสองตัวไปวางไว้ที่กองไม้อย่างเดิม
นึกว่าจะหมดเรื่องแล้ว ที่ไหนได้ดันแอบคาบลูกเข้าไปซุกอยู่หลังตู้แขวนเสื้อ ในห้องรีดผ้าของแม่บ้าน และทำสกปรกเลอะเทอะอย่างเดิม เขาก็เลยไล่ฟาดกระเจิงไปทั้งแม่ลูก
อีแหว่งคาบลูกตัวขาวไปแอบใต้บันได เจ้าตัวเหลืองมุดลงช่องข้างเสาหล่นลงไปข้างล่าง ซึ่งเป็นฝ้ากระเบื้องเรียบของห้องชั้นล่าง ไม่มีทางตะกายขึ้นมาได้แน่ เพราะรูนิดเดียว นังแม่ก็ลงไปไม่ได้ ทีนี้เป็นเรื่องใหญ่แน่
ถ้าทำไม่รู้ไม่ชี้มันก็คงอดตาย แต่ก่อนตายมันก็คงร้องจนเราประสาทเสียเหมือนกัน แถมจะเน่าเหม็นไปทั้งบ้านอีกด้วย
ผมคิดหาหนทางช่วยชีวิตเจ้าเหลืองอยู่เกือบทั้งวัน ลงท้ายก็พยายามงัดไม้กระดานพื้นที่ใกล้เสาที่สุดออกจนสำเร็จ พอจะเป็นช่องให้มือล้วงเข้าไปได้ แต่ก็มองไม่เห็นตัวมัน ได้ยินแต่เสียงร้องแง้ว ๆ
จึงต้องไปอุ้มเอาอีแหว่งมาช่วย ทั้ง ๆ ที่มันดิ้นตะกุยตะกายจะข่วนผมอยู่ตลอดเวลา พอวางมันลงใกล้ช่องข้างเสา ได้ยินเสียงลูกร้องดังแว่ว ๆ มันก็โดดผลุงลงรูไปเลย เป็นอันว่าเจ้าเหลืองรอดตายแน่ แต่มันจะพาลูกออก ไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้เหมือนกัน
ปรากฎว่าผมคิดผิดถนัด มันรอจนค่ำจึงออกจากรูมาตัวเดียว ผมร้องทัก มันแต่ไกลว่าสบายดีหรือ มันไม่สนใจวิ่งลงบันไดไปคาบเจ้าลูกตัวขาว มุดผลุบลงไปอยู่ใต้ช่องนั้นอย่างว่องไว โดยผมไม่ทันรู้ตัว
คราวนี้ใครก็ตามไปทำอะไรมันไม่ได้ มันมีบ้านอยู่ อย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องเสียค่าเช่า ในนั้นมืดสนิทอาจมีหนูวิ่งเซ่อซ่าเข้ามาให้มันตะครุบไว้เป็นอาหารวันละสามมื้อก็ได้ แถมจะทำสกปรกให้เหม็นหึ่งขึ้นมาอีกด้วย
ผมฉิวมันจริง ๆ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ต้องคอยเฝ้าดูพฤติกรรมของมันอยู่ พอเห็นมันเยี่ยมหน้าออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์แล้ว อยากเอาอะไรขว้างให้หัวแบะ แต่พอใครเข้าใกล้มันก็ผลุบหายไปทันที
ผมทำใจเย็นรอให้อีแหว่งออกจากรู ไปเที่ยวหากิน อย่างเคย เหลือแต่ลูกโผล่หน้าออกมาสองตัว พอเห็นผมก็ผลุบเข้าไป ตามที่แม่ของมันสั่งสอนไว้
ผมได้ความคิดจึงเอาไม้มาปิดช่องทางไว้เสีย ไม่ให้แม่มันกลับไปหาลูกได้ ทิ้งไว้ตลอดวัน อีแหว่งก็จนปัญญาที่จะลงไปหาลูก พอมันหายไปอีกผมก็เปิดไม้กระดาน แล้วหลบหน้าไปเสีย ลูกสองตัวที่หิวเต็มแก่ก็ตะกายออกมา เดินต้วมเตี้ยมร้องหาแม่
ผมก็หิ้วคอมันเอาลงไปไว้ที่กองไม้ตามเดิม แล้วก็ปิดไม้กระดานให้เรียบร้อย เป็นอันเสร็จพิธี คราวนี้ต้องคอยระวังปิดประตูบ้าน ไม่ให้มันเข้ามาก่อเรื่องได้อีก
มันอยู่นอกบ้านต่อมาอีกเป็นเดือน จนลูกสองตัวโตขึ้น อีแหว่งก็สอนให้ลูกเล่นยิมนาสติก กระโดดไปกระโดดมา คว้าสิ่งที่เคลื่อ่นไหวผ่านหน้า สอนวิธีจับสัตว์ตัวเล็กมากินหรือหยอกเล่น สอนให้ปีนต้นไม้ และการลับเล็บกับโคนไม้ ซึ่งทำเอาบรรดาต้นไม้เล็ก ๆ ที่ปลูกไว้ในกระถาง เหี่ยวเฉาหักยับเยินไปตามกัน ด้วยฝีมือฝีตีนของสามแม่ลูกนี้
ปลงแล้วปลงอีกก็ไม่ไหว ไล่ทางนี้ก็หนีไปอยู่ทางโน้น ไม่ยอมออกจากบ้าน
อยู่มาคืนหนึ่งมีเสียงลูกแมวตัวน้อย ๆ ร้องแง้ว ๆ อยู่ข้างบ้าน ผมนึกในใจว่าอีแหว่งมันไปไหนของมัน ทิ้งลูกให้ร้องหนวกหูอยู่ได้ ทำให้เป็นกังวลนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ ตามเสียงของมันอยู่ตลอดคืน
เช้าขึ้นลงไปดูปรากฎว่าเป็นลูกแมวอ่อน ๆ ลายเสือยังไม่ลืมตา คลานเปะปะส่งเสียงร้องจนคอแหบแห้ง ไม่รู้ว่าหลุดมาจากไหนได้ยังไง แต่ไม่ไกลกันนั้น อีแหว่งกับลูกสองตัวนอนกินนมกันเฉย เหมือนไม่ได้ร้องภาษาเดียวกัน
ผมรู้สึกสงสารเจ้าแมวน้อย จึงหิ้วมันไปวางไว้ข้างอีแหว่ง หวังว่ามันจะเมตตาให้กินนมด้วย แต่มันดม ๆ แล้วก็ลุกขึ้นเดินหนีไปเฉย เจ้าลูกสองตัวก็กระโดดตามไปด้วย ผมตามไปหิ้วมันมากดไว้ใกล้ ๆ เจ้าลายเสือผู้น่าสงสาร มันกลับแยกเขี้ยวขู่ฟ่อ ไม่รู้ว่าจะกัดลูกแมว หรือกัดผม ก็เลยต้องปล่อยตามใจมัน
น่าแปลกที่เคยเห็นในทีวี แม่หมายังยอมให้ลูกแมวกินนมได้ ทั้ง ๆ ที่มันเป็นสัตว์คู่อาฆาตกัน แต่นี่แมวพันธุ์เดียวกันแท้ ๆ กลับไม่สนใจ ผมเลยด่ามันตามหลังว่า อีแมวใจดำ ไม่รู้มันเจ็บหรือเปล่า
วันรุ่งขึ้นบ้านข้างเคียงจึงมารับลูกแมว ไปอยู่กับครอบครัวของมัน หมดเวรไปอีกที
ตั้งแต่นั้นมา ผมเจอหน้าอีแหว่งทีไร เป็นต้องไล่ฟาดกันทุกครั้ง เพราะ เกลียดความใจจืดใจดำของมันเข้าใส้ แถมยังเคียดแค้นไปถึงต้นหมากรากไม้ที่ยับเยินไปเพราะฝีตีนการฝึกสอนอาชีพ ให้ลูกสองตัวของมัน รวมทั้งที่มันเคยทำสกปรกเลอะเทอะบนบ้านอีกหลายครั้งหลายหน
นึกอยากให้มันอดตายอยู่ใต้พื้นเสียทั้งครอก ตั้งแต่ตอนนั้นก็หมดเรื่องไปแล้ว ซึ่งความคิดร้ายกาจของผมนี้มันคงจะไม่รู้ แต่ก็อาจจะสงสัยว่าทำไมผม จึงเปลี่ยนไปเล่นบทโหด ควงไม้กวาดฟาดกระบาลมันอยู่เรื่อย
จนกระทั่งเช้ามืดวันหนึ่ง ผมตื่นแล้วจะออกไปใส่บาตร ได้ยินเสียงร้องเมี้ยว ๆ อยู่ในครัว เดาว่าอีแหว่งคงแอบเข้ามาค้างอยู่เป็นแน่ จึงฉวยเอาไม้กวาดติด มือไปด้วย
พอเปิดประตูครัวและเปิดไฟ ก็เห็นภาพที่ทำให้ต้องชงัก และใจอ่อนลงอย่างไม่น่าเชื่อ
อีแหว่งนั่งอยู่บนขาหลังของมัน ตามแบบที่แมวทั่วไปชอบนั่ง มันเงยหน้าขึ้นมองสบตาผม พลางร้องเมี้ยว ๆ แล้วก้มลงดูสิ่งที่อยู่ใต้อุ้งเท้าขวาของมัน เหมือนจะบอกให้ผมรับของฝากจากมันยังงั้นแหละ
ผมเอาไม้กวาดพิงแอบข้างฝาแล้วก็ถอยเปิดทางให้มันออกไปโดยดี มันก็ยังไม่ยอมไป คงจ้องหน้าผมร้องขอความเห็นใจอยู่อย่างนั้น
ผมคิดเอาเองว่ามันคงจะขออภัย ที่ทำให้ผมเสียใจและผิดหวังในตัวมัน มันจึงหาของกำนัลมาประจบผม เหมือนอย่างที่คนชอบทำ ๆ กัน
ถึงผมจะยอมยกโทษให้แก่ความใจดำของมันแล้ว แต่เป็นตายอย่างไร ผมก็ไม่ยอมรับของฝากจากมันแน่
เพราะมันเป็นแค่ หนูตัวหนึ่งที่ตายแล้ว เท่านั้น.
##########
พ.ศ.๒๕๔๙
แมวเจ้ากรรม
แมวเจ้ากรรม
เพทาย
ชื่อ อีแหว่ง นี้ถ้าเป็นคนก็คงจะฟังไม่เสนาะหูนัก แต่เผอิญเป็นชื่อแมวเพศเมียตัวหนึ่ง จึงไม่มีใครว่าอะไร แม้แต่ตัวมันเอง หรือมันจะไม่รู้เสียด้วยซ้ำ ว่ามันมีชื่ออย่างนั้น แม่ของมันมาออกลูกที่กองไม้เก่า ๆ ในบ้านผม โดยผมไม่ได้เลี้ยง
ดูเหมือนมันจะมีพี่น้องอยู่ด้วยกันสามตัว พอผมไปเห็นมันเข้าทั้งโขยง แม่ของมันก็คาบลูกไปแอบไว้ ที่บ้านอื่นหมด จนมันโตขนาดอดนมแล้ว จึงเข้ามาหากินในบ้านของผมอีก และมาตัวเดียว ไม่ทราบว่าแม่และพี่น้องของมันหายไปไหนหมด
ผมจำมันได้เพราะขนของมันเป็นสีขาวตลอดทั้งตัว มีสีดำแซมแต่เฉพาะปลายหู และปลายหางเท่านั้น มันมาป้วนเปี้ยนอยู่ในบ้านผม โดยที่ผมไม่ได้เลี้ยงดูเหมือนกัน มันหาอาหารกินเองตามถังขยะหรือมุดเข้าไปในซอกในมุมเพื่อหาหนู เพราะบ้านของ ผมเป็นบ้านไม้เก่าโทรม มีสัมภารกเกะกะมากมาย
โดยเฉพาะในครัวรุงรังไปด้วยหม้อข้าวหม้อแกงจานชาม และเครื่องครัวกองเกลื่อน ก็เป็นที่อาศัยของหนู พอตกกลางคืนก็ออกหากิน วิ่งกันให้คึ่กไปทั้งบ้าน
เจ้าแมวพเนจรตัวนี้ก็คอยนั่งจ้องมอง อยู่ตามเส้นทางที่หนูจะวิ่งผ่าน ก็ได้ผลพอสมควร หนูชักจะซาลงไป
โดยไม่รู้ว่าโดนแมวตะครุบ หรือว่ามันหนีไปวิ่งที่บ้านอื่น
เมื่อโตเป็นสาวมันก็เป็นแมวเจ้าเสน่ห์ตัวหนึ่ง ไม่ว่ามันจะเยื้องกรายไปทางไหน เจ้าแมวหนุ่มทั้งขาวทั้งเหลือง ด่าง ดำ และลายเสือ ตามกันเป็นพรวน
ผม ต้องทนฟังเสียงพวกมันร้องเปี๊ยวป๊าวกันอยู่หลายคืน จนวันหนึ่งผมก็พบว่านังตัวดีนอนอยู่ที่หน้าบ้าน มีแผลถลอกเลือดแดงที่คอด้านหลังไม่ทราบว่าไปโดนอะไรมา มันเลียไม่ถึงต้องเลียอุ้งเท้าแล้วก็เอาไปเกาแผลเลยทำให้เหวอะหวะมากขึ้นทุกที นานเข้าก็ทำท่าจะลามไปรอบคอ
ผมเวทนามันเต็มทีก็เลยไปหายา จากร้านสัตวแพทย์มาขวดหนึ่ง เป็นยาน้ำสีม่วงคล้ายยาป้ายลิ้นเด็กอ่อน ครั้งแรกผมหลอกจับตัวมันให้นอนหมอบ มันคงนึกว่าผมจะช่วยมันได้บ้าง จึงยอมนอนแต่โดยดี พอเอายาราดที่แผลรอบคอ มันทั้งดิ้นทั้งข่วนถึงขั้นงับมือ ผมเลยต้องยอมปล่อย มันก็วิ่งไปสะบัดไปจนสีม่วงกระจายทั่วทุกหนทุกแห่ง ทำให้แม่บ้านของผมซึ่งไม่ชอบหน้ามันอยู่แล้ว บ่นเสียตั้งกระบุงโกย
ต่อจากนั้นมันก็ไม่ยอมเข้าใกล้ผมอีกเลย พอจะถึงตัวเป็นโดดหนีทุกทีจนเบื่อ ก็เป็นอันว่าสุดแล้วแต่เวรกรรมของมันเอง แล้วผมก็เลิกเอาใจใส่กับมันอีก เพราะไม่อยากเป็นทุกข์ไปกับมันด้วย
จนนานเป็นเดือนมันจึงโผล่หน้ามาให้เห็นอีกครั้ง บาดแผลเหวอะหวะหายแห้งไปแล้ว แต่มีแผลเป็นรอบคอขนไม่ขึ้น ผมก็เลยเรียกมันว่าอีแหว่งตั้งแต่นั้นมา
อีแหว่งก็เข้ามาหาอาหารด้วยวิธีเดิมของมัน แต่สังเกตว่ามันอุ้มท้องอุ้ยอ้ายขึ้นทุกที ผมก็ไม่ทราบว่าแมวมันใช้เวลาท้องนานสักเท่าไร
อยู่มาวันหนึ่งก็ได้ยินเสียงลูกแมวร้องกระจองอแง อยู่ใต้กองไม้ข้างรั้วที่เดิม อีกหลายวันต่อมาจึงได้เห็นว่ามันออกลูกมาสองตัว
ตัวหนึ่งสีขาวป้ายดำหลายแห่งคล้ายแม่ อีกตัวหนึ่งมีเหลืองแซม
เวลากลางวันส่วนใหญ่มันไม่ค่อยได้อยู่กับลูก ไม่ทราบว่าไปหากินที่ไหน ปล่อยให้ลูกร้องแง้ว ๆ พอตกเย็นจึงจะกลับมานอนให้ลูกกินนม พลางแกว่งหางช้า ๆ อย่างสบายอารมณ์ ปากก็เลียลูกตัวนั้นทีตัวนี้ที ดูท่าจะมีความสุขดี
แล้วอยู่ ๆ มันก็หายไปจากกองไม้นั้น ผมก็นึกว่ามันย้ายที่อยู่ แบบเดียวกับที่แม่ของมันเคยทำ จึงไม่สนใจ
แต่วันหนึ่งเข้าไปทำความสะอาดห้องลูกชาย ที่เขาไปทำงานต่างจังหวัด ปรากฎว่าอีแหว่งพาลูกเข้าไปอยู่ใต้ตู้เสื้อผ้า หาเศษกระดาษมาทำเป็นที่นอนอย่างดี แถมมีกลิ่นขี้เยี่ยวหึ่งไปทั้งห้อง
พอแหย่ไม้กวาดเข้าไปไล่ มันกลับแยกเขี้ยวใส่เสียอีก เลยต้องฟาดกันเป็นการใหญ่ ตัวมันก็วิ่งแจ้นหนีไป ผมจึงเอาลูกสองตัวไปวางไว้ที่กองไม้อย่างเดิม
นึกว่าจะหมดเรื่องแล้ว ที่ไหนได้ดันแอบคาบลูกเข้าไปซุกอยู่หลังตู้แขวนเสื้อ ในห้องรีดผ้าของแม่บ้าน และทำสกปรกเลอะเทอะอย่างเดิม เขาก็เลยไล่ฟาดกระเจิงไปทั้งแม่ลูก
อีแหว่งคาบลูกตัวขาวไปแอบใต้บันได เจ้าตัวเหลืองมุดลงช่องข้างเสาหล่นลงไปข้างล่าง ซึ่งเป็นฝ้ากระเบื้องเรียบของห้องชั้นล่าง ไม่มีทางตะกายขึ้นมาได้แน่ เพราะรูนิดเดียว นังแม่ก็ลงไปไม่ได้ ทีนี้เป็นเรื่องใหญ่แน่
ถ้าทำไม่รู้ไม่ชี้มันก็คงอดตาย แต่ก่อนตายมันก็คงร้องจนเราประสาทเสียเหมือนกัน แถมจะเน่าเหม็นไปทั้งบ้านอีกด้วย
ผมคิดหาหนทางช่วยชีวิตเจ้าเหลืองอยู่เกือบทั้งวัน ลงท้ายก็พยายามงัดไม้กระดานพื้นที่ใกล้เสาที่สุดออกจนสำเร็จ พอจะเป็นช่องให้มือล้วงเข้าไปได้ แต่ก็มองไม่เห็นตัวมัน ได้ยินแต่เสียงร้องแง้ว ๆ
จึงต้องไปอุ้มเอาอีแหว่งมาช่วย ทั้ง ๆ ที่มันดิ้นตะกุยตะกายจะข่วนผมอยู่ตลอดเวลา พอวางมันลงใกล้ช่องข้างเสา ได้ยินเสียงลูกร้องดังแว่ว ๆ มันก็โดดผลุงลงรูไปเลย เป็นอันว่าเจ้าเหลืองรอดตายแน่ แต่มันจะพาลูกออก ไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้เหมือนกัน
ปรากฎว่าผมคิดผิดถนัด มันรอจนค่ำจึงออกจากรูมาตัวเดียว ผมร้องทัก มันแต่ไกลว่าสบายดีหรือ มันไม่สนใจวิ่งลงบันไดไปคาบเจ้าลูกตัวขาว มุดผลุบลงไปอยู่ใต้ช่องนั้นอย่างว่องไว โดยผมไม่ทันรู้ตัว
คราวนี้ใครก็ตามไปทำอะไรมันไม่ได้ มันมีบ้านอยู่ อย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องเสียค่าเช่า ในนั้นมืดสนิทอาจมีหนูวิ่งเซ่อซ่าเข้ามาให้มันตะครุบไว้เป็นอาหารวันละสามมื้อก็ได้ แถมจะทำสกปรกให้เหม็นหึ่งขึ้นมาอีกด้วย
ผมฉิวมันจริง ๆ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ต้องคอยเฝ้าดูพฤติกรรมของมันอยู่ พอเห็นมันเยี่ยมหน้าออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์แล้ว อยากเอาอะไรขว้างให้หัวแบะ แต่พอใครเข้าใกล้มันก็ผลุบหายไปทันที
ผมทำใจเย็นรอให้อีแหว่งออกจากรู ไปเที่ยวหากิน อย่างเคย เหลือแต่ลูกโผล่หน้าออกมาสองตัว พอเห็นผมก็ผลุบเข้าไป ตามที่แม่ของมันสั่งสอนไว้
ผมได้ความคิดจึงเอาไม้มาปิดช่องทางไว้เสีย ไม่ให้แม่มันกลับไปหาลูกได้ ทิ้งไว้ตลอดวัน อีแหว่งก็จนปัญญาที่จะลงไปหาลูก พอมันหายไปอีกผมก็เปิดไม้กระดาน แล้วหลบหน้าไปเสีย ลูกสองตัวที่หิวเต็มแก่ก็ตะกายออกมา เดินต้วมเตี้ยมร้องหาแม่
ผมก็หิ้วคอมันเอาลงไปไว้ที่กองไม้ตามเดิม แล้วก็ปิดไม้กระดานให้เรียบร้อย เป็นอันเสร็จพิธี คราวนี้ต้องคอยระวังปิดประตูบ้าน ไม่ให้มันเข้ามาก่อเรื่องได้อีก
มันอยู่นอกบ้านต่อมาอีกเป็นเดือน จนลูกสองตัวโตขึ้น อีแหว่งก็สอนให้ลูกเล่นยิมนาสติก กระโดดไปกระโดดมา คว้าสิ่งที่เคลื่อ่นไหวผ่านหน้า สอนวิธีจับสัตว์ตัวเล็กมากินหรือหยอกเล่น สอนให้ปีนต้นไม้ และการลับเล็บกับโคนไม้ ซึ่งทำเอาบรรดาต้นไม้เล็ก ๆ ที่ปลูกไว้ในกระถาง เหี่ยวเฉาหักยับเยินไปตามกัน ด้วยฝีมือฝีตีนของสามแม่ลูกนี้
ปลงแล้วปลงอีกก็ไม่ไหว ไล่ทางนี้ก็หนีไปอยู่ทางโน้น ไม่ยอมออกจากบ้าน
อยู่มาคืนหนึ่งมีเสียงลูกแมวตัวน้อย ๆ ร้องแง้ว ๆ อยู่ข้างบ้าน ผมนึกในใจว่าอีแหว่งมันไปไหนของมัน ทิ้งลูกให้ร้องหนวกหูอยู่ได้ ทำให้เป็นกังวลนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ ตามเสียงของมันอยู่ตลอดคืน
เช้าขึ้นลงไปดูปรากฎว่าเป็นลูกแมวอ่อน ๆ ลายเสือยังไม่ลืมตา คลานเปะปะส่งเสียงร้องจนคอแหบแห้ง ไม่รู้ว่าหลุดมาจากไหนได้ยังไง แต่ไม่ไกลกันนั้น อีแหว่งกับลูกสองตัวนอนกินนมกันเฉย เหมือนไม่ได้ร้องภาษาเดียวกัน
ผมรู้สึกสงสารเจ้าแมวน้อย จึงหิ้วมันไปวางไว้ข้างอีแหว่ง หวังว่ามันจะเมตตาให้กินนมด้วย แต่มันดม ๆ แล้วก็ลุกขึ้นเดินหนีไปเฉย เจ้าลูกสองตัวก็กระโดดตามไปด้วย ผมตามไปหิ้วมันมากดไว้ใกล้ ๆ เจ้าลายเสือผู้น่าสงสาร มันกลับแยกเขี้ยวขู่ฟ่อ ไม่รู้ว่าจะกัดลูกแมว หรือกัดผม ก็เลยต้องปล่อยตามใจมัน
น่าแปลกที่เคยเห็นในทีวี แม่หมายังยอมให้ลูกแมวกินนมได้ ทั้ง ๆ ที่มันเป็นสัตว์คู่อาฆาตกัน แต่นี่แมวพันธุ์เดียวกันแท้ ๆ กลับไม่สนใจ ผมเลยด่ามันตามหลังว่า อีแมวใจดำ ไม่รู้มันเจ็บหรือเปล่า
วันรุ่งขึ้นบ้านข้างเคียงจึงมารับลูกแมว ไปอยู่กับครอบครัวของมัน หมดเวรไปอีกที
ตั้งแต่นั้นมา ผมเจอหน้าอีแหว่งทีไร เป็นต้องไล่ฟาดกันทุกครั้ง เพราะ เกลียดความใจจืดใจดำของมันเข้าใส้ แถมยังเคียดแค้นไปถึงต้นหมากรากไม้ที่ยับเยินไปเพราะฝีตีนการฝึกสอนอาชีพ ให้ลูกสองตัวของมัน รวมทั้งที่มันเคยทำสกปรกเลอะเทอะบนบ้านอีกหลายครั้งหลายหน
นึกอยากให้มันอดตายอยู่ใต้พื้นเสียทั้งครอก ตั้งแต่ตอนนั้นก็หมดเรื่องไปแล้ว ซึ่งความคิดร้ายกาจของผมนี้มันคงจะไม่รู้ แต่ก็อาจจะสงสัยว่าทำไมผม จึงเปลี่ยนไปเล่นบทโหด ควงไม้กวาดฟาดกระบาลมันอยู่เรื่อย
จนกระทั่งเช้ามืดวันหนึ่ง ผมตื่นแล้วจะออกไปใส่บาตร ได้ยินเสียงร้องเมี้ยว ๆ อยู่ในครัว เดาว่าอีแหว่งคงแอบเข้ามาค้างอยู่เป็นแน่ จึงฉวยเอาไม้กวาดติด มือไปด้วย
พอเปิดประตูครัวและเปิดไฟ ก็เห็นภาพที่ทำให้ต้องชงัก และใจอ่อนลงอย่างไม่น่าเชื่อ
อีแหว่งนั่งอยู่บนขาหลังของมัน ตามแบบที่แมวทั่วไปชอบนั่ง มันเงยหน้าขึ้นมองสบตาผม พลางร้องเมี้ยว ๆ แล้วก้มลงดูสิ่งที่อยู่ใต้อุ้งเท้าขวาของมัน เหมือนจะบอกให้ผมรับของฝากจากมันยังงั้นแหละ
ผมเอาไม้กวาดพิงแอบข้างฝาแล้วก็ถอยเปิดทางให้มันออกไปโดยดี มันก็ยังไม่ยอมไป คงจ้องหน้าผมร้องขอความเห็นใจอยู่อย่างนั้น
ผมคิดเอาเองว่ามันคงจะขออภัย ที่ทำให้ผมเสียใจและผิดหวังในตัวมัน มันจึงหาของกำนัลมาประจบผม เหมือนอย่างที่คนชอบทำ ๆ กัน
ถึงผมจะยอมยกโทษให้แก่ความใจดำของมันแล้ว แต่เป็นตายอย่างไร ผมก็ไม่ยอมรับของฝากจากมันแน่
เพราะมันเป็นแค่ หนูตัวหนึ่งที่ตายแล้ว เท่านั้น.
##########
พ.ศ.๒๕๔๙