Boyhood
ชีวิตสมจริง
ความสมจริง ที่ต้องใช้เวลานานมากว่า 12 ปี ในการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ คือ ที่สุด ของเทคนิคการถ่ายทำภาพยนตร์ ที่แทบไม่ต้องใช้เทคนิคพิเศษด้านคอมพิวเตอร์ การแต่งหน้า หรือแม้แต่ อุปกรณ์ประกอบฉากร่วมสมัย เพราะทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นไปตามยุคสมัยที่หนังดำเนินไป วิธีการดังกล่าวเปรียบเหมือนกับการกลับไปใช้เทคนิคโบราณที่ถ่ายทำกันไปตามระยะเวลาตามจริง หรือมองอีกทางหนึ่ง มันคือเทคนิคที่ต้องใช้ความอดทนเพื่อปล่อยให้เวลาเดินไปอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วใช้ความมานะที่จะตามถ่ายทำเรื่องราวในช่วงเวลานั้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ถึงแม้ในความเป็นจริงแล้ว ความสามารถในการแต่งหน้าเพื่อทำให้นักแสดงแก่สมวัยตามช่วงเวลาของเรื่อง หรือแม้แต่การทำให้รูปร่างของนักแสดงเปลี่ยนไปตามใจต้องการนั้น จะเป็นเรื่องที่ง่ายมากที่โลกภาพยนตร์ทุกวันนี้จะเนรมิตให้ และก็อาจจะทำได้เสมอเหมือนกับที่หนังเรื่องนี้ทำออกมาโดยไม่ต้องใช้เวลามากถึง 12 ปี แต่ความจริง ก็คือความจริง ความจริงนั้นก็คือว่า นักแสดงในเรื่องมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติและเป็นไปตามกาลเวลาที่แท้จริง ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่สิ่งสำคัญเลยหากเราไม่ทราบมาก่อนถึงกระบวนการในการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ หรืออาจจะอดสงสัยไม่ได้ถึงเทคนิคที่ใช้ แต่เมื่อได้ทราบ เราก็คงอดทึ่งไม่ได้ว่า ทำไมต้องทำขนาดนี้!
นอกจากพัฒนาการของตัวละครทุกตัวในเรื่องที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลาอย่างสมจริงและเป็นธรรมชาติแล้ว เรายังได้เห็นความเป็นไปของการดำเนินชีวิตของผู้คนที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย ดังจะเห็นได้ชัดเจนจากเทคโนโลยีที่ค่อยๆเข้ามามีอิทธิพลในชีวิตประจำวันของมนุษย์ เริ่มตั้งแต่เกมพกพาที่ให้ความบันเทิง มาจนกระทั่งสมาร์ทโฟนที่ใช้เป็นเครื่องมือสื่อสาร รวมไปถึงเฟซบุ้คที่กลายเป็นโลกเสมือนที่เราใช้ติดต่อกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว และนี่เอง คือสิ่งที่เราไม่สามารถหาได้จากหนังเรื่องอื่นใด นอกจากเรื่องนี้
ในส่วนของเรื่องราวที่หนังต้องการนำเสนอนั้นถือว่าค่อนข้างจะธรรมดาและไม่มีความน่าสนใจอะไรเป็นพิเศษ เพราะแก่นเรื่องของหนังก็คือการเล่าความเป็นไปของชีวิตของเด็กชายคนหนึ่งและคนในครอบครัวของเขา รวมไปถึงผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ตั้งแต่เด็กน้อยคนนี้อายุ 5 ปีจนกระทั่งเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 18 ปี แต่บนความธรรมดานี้เอง มันคือความจริงทั่วไปที่เรารับรู้และเข้าใจกันอยู่แล้ว ทั้งในแบบที่ลึกซึ้งและแค่เพียงรับรู้แล้วก็ผ่านไป มันคือความจริงที่ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างสมจริงทั้งเรื่องของเวลาและเรื่องราวที่นำเสนอ
นอกจากนี้ การวิพากษ์วิจารณ์ความเป็นไปและแนวทางใช้ชีวิตของมนุษย์ผ่านบทสนทนาของตัวละครตลอดทั้งเรื่อง ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นลูกดอกที่พุ่งใส่คนดูเพื่อให้ฉุกคิดและตั้งข้อสงสัยในชีวิตขึ้นมา กล่าวคือ นี่ไม่ใช่หนังที่แค่นำเสนอเรื่องราวชีวิตของมนุษย์ แต่ยังตั้งกล้าคำถามถึงความเป็นไปในชีวิตของเราทุกคนอีกด้วย
แค่คิดที่จะทำหนังแบบนี้ก็ว่าบ้าแล้ว แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาคือ หนังซึ่งจะถูกจดจำไปอีกนานแสนนาน
ขอบพระคุณโรงหนัง #HouseRCA ในโอกาสฉลองครอบ 10 ปี ให้ได้ดูหนังเรื่องนี้ฟรีและก่อนใครครับ
https://www.facebook.com/watchnwrite
[SR] Boyhood ชีวิตสมจริง
Boyhood
ชีวิตสมจริง
ความสมจริง ที่ต้องใช้เวลานานมากว่า 12 ปี ในการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ คือ ที่สุด ของเทคนิคการถ่ายทำภาพยนตร์ ที่แทบไม่ต้องใช้เทคนิคพิเศษด้านคอมพิวเตอร์ การแต่งหน้า หรือแม้แต่ อุปกรณ์ประกอบฉากร่วมสมัย เพราะทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นไปตามยุคสมัยที่หนังดำเนินไป วิธีการดังกล่าวเปรียบเหมือนกับการกลับไปใช้เทคนิคโบราณที่ถ่ายทำกันไปตามระยะเวลาตามจริง หรือมองอีกทางหนึ่ง มันคือเทคนิคที่ต้องใช้ความอดทนเพื่อปล่อยให้เวลาเดินไปอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วใช้ความมานะที่จะตามถ่ายทำเรื่องราวในช่วงเวลานั้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ถึงแม้ในความเป็นจริงแล้ว ความสามารถในการแต่งหน้าเพื่อทำให้นักแสดงแก่สมวัยตามช่วงเวลาของเรื่อง หรือแม้แต่การทำให้รูปร่างของนักแสดงเปลี่ยนไปตามใจต้องการนั้น จะเป็นเรื่องที่ง่ายมากที่โลกภาพยนตร์ทุกวันนี้จะเนรมิตให้ และก็อาจจะทำได้เสมอเหมือนกับที่หนังเรื่องนี้ทำออกมาโดยไม่ต้องใช้เวลามากถึง 12 ปี แต่ความจริง ก็คือความจริง ความจริงนั้นก็คือว่า นักแสดงในเรื่องมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติและเป็นไปตามกาลเวลาที่แท้จริง ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่สิ่งสำคัญเลยหากเราไม่ทราบมาก่อนถึงกระบวนการในการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ หรืออาจจะอดสงสัยไม่ได้ถึงเทคนิคที่ใช้ แต่เมื่อได้ทราบ เราก็คงอดทึ่งไม่ได้ว่า ทำไมต้องทำขนาดนี้!
นอกจากพัฒนาการของตัวละครทุกตัวในเรื่องที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลาอย่างสมจริงและเป็นธรรมชาติแล้ว เรายังได้เห็นความเป็นไปของการดำเนินชีวิตของผู้คนที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย ดังจะเห็นได้ชัดเจนจากเทคโนโลยีที่ค่อยๆเข้ามามีอิทธิพลในชีวิตประจำวันของมนุษย์ เริ่มตั้งแต่เกมพกพาที่ให้ความบันเทิง มาจนกระทั่งสมาร์ทโฟนที่ใช้เป็นเครื่องมือสื่อสาร รวมไปถึงเฟซบุ้คที่กลายเป็นโลกเสมือนที่เราใช้ติดต่อกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว และนี่เอง คือสิ่งที่เราไม่สามารถหาได้จากหนังเรื่องอื่นใด นอกจากเรื่องนี้
ในส่วนของเรื่องราวที่หนังต้องการนำเสนอนั้นถือว่าค่อนข้างจะธรรมดาและไม่มีความน่าสนใจอะไรเป็นพิเศษ เพราะแก่นเรื่องของหนังก็คือการเล่าความเป็นไปของชีวิตของเด็กชายคนหนึ่งและคนในครอบครัวของเขา รวมไปถึงผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ตั้งแต่เด็กน้อยคนนี้อายุ 5 ปีจนกระทั่งเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 18 ปี แต่บนความธรรมดานี้เอง มันคือความจริงทั่วไปที่เรารับรู้และเข้าใจกันอยู่แล้ว ทั้งในแบบที่ลึกซึ้งและแค่เพียงรับรู้แล้วก็ผ่านไป มันคือความจริงที่ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างสมจริงทั้งเรื่องของเวลาและเรื่องราวที่นำเสนอ
นอกจากนี้ การวิพากษ์วิจารณ์ความเป็นไปและแนวทางใช้ชีวิตของมนุษย์ผ่านบทสนทนาของตัวละครตลอดทั้งเรื่อง ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นลูกดอกที่พุ่งใส่คนดูเพื่อให้ฉุกคิดและตั้งข้อสงสัยในชีวิตขึ้นมา กล่าวคือ นี่ไม่ใช่หนังที่แค่นำเสนอเรื่องราวชีวิตของมนุษย์ แต่ยังตั้งกล้าคำถามถึงความเป็นไปในชีวิตของเราทุกคนอีกด้วย
แค่คิดที่จะทำหนังแบบนี้ก็ว่าบ้าแล้ว แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาคือ หนังซึ่งจะถูกจดจำไปอีกนานแสนนาน
ขอบพระคุณโรงหนัง #HouseRCA ในโอกาสฉลองครอบ 10 ปี ให้ได้ดูหนังเรื่องนี้ฟรีและก่อนใครครับ
https://www.facebook.com/watchnwrite