จากกระทู้
http://ppantip.com/topic/32380563 นี้ผมมาอ่านนึกๆแล้วคล้ายกับเหตุการณ์ที่บ้านผมเคยผ่านมา เลยเอามาแชร์ครับ
เมื่อ 4 ปีก่อน ก่อนที่คุณยายผมก่อนเสียแกก็มีอาการย้ำคิดย้ำทำและซึมเศร้า คือท่านป่วยด้วยโรคไตวาย ปัสวะสีขุ่น พอต่อมาเดินแทบไม่ไหว แล้วท่านก็เปลี่ยนไป โดยท่าน หงุดหงิดง่าย โมโหร้าย เคยเดินเอาไม้มาจะตีผมที่บ้านด้วย (บ้านผมกับบ้านยายอยู่แยกกัน ห่างกันไม่มาก) หาว่าทำงานได้เงินเดือนแล้วไม่เอามาให้ท่าน ท่านด่าผมว่าเนรคุณ -- ผมอธิบายว่าผมทำงานได้ก็มีค่าใช้จ่าย ค่ารถ ค่าน้ำมัน ค่ากินใช้ส่วนตัว แล้วเงินเดือนที่ได้ก็ไม่มากแค่หมื่นต้นๆต่อเดือน ให้บ้านได้แค่เดือนละสองสามพัน -- ท่านก็ไม่ฟัง -- พอตัดใจจะให้เงินท่านแล้วท่านก็ไม่เอาตวาดใส่ผมว่า -ูไม่เอาเงินของ -ึง แถมยังร้องไห้ร้องห่ม หาว่าแม่ผม ที่ดูแลท่านอยู่ใจร้าย ไม่ดูแลไม่ให้เงินให้ทองท่านใช้ คือแม่ผมก็ลำบากนะ ต้องทำไร่ ขายของ แล้วดูแลท่าน ทำกับข้าวกับปลาให้ท่านกิน อีก อย่าง ฐานนะทางบ้านเราก็ไม่ค่อยดีแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาให้ท่านเก็บไว้ ตลอดเวลาท่านไม่ยอมรับความจริงว่าอาการท่านหนักพอมีญาติมาเยี่ยมท่านก็จะร้องไห้ร้องห่มบอกว่าถ้าหายจะขอเงินญาติๆไปปลูกพริก ปลูกมะเขือขาย--ว่าไปนั่น-- แต่อยู่ตามลำพังท่านจะโมโหร้ายมากจนผมสุขภาพจิตจะเสีย ต้องกลับไปอยู่หอที่เช่าไว้ในตัวเมือง ไม่นานประมาณเดือนเศษๆ ท่านก็เสียไป
พอท่านเสียไปหลายปีแล้วผมได้กลับมา ทบทวนสิ่งที่คุณยายผมเคยเป็นสรุปได้ว่า
1. เพราะเมื่อยังแข็งแรงอยู่ ท่านมีปมในใจเรื่องป้าลูกสาวคนโตของยายเป็นโรคประสาท และได้รับการรักษาไม่ถูกต้องในตอนแรกโดยพาไปหาเจ้าเข้าทรงไม่ไปหาหมอโรงพยาบาลประสาท ทำให้เป็นโรคจิตเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเป็นนางฟ้านางสวรรค์เป็นคุณนายคุณหญิง จนไม่ยอมไปไหนจึงพาไปหาหมอไม่ได้ และมีความเครียด เรื่องงานในสวนในไร่ และหนีสิน ธกส. รวมทั้งเงินเก็บหมดเพราะน้าชายผม น้องของแม่เอาเงินของตายายไปใช้ซื้อรถยนต์และผ่อนไฟแนนซ์จนหมดตัว
2. พอตาผมเสียชีวิต ด้วยโรคมะเร็งไปก่อนท่านล้มป่วยตามเพราะแบกรับภาระไม่ไหว แม้แม่ผมบอกจะชดใช้ให้ แต่ท่านก็คิดมาก
3. พอท่านป่วยหนักๆ สุขภาพจิตท่านก็เสีย เลยมีอาการซึมเศร้า แต่แสดงออกด้วยอาการหงุดหงิด โมโหร้าย และย้ำคิดย้ำทำ คิดแต่เรื่องเงินๆ
ทุกวันนี้ ครอบครัวผมยังต้องดูแลคุณป้าที่ป่วยเป็นโรคประสาทอยู่ โดยชอบพูดพึมพำคนเดียว คุยด้วยรู้เรื่องแค่สองสามนาทีแรก จากนั้นก็หลุดเข้าสู่โหมดพึมพำคนเดียวอีกครั้ง ชอบเก็บสะสมข้าวของแต่ไม่ใช้ และชอบใส่ชุดเก่าๆ ใครเอาชุดใหม่มาให้แกก็จะเก็บ และท่านชอบทำกับข้าว แต่ทำไม่เป็นเมนูอะไรเลยคือมั่วๆไปหมด เช่นทำข้าวต้มใส่น้ำปลาครึ่งขวด ต้มจืดเส้นหมี่แถมปล่อยให้บูด หุงข้าวต้มใส่ใข่ดิบลงไป ที่บ้านเลยตกลงว่าทำกับข้าวส่งไปให้ และยังไม่ยอมไปไหนมาไหน แถมเป็นมานานหลายปีมากจนบัตรประชาชนของท่านหมดอายุ+หายหมด เลยพาไปรักษาไม่ได้
วิธีการรับมือ
1.คือทำใจก่อนครับ ออกจากบ้านหรือสถานที่นั้นก่อน อาจจะใจดำแต่เราไม่ไหวจริงๆ ถ้าเราเอาตัวไม่รอดแล้วเราจะช่วยใครได้ อย่างผมที่ต้องมานอนหอพักทั้งๆที่มีบ้านอยู่
2.วางแผนการเงินครับ ปัญหาที่บ้านผมเจอมาจากการขาดวินัยการเงินของบ้าน สะสมมาหลายสิบปี ทำให้คุณยายเครียดเรื่องเงินจนย้ำคิดย้ำทำเรื่องเงินๆอย่างเดียว
3.วางแผนครอบครัว โดยเฉพาะถ้าหาก สมาชิกในครอบครัวป่วยเราจะรับมืออย่างไร พาไปหาหมอที่ไหน อย่างบ้านผมที่ทำพลาด เอาคุณป้าช่วงที่เพิ่งป่วยไปหาพวกหลอกลวงทรงเจ้า พอกลับมาไม่หายเลยครับเป็นหนักกว่าเก่า ถ้าไปหาหมอจิตเวช คงได้รับการบำบัดให้มีอาการดีขึ้นและอยู่ร่วมกับคนในสังคมได้ แต่บ้านผมไม่ทำ เพราะอายที่มีลูกสาวเป็นคนสติไม่ดีต้องเข้าโรงพยาบาลบ้า ตามทัศนคติของคนเมื่อ 20 ปีก่อน ทำให้ทุกวันนี้คุณป้าอยู่คนเดียวในบ้านเข้ากับใครในสังคมไม่ได้
แชร์ประสบการณ์ มีครอบครัวที่คุณยายโมโหร้ายก่อนตาย และคุณป้าที่เป็นโรคประสาท
เมื่อ 4 ปีก่อน ก่อนที่คุณยายผมก่อนเสียแกก็มีอาการย้ำคิดย้ำทำและซึมเศร้า คือท่านป่วยด้วยโรคไตวาย ปัสวะสีขุ่น พอต่อมาเดินแทบไม่ไหว แล้วท่านก็เปลี่ยนไป โดยท่าน หงุดหงิดง่าย โมโหร้าย เคยเดินเอาไม้มาจะตีผมที่บ้านด้วย (บ้านผมกับบ้านยายอยู่แยกกัน ห่างกันไม่มาก) หาว่าทำงานได้เงินเดือนแล้วไม่เอามาให้ท่าน ท่านด่าผมว่าเนรคุณ -- ผมอธิบายว่าผมทำงานได้ก็มีค่าใช้จ่าย ค่ารถ ค่าน้ำมัน ค่ากินใช้ส่วนตัว แล้วเงินเดือนที่ได้ก็ไม่มากแค่หมื่นต้นๆต่อเดือน ให้บ้านได้แค่เดือนละสองสามพัน -- ท่านก็ไม่ฟัง -- พอตัดใจจะให้เงินท่านแล้วท่านก็ไม่เอาตวาดใส่ผมว่า -ูไม่เอาเงินของ -ึง แถมยังร้องไห้ร้องห่ม หาว่าแม่ผม ที่ดูแลท่านอยู่ใจร้าย ไม่ดูแลไม่ให้เงินให้ทองท่านใช้ คือแม่ผมก็ลำบากนะ ต้องทำไร่ ขายของ แล้วดูแลท่าน ทำกับข้าวกับปลาให้ท่านกิน อีก อย่าง ฐานนะทางบ้านเราก็ไม่ค่อยดีแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาให้ท่านเก็บไว้ ตลอดเวลาท่านไม่ยอมรับความจริงว่าอาการท่านหนักพอมีญาติมาเยี่ยมท่านก็จะร้องไห้ร้องห่มบอกว่าถ้าหายจะขอเงินญาติๆไปปลูกพริก ปลูกมะเขือขาย--ว่าไปนั่น-- แต่อยู่ตามลำพังท่านจะโมโหร้ายมากจนผมสุขภาพจิตจะเสีย ต้องกลับไปอยู่หอที่เช่าไว้ในตัวเมือง ไม่นานประมาณเดือนเศษๆ ท่านก็เสียไป
พอท่านเสียไปหลายปีแล้วผมได้กลับมา ทบทวนสิ่งที่คุณยายผมเคยเป็นสรุปได้ว่า
1. เพราะเมื่อยังแข็งแรงอยู่ ท่านมีปมในใจเรื่องป้าลูกสาวคนโตของยายเป็นโรคประสาท และได้รับการรักษาไม่ถูกต้องในตอนแรกโดยพาไปหาเจ้าเข้าทรงไม่ไปหาหมอโรงพยาบาลประสาท ทำให้เป็นโรคจิตเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเป็นนางฟ้านางสวรรค์เป็นคุณนายคุณหญิง จนไม่ยอมไปไหนจึงพาไปหาหมอไม่ได้ และมีความเครียด เรื่องงานในสวนในไร่ และหนีสิน ธกส. รวมทั้งเงินเก็บหมดเพราะน้าชายผม น้องของแม่เอาเงินของตายายไปใช้ซื้อรถยนต์และผ่อนไฟแนนซ์จนหมดตัว
2. พอตาผมเสียชีวิต ด้วยโรคมะเร็งไปก่อนท่านล้มป่วยตามเพราะแบกรับภาระไม่ไหว แม้แม่ผมบอกจะชดใช้ให้ แต่ท่านก็คิดมาก
3. พอท่านป่วยหนักๆ สุขภาพจิตท่านก็เสีย เลยมีอาการซึมเศร้า แต่แสดงออกด้วยอาการหงุดหงิด โมโหร้าย และย้ำคิดย้ำทำ คิดแต่เรื่องเงินๆ
ทุกวันนี้ ครอบครัวผมยังต้องดูแลคุณป้าที่ป่วยเป็นโรคประสาทอยู่ โดยชอบพูดพึมพำคนเดียว คุยด้วยรู้เรื่องแค่สองสามนาทีแรก จากนั้นก็หลุดเข้าสู่โหมดพึมพำคนเดียวอีกครั้ง ชอบเก็บสะสมข้าวของแต่ไม่ใช้ และชอบใส่ชุดเก่าๆ ใครเอาชุดใหม่มาให้แกก็จะเก็บ และท่านชอบทำกับข้าว แต่ทำไม่เป็นเมนูอะไรเลยคือมั่วๆไปหมด เช่นทำข้าวต้มใส่น้ำปลาครึ่งขวด ต้มจืดเส้นหมี่แถมปล่อยให้บูด หุงข้าวต้มใส่ใข่ดิบลงไป ที่บ้านเลยตกลงว่าทำกับข้าวส่งไปให้ และยังไม่ยอมไปไหนมาไหน แถมเป็นมานานหลายปีมากจนบัตรประชาชนของท่านหมดอายุ+หายหมด เลยพาไปรักษาไม่ได้
วิธีการรับมือ
1.คือทำใจก่อนครับ ออกจากบ้านหรือสถานที่นั้นก่อน อาจจะใจดำแต่เราไม่ไหวจริงๆ ถ้าเราเอาตัวไม่รอดแล้วเราจะช่วยใครได้ อย่างผมที่ต้องมานอนหอพักทั้งๆที่มีบ้านอยู่
2.วางแผนการเงินครับ ปัญหาที่บ้านผมเจอมาจากการขาดวินัยการเงินของบ้าน สะสมมาหลายสิบปี ทำให้คุณยายเครียดเรื่องเงินจนย้ำคิดย้ำทำเรื่องเงินๆอย่างเดียว
3.วางแผนครอบครัว โดยเฉพาะถ้าหาก สมาชิกในครอบครัวป่วยเราจะรับมืออย่างไร พาไปหาหมอที่ไหน อย่างบ้านผมที่ทำพลาด เอาคุณป้าช่วงที่เพิ่งป่วยไปหาพวกหลอกลวงทรงเจ้า พอกลับมาไม่หายเลยครับเป็นหนักกว่าเก่า ถ้าไปหาหมอจิตเวช คงได้รับการบำบัดให้มีอาการดีขึ้นและอยู่ร่วมกับคนในสังคมได้ แต่บ้านผมไม่ทำ เพราะอายที่มีลูกสาวเป็นคนสติไม่ดีต้องเข้าโรงพยาบาลบ้า ตามทัศนคติของคนเมื่อ 20 ปีก่อน ทำให้ทุกวันนี้คุณป้าอยู่คนเดียวในบ้านเข้ากับใครในสังคมไม่ได้