ภาพที่เผยแพร่คือภาพ "คณะอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธการทหารบก
ฝึกอบรมศาสนพิธีการ ณ ห้องประชุมพระพุทธสิงห์ชัยมงคล กองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารบก"
ด้วยกองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารบก เป็นหน่วยงานกำกับดูแลงานด้านการพัฒนาจิตใจกำลังพล ผ่านการอบรม การสอน ศีลธรรมและวัฒนธรรมทหาร ตลอดจนอำนวยการ ดำเนินการด้านศาสนพิธี เพื่อบำรุงขวัญเป็นสำคัญ และดำเนินการกิจการนี้มา 96 ปีแล้ว จากพระมหากรุณาธิคุณในล้นเกล้ารัชกาลที่ 6
และเพื่อให้อนุศาสนาจารย์ใหม่ ตลอดจนข้าราชการทหารที่สนใจฝึกฝนงานด้านศาสนพิธี
จึงมีการฝึกอบรมทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เพื่อความแม่นยำ ไม่คลาดเคลื่อน ทั้งวัสดุอุปกรณ์ในพิธี และลำดับพิธีการ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานแนวคิด "พิธีการฐานแห่งระเบียบวินัย"
เหตุดังนี้ การฝึกอบรม ซึ่งดำเนินการเป็นการภายใน "เฉพาะกลุ่ม" จึงได้กำหนดบทบาทสมมติ สถานการณ์จำลอง เพื่อความเข้าใจตรงกันของผู้เข้ารับการฝึกอบรม โดยใช้สถานที่ภายในหน่วย และสิ่งอุปกรณ์การฝึกของหน่วย (กองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารบก) โดยสมมติบทบาทของผู้ฝึก เป็นพิธีกรบ้าง เป็นเจ้าหน้าที่บ้าง เป็นประธานบ้าง เป็นผู้ร่วมพิธีบ้าง
และรวมไปถึงเป็นพระสงฆ์บ้าง
ทั้งนี้อยู่บนพื้นฐานคารวธรรม ไม่มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นแม้แต่น้อย เพราะโดยเจตนาปรารภก็เพื่อรักษา สืบทอด ประเพณีพิธีการต่าง ๆ ไม่ให้ผิดเพี้ยนจากที่บรรพชนประพฤติปฏิบัติกันมา
สรุปสั้น ๆ เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ "ภาพที่ปรากฏว่ามีทหารนั่งบนอาสนะสงฆ์ ทำท่าคล้ายพระสงฆ์ประกอบพิธีกรรมนั้น เป็นเพียงการฝึกภาคปฏิบัติ เพื่อความเข้าใจชัดในขั้นตอนและบทบาทของบุคคลที่เกี่ยวข้อง และทำด้วยความเคารพต่อพระรัตนตรัย ไม่มีเจตนาอันเป็นอกุศล"
.............................
เข้าใจครับ
แต่ประเด็นคือ ทำไมต้องถึงขนาดนี้ ต้องสมมุติเป็นพระสงฆ์ขนาดนี้ ไม่เหมาะไม่ควรด้วยประการทั้งปวง
พิธีกรรมทางศาสนา ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากซับซ้อนเกินไป เด็กประถมก็เรียนก็ฝึกกันอยู่ ทำได้ทำเป็นกันอยู่
การจัดเตรียมอุปกรณ์ ความแม่นยำในการประกอบพิธี มันแค่รูปแบบ
สิ่งที่ควรเน้น คือเนื้อหา คือความเข้าใจในธรรมต่างหาก คือการถ่ายทอดหลักธรรมต่อบุคลากรในกองทัพต่างหาก
ก็ติติงมาในฐานะประชาชนคนหนึ่ง พุทธศาสนิกชนคนหนึ่ง ที่เห็นว่าไม่เหมาะไม่ควร
ไม่ใช่พิธีสวนสนามลูกเสือ ที่ต้องสมมุติว่ามีประธานในพิธี
ด้วยความปรารถนาดีครับ
ผมคาใจ คงไม่เป็นไรนะครับ wm
ภาพที่เผยแพร่คือภาพ "คณะอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธการทหารบก ฝึกอบรมศาสนพิธีการ ณ ห้องประชุมพระพุทธสิงห์ชัยมงคล กองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารบก"
ด้วยกองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารบก เป็นหน่วยงานกำกับดูแลงานด้านการพัฒนาจิตใจกำลังพล ผ่านการอบรม การสอน ศีลธรรมและวัฒนธรรมทหาร ตลอดจนอำนวยการ ดำเนินการด้านศาสนพิธี เพื่อบำรุงขวัญเป็นสำคัญ และดำเนินการกิจการนี้มา 96 ปีแล้ว จากพระมหากรุณาธิคุณในล้นเกล้ารัชกาลที่ 6
และเพื่อให้อนุศาสนาจารย์ใหม่ ตลอดจนข้าราชการทหารที่สนใจฝึกฝนงานด้านศาสนพิธี จึงมีการฝึกอบรมทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เพื่อความแม่นยำ ไม่คลาดเคลื่อน ทั้งวัสดุอุปกรณ์ในพิธี และลำดับพิธีการ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานแนวคิด "พิธีการฐานแห่งระเบียบวินัย"
เหตุดังนี้ การฝึกอบรม ซึ่งดำเนินการเป็นการภายใน "เฉพาะกลุ่ม" จึงได้กำหนดบทบาทสมมติ สถานการณ์จำลอง เพื่อความเข้าใจตรงกันของผู้เข้ารับการฝึกอบรม โดยใช้สถานที่ภายในหน่วย และสิ่งอุปกรณ์การฝึกของหน่วย (กองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารบก) โดยสมมติบทบาทของผู้ฝึก เป็นพิธีกรบ้าง เป็นเจ้าหน้าที่บ้าง เป็นประธานบ้าง เป็นผู้ร่วมพิธีบ้าง และรวมไปถึงเป็นพระสงฆ์บ้าง
ทั้งนี้อยู่บนพื้นฐานคารวธรรม ไม่มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นแม้แต่น้อย เพราะโดยเจตนาปรารภก็เพื่อรักษา สืบทอด ประเพณีพิธีการต่าง ๆ ไม่ให้ผิดเพี้ยนจากที่บรรพชนประพฤติปฏิบัติกันมา
สรุปสั้น ๆ เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ "ภาพที่ปรากฏว่ามีทหารนั่งบนอาสนะสงฆ์ ทำท่าคล้ายพระสงฆ์ประกอบพิธีกรรมนั้น เป็นเพียงการฝึกภาคปฏิบัติ เพื่อความเข้าใจชัดในขั้นตอนและบทบาทของบุคคลที่เกี่ยวข้อง และทำด้วยความเคารพต่อพระรัตนตรัย ไม่มีเจตนาอันเป็นอกุศล"
.............................
เข้าใจครับ
แต่ประเด็นคือ ทำไมต้องถึงขนาดนี้ ต้องสมมุติเป็นพระสงฆ์ขนาดนี้ ไม่เหมาะไม่ควรด้วยประการทั้งปวง
พิธีกรรมทางศาสนา ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากซับซ้อนเกินไป เด็กประถมก็เรียนก็ฝึกกันอยู่ ทำได้ทำเป็นกันอยู่
การจัดเตรียมอุปกรณ์ ความแม่นยำในการประกอบพิธี มันแค่รูปแบบ
สิ่งที่ควรเน้น คือเนื้อหา คือความเข้าใจในธรรมต่างหาก คือการถ่ายทอดหลักธรรมต่อบุคลากรในกองทัพต่างหาก
ก็ติติงมาในฐานะประชาชนคนหนึ่ง พุทธศาสนิกชนคนหนึ่ง ที่เห็นว่าไม่เหมาะไม่ควร
ไม่ใช่พิธีสวนสนามลูกเสือ ที่ต้องสมมุติว่ามีประธานในพิธี
ด้วยความปรารถนาดีครับ