ตามที่มีจม.ของ SCB ส่งมาถึง SCBLIF เมื่อวาน ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นสาร์นลั่นกองรบของ SCB พร้อมประกาศสงครามกับรายย่อยทุกคนแบบ Agressive อย่างมาก เป็นเรื่องที่ทำให้สิ่งที่ผมเคยคิดเคยเชื่ออยู่ยิ่งมั่นใจมากขึ้นไปอีกว่า SCB หวง SCBLIF อย่างมากและ เล็งเห็นถึงศักยภาพของธุรกิจนี้ในระยะยาว ดังนั้นยิ่งทำให้ผมรู้สึกไม่อยากขายสมบัติอันล้ำค่าตัวนี้มากยิ่งขึ้นไปอีก แม้ SCB พยายามดิสเครดิตทรัพย์สินที่ตัวเองถืออยู่ 95% ทำตัวเป็นนอสตราดามุสด้วยการพยากรณ์ล่วงหน้าว่าธุรกิจนี้จะกำไรลดลงอย่างมากในอนาคต โดยอ้างถึงสัญญา DA (Exclusivity or Preferencial Distribution Agreement) ที่จะทำกับ SCBLIF หลังจาก Delist แล้ว
ซึ่งมันไม่ต่างจากการผ่องถ่ายทรัพย์สิน หรือแม่ที่เฉือนเนื้อลูกตัวเองมากิน
ผมอยากให้รายย่อยที่ถืออยู่ตั้งสติและสมาธิให้ดีๆครับ อย่าตกหลุมพรางเขาด้วยการขายหุ้นออก งานนี้อาจมีแจ็คผู้ฆ่ายักษ์เวอร์ชั่นใหม่ เท่าที่อ่านดูหนังสือตอบโต้รายย่อยแสดงถึงอาการร้อนรน อยู่ไม่เป็นสุขของผู้บริหาร SCB อย่างชัดเจน เป็นมวยก็ถือนักมวยแชมเปี้ยนที่เป็นต่อสุดกู่มาชกอุ่นเครื่องกับมวยโนเนม แต่กลับโดนหมัดหลงกระแทกปลายคางจนขาสั่น เสียทรง เสียรังวัดไปเยอะ การตอบโต้ของจม.ฉบับนี้แทรกไปด้วยอารมณ์ โทสะ เคียดแค้น ชิงชัง กระวนกระวาย อยู่ในเนื้อหา เพราะไม่คิดว่าจะโดนเด็กเมื่อวานซืนที่ไม่อยู่ในสายตามาถอนหงอกได้ถึงเพียงนี้ ตอนนี้ถ้าจะตอบโต้ ต้องใช้กลยุทธ รวมตัวให้ติด และกำจัดจุดอ่อน เน้นไปที่คนเซ็นต์จม.ฉบับนี้ (คงไม่ต้องบอกว่าใคร) อย่าพึ่งเหวี่ยงแห เพราะในเนื้อหา เค้าพยายามสื่อให้เรารู้ว่า เค้าก็ทำเพื่อปกป้องและรักษาผลประโยชน์ของผถห. SCB โดยให้เกิดความคาดหวังในผลประโยชน์อย่าง DA ซึ่งแท้จริงแล้วเค้ากำลังเฉือนเนื้อลูกตัวเองมากิน มันไม่มีประโยชน์อันใด ดังนั้นเพชรก็ยังเป็นเพชร ถึงแม้จะพยายามบอกว่ามันไม่ใช่เพชรหรอก มันเป็นแค่ก้อนหินธรรมดา ขายให้เดี๊ยนเถอะ คุณไปหลอกได้แต่เด็กอมมือเท่านั้น แต่นี่คือรายย่อยSCBLIF ที่ล้วนเต็มไปด้วยยอดฝีมือครับ!!!!!
บทแทรก
------------------------------------------------------------------------------
เอาดีล ของไทยประกันชีวิตที่ขายให้ เมจิยาสึดะ เมื่อปีที่แล้วมาเทียบได้ครับ
15% มูลค่า 21,770 ล้านบาท หรือที่ market cap 145,133 ล้านบาท
กำไรงวดไตรมาส 1 ปี 2557 ที่ผ่านมา TLI กำไรสุทธิ 1,304.54 ล้านบาท SCBLIF กำไรสุทธิ 1,468.97 ล้านบาท
market cap SCBLIF ตอนนี้ 72,751 ล้านบาท ถูกกว่าดีลนั้นครึ่งนึง!?
เป็นไปได้ว่า Embedded Value ของไทยประกันชีวิตจะมากกว่า แต่น่าจะแพ้ growth ที่มากกว่าของ SCBLIF
การประเมินมูลค่าจะคูณจำนวนเท่าของ VNB ที่มากกว่าและน่าจะทำให้มูลค่าของ SCBLIF มากกว่า TLI
เบี้ยรับรวม 4 เดือนแรก TLI 18,384 ล้านบาท SCBLIF 16,084 ล้านบาท
เบี้ยรับรายใหม่ 4 เดือนแรก TLI 2,984 ล้านบาท SCBLIF 6,286 ล้านบาท
เหมือนมีที่ดินอยู่สุขุมวิท ข้างบ้านเค้าขายที่ดินปีที่แล้วได้ตารางวาละ 1 ล้านบาท แต่มีคนมาขอซื้อที่ดินของเราตอนนี้ที่ตารางวาละ 5 แสนบาท ทั้งที่ที่ดินเราใกล้รถไฟฟ้า BTS มากกว่า
Credit : คุณ Random Walk
------------------------------------------------------------------------------
หากอิงข้อมูลดังกล่าวน่าสนใจที่ว่าราคาที่ SCB ขอซื้อคืนนั้นที่ 1117.25 บาท ต่อหุ้นนั้น ถูกเกินจริงไปเกือบครึ่ง นั่นคือมูลค่าเหมาะสมนั้นแท้จริงแล้วปัจจุบันควรอยู่ที่ประมาณ 2000 บาทต่อหุ้นขึ้นไป
ถ้ามองในแง่ P/E Ratio เชิงเปรียบเทียบกับหุ้นที่มีอยู่ในท้องตลาด และดูผลประกอบการไตรมาส 1/57 เป็นเกณฑ์ ราคาทำ Tender Offer ของ SCBLIF อยู่ที่ 12.6 เท่า ขณะที่อีก 2 ตัวคือ BLA อยู่ที่ 22.2 เท่า และ THREL อยู่ที่ 21.25 เท่า ที่ราคาปิดเมื่อวานคือ 80 และ 15.3 บาทตามลำดับ ซึ่งแสดงถึงความสอดคล้องต้องกันของข้อมูลคุณ Random Work แม้ว่า TLI จะไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ก็ตาม
กล่าวคือ การ Delist ออกจากตลาดหุ้นนั้น ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะบอกว่าราคา 1117.25 นั้นเหมาะสมแล้วในการขอซื้อคืนของ SCBLIF แต่ผมอยากจะบอกว่า ผมจะไม่ขายของดีเลิศในราคา 50% OnSale ให้กับธนาคารไทยพาณิชย์อย่างแน่นอนครับ
------------------------------------------------------------------------------------------------------
ในเรื่องราวที่ละเอียดกว่านั้น มีเหตุการณ์ความเป็นไปก่อนที่ SCB จะทำ Tender Offer ราคา ของ SCBLIF กำลังไต่ระดับตามผลประกอบการและสภาพตลาดที่เอื้ออำนวย แต่ก็มีสิ่งผิดปรกติต่อราคาหุ้นอยู่เป็นระยะ คือถูกกระชากราคาลงแบบแปลกๆถึง 2-3 ครั้ง เหมือนมีบางส่วนที่เริ่มรู้ข่าววงในก่อน โดยเกิดก่อนที่จะมีคำสั่ง H คือห้ามซื้อขาย แม้ว่าราคาหุ้นพยายามที่จะไต่ระดับต่อไป แต่ก็โดนกระชากราคากลับมาตลอด จนวันที่ 15 พค. ทางตลาดก็ได้ขึ้นคำสั่ง H พร้อมกับออกหนังสือโดย SCBLIF ดังนี้
โดยจากเนื้อหาในหนังสือฉบับนี้มีการกำหนดราคาแล้วเสร็จ โดยรายย่อยเองไม่มีทางเลยที่จะต่อรองนอกจากก้มหน้ารับกรรม ทางเลือกคือไม่ขายทิ้ง ก็ต้องทนถือต่อไปแม้ว่าจะต้องตามออกไปจากตลาด โดยกฏเกณฑ์ทุกอย่างที่อยู่ในกรอบของตลาดหลักทรัพย์นั้นซึ่งคุ้มครองรายย่อยและนักลงทุนทั่วไปจะถูกเพิกถอนออกไปด้วย และจากนั้นก็มีการประกาศงบไตรมาส 1/57 ในวันเดียวกันซึ่งปรากฏว่างบการเงินออกมาทำ all time high เป็นประวัติการณ์ดังนี้ครับ
ถามว่างบในไตรมาสนี้บอกอะไรแก่เรา สิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือการเติบโตของกำไรอย่างก้าวกระโดดถึง 22% Q-Q และหากเทียบเคียงทั้งปี คาดว่ากำไรน่าจะอยู่ระหว่าง 5,500-5,800 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้นราวๆ 85 บาท หรือคิดเป็น P/E เท่ากับเพียง 13 เท่า เทียบกับอัตราการเติบโตย้อนกลับไป 10 ปีอยู่ที่ 26.9% หากท่านเข้าใจเรื่องพื้นฐานอย่างดีในระดับหนึ่ง จะรู้เลยว่าราคานี้มี Discount มากเพียงใด โดยหากเทียบบริษัทประกันชีวิตคู่แข่งอย่าง BLA ซึ่งปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่ P/E ถึง 24 เท่าแล้ว ทั้งที่ความจริงโดยละเอียดพื้นฐานของ SCBLIF ดีกว่า BLA ด้วยซ้ำ โดยอัตราการเติบโตที่ผ่านมาของ SCBLIF และการคาดการณ์ในอนาคตผมเคยได้ทำเป็นตารางไว้ในหน้าเฟสผมเอง ขอนำมาลงเพิ่มเติมดังนี้ครับ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ปล. มีความเป็นจริงอีกข้อที่ผมขอเรียนให้ทุกท่านที่มีใจรักความถูกต้องและความเป็นธรรมาภิบาลได้ทราบว่า จากพ.ร.บ.ประกันชีวิตและพ.ร.บ.ประกันวินาศภัย พ.ศ.2551 กำหนดให้บริษัทประกันภัยทุกแห่งแปลงสภาพเป็นบริษัทมหาชน (บมจ.) ภายในปี 2556 หากไม่ทันขยายเวลาให้อีก 3 ปีถึงปี 2559 แต่ช่วงต่อเวลาบริษัทประกันภัยไม่สามารถขยายธุรกิจได้ แม้ว่าจะไม่ได้บังคับให้ต้องจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ก็ตาม แต่สิ่งที่ SCB ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่กำลังทำอยู่กลับสวนทางเจตนารมณ์พรบ.ฉบับนี้ด้วยการเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์และพยายามหาทางซื้อคืนจากผู้ถือหุ้นรายย่อยด้วยราคาที่ตัวเองพอใจเพื่อให้เป็นผู้ถือหุ้นแต่เพียงผู้เดียว 100 % โดยไม่ฟังเสียงของรายย่อยแม้แต่น้อย เข้าเกณฑ์ใช้เสียงส่วนใหญ่บังคับเสียงส่วนน้อยเอาตามใจชอบใช่หรือไม่ ดังนั้นสิ่งที่ท่านกำลังอยู่ หากทำสำเร็จท่านจะเหลือความเป็นมหาชนตรงไหนครับ ????????
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หมายเหตุ ถ้าเห็นว่ากระทู้นี้เป็นการต่อสู้และเรียกร้องความยุติธรรมให้กับรายย่อยด้วยกัน แม้ท่านจะไม่ได้ถือหุ้นตัวนี้อยู่ก็ตาม ขอความกรุณาช่วยกด + ด้วยครับ ผมอยู่เฉยมานาน แต่เห็นจม.ขู่ฟอดๆกับรายย่อยด้วยกันแล้วรู้สึกว่าต้องสู้บ้าง แม้เราจะมีแค่จอบ เสียม ก็ต้องเอามาสู้กับยักษ์ละครับ
SCBLIF สงครามที่รอวันประทุ
ตามที่มีจม.ของ SCB ส่งมาถึง SCBLIF เมื่อวาน ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นสาร์นลั่นกองรบของ SCB พร้อมประกาศสงครามกับรายย่อยทุกคนแบบ Agressive อย่างมาก เป็นเรื่องที่ทำให้สิ่งที่ผมเคยคิดเคยเชื่ออยู่ยิ่งมั่นใจมากขึ้นไปอีกว่า SCB หวง SCBLIF อย่างมากและ เล็งเห็นถึงศักยภาพของธุรกิจนี้ในระยะยาว ดังนั้นยิ่งทำให้ผมรู้สึกไม่อยากขายสมบัติอันล้ำค่าตัวนี้มากยิ่งขึ้นไปอีก แม้ SCB พยายามดิสเครดิตทรัพย์สินที่ตัวเองถืออยู่ 95% ทำตัวเป็นนอสตราดามุสด้วยการพยากรณ์ล่วงหน้าว่าธุรกิจนี้จะกำไรลดลงอย่างมากในอนาคต โดยอ้างถึงสัญญา DA (Exclusivity or Preferencial Distribution Agreement) ที่จะทำกับ SCBLIF หลังจาก Delist แล้ว ซึ่งมันไม่ต่างจากการผ่องถ่ายทรัพย์สิน หรือแม่ที่เฉือนเนื้อลูกตัวเองมากิน
ผมอยากให้รายย่อยที่ถืออยู่ตั้งสติและสมาธิให้ดีๆครับ อย่าตกหลุมพรางเขาด้วยการขายหุ้นออก งานนี้อาจมีแจ็คผู้ฆ่ายักษ์เวอร์ชั่นใหม่ เท่าที่อ่านดูหนังสือตอบโต้รายย่อยแสดงถึงอาการร้อนรน อยู่ไม่เป็นสุขของผู้บริหาร SCB อย่างชัดเจน เป็นมวยก็ถือนักมวยแชมเปี้ยนที่เป็นต่อสุดกู่มาชกอุ่นเครื่องกับมวยโนเนม แต่กลับโดนหมัดหลงกระแทกปลายคางจนขาสั่น เสียทรง เสียรังวัดไปเยอะ การตอบโต้ของจม.ฉบับนี้แทรกไปด้วยอารมณ์ โทสะ เคียดแค้น ชิงชัง กระวนกระวาย อยู่ในเนื้อหา เพราะไม่คิดว่าจะโดนเด็กเมื่อวานซืนที่ไม่อยู่ในสายตามาถอนหงอกได้ถึงเพียงนี้ ตอนนี้ถ้าจะตอบโต้ ต้องใช้กลยุทธ รวมตัวให้ติด และกำจัดจุดอ่อน เน้นไปที่คนเซ็นต์จม.ฉบับนี้ (คงไม่ต้องบอกว่าใคร) อย่าพึ่งเหวี่ยงแห เพราะในเนื้อหา เค้าพยายามสื่อให้เรารู้ว่า เค้าก็ทำเพื่อปกป้องและรักษาผลประโยชน์ของผถห. SCB โดยให้เกิดความคาดหวังในผลประโยชน์อย่าง DA ซึ่งแท้จริงแล้วเค้ากำลังเฉือนเนื้อลูกตัวเองมากิน มันไม่มีประโยชน์อันใด ดังนั้นเพชรก็ยังเป็นเพชร ถึงแม้จะพยายามบอกว่ามันไม่ใช่เพชรหรอก มันเป็นแค่ก้อนหินธรรมดา ขายให้เดี๊ยนเถอะ คุณไปหลอกได้แต่เด็กอมมือเท่านั้น แต่นี่คือรายย่อยSCBLIF ที่ล้วนเต็มไปด้วยยอดฝีมือครับ!!!!!
บทแทรก
------------------------------------------------------------------------------
เอาดีล ของไทยประกันชีวิตที่ขายให้ เมจิยาสึดะ เมื่อปีที่แล้วมาเทียบได้ครับ
15% มูลค่า 21,770 ล้านบาท หรือที่ market cap 145,133 ล้านบาท
กำไรงวดไตรมาส 1 ปี 2557 ที่ผ่านมา TLI กำไรสุทธิ 1,304.54 ล้านบาท SCBLIF กำไรสุทธิ 1,468.97 ล้านบาท
market cap SCBLIF ตอนนี้ 72,751 ล้านบาท ถูกกว่าดีลนั้นครึ่งนึง!?
เป็นไปได้ว่า Embedded Value ของไทยประกันชีวิตจะมากกว่า แต่น่าจะแพ้ growth ที่มากกว่าของ SCBLIF
การประเมินมูลค่าจะคูณจำนวนเท่าของ VNB ที่มากกว่าและน่าจะทำให้มูลค่าของ SCBLIF มากกว่า TLI
เบี้ยรับรวม 4 เดือนแรก TLI 18,384 ล้านบาท SCBLIF 16,084 ล้านบาท
เบี้ยรับรายใหม่ 4 เดือนแรก TLI 2,984 ล้านบาท SCBLIF 6,286 ล้านบาท
เหมือนมีที่ดินอยู่สุขุมวิท ข้างบ้านเค้าขายที่ดินปีที่แล้วได้ตารางวาละ 1 ล้านบาท แต่มีคนมาขอซื้อที่ดินของเราตอนนี้ที่ตารางวาละ 5 แสนบาท ทั้งที่ที่ดินเราใกล้รถไฟฟ้า BTS มากกว่า
Credit : คุณ Random Walk
------------------------------------------------------------------------------
หากอิงข้อมูลดังกล่าวน่าสนใจที่ว่าราคาที่ SCB ขอซื้อคืนนั้นที่ 1117.25 บาท ต่อหุ้นนั้น ถูกเกินจริงไปเกือบครึ่ง นั่นคือมูลค่าเหมาะสมนั้นแท้จริงแล้วปัจจุบันควรอยู่ที่ประมาณ 2000 บาทต่อหุ้นขึ้นไป
ถ้ามองในแง่ P/E Ratio เชิงเปรียบเทียบกับหุ้นที่มีอยู่ในท้องตลาด และดูผลประกอบการไตรมาส 1/57 เป็นเกณฑ์ ราคาทำ Tender Offer ของ SCBLIF อยู่ที่ 12.6 เท่า ขณะที่อีก 2 ตัวคือ BLA อยู่ที่ 22.2 เท่า และ THREL อยู่ที่ 21.25 เท่า ที่ราคาปิดเมื่อวานคือ 80 และ 15.3 บาทตามลำดับ ซึ่งแสดงถึงความสอดคล้องต้องกันของข้อมูลคุณ Random Work แม้ว่า TLI จะไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ก็ตาม
กล่าวคือ การ Delist ออกจากตลาดหุ้นนั้น ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะบอกว่าราคา 1117.25 นั้นเหมาะสมแล้วในการขอซื้อคืนของ SCBLIF แต่ผมอยากจะบอกว่า ผมจะไม่ขายของดีเลิศในราคา 50% OnSale ให้กับธนาคารไทยพาณิชย์อย่างแน่นอนครับ
------------------------------------------------------------------------------------------------------
ในเรื่องราวที่ละเอียดกว่านั้น มีเหตุการณ์ความเป็นไปก่อนที่ SCB จะทำ Tender Offer ราคา ของ SCBLIF กำลังไต่ระดับตามผลประกอบการและสภาพตลาดที่เอื้ออำนวย แต่ก็มีสิ่งผิดปรกติต่อราคาหุ้นอยู่เป็นระยะ คือถูกกระชากราคาลงแบบแปลกๆถึง 2-3 ครั้ง เหมือนมีบางส่วนที่เริ่มรู้ข่าววงในก่อน โดยเกิดก่อนที่จะมีคำสั่ง H คือห้ามซื้อขาย แม้ว่าราคาหุ้นพยายามที่จะไต่ระดับต่อไป แต่ก็โดนกระชากราคากลับมาตลอด จนวันที่ 15 พค. ทางตลาดก็ได้ขึ้นคำสั่ง H พร้อมกับออกหนังสือโดย SCBLIF ดังนี้
โดยจากเนื้อหาในหนังสือฉบับนี้มีการกำหนดราคาแล้วเสร็จ โดยรายย่อยเองไม่มีทางเลยที่จะต่อรองนอกจากก้มหน้ารับกรรม ทางเลือกคือไม่ขายทิ้ง ก็ต้องทนถือต่อไปแม้ว่าจะต้องตามออกไปจากตลาด โดยกฏเกณฑ์ทุกอย่างที่อยู่ในกรอบของตลาดหลักทรัพย์นั้นซึ่งคุ้มครองรายย่อยและนักลงทุนทั่วไปจะถูกเพิกถอนออกไปด้วย และจากนั้นก็มีการประกาศงบไตรมาส 1/57 ในวันเดียวกันซึ่งปรากฏว่างบการเงินออกมาทำ all time high เป็นประวัติการณ์ดังนี้ครับ
ถามว่างบในไตรมาสนี้บอกอะไรแก่เรา สิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือการเติบโตของกำไรอย่างก้าวกระโดดถึง 22% Q-Q และหากเทียบเคียงทั้งปี คาดว่ากำไรน่าจะอยู่ระหว่าง 5,500-5,800 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้นราวๆ 85 บาท หรือคิดเป็น P/E เท่ากับเพียง 13 เท่า เทียบกับอัตราการเติบโตย้อนกลับไป 10 ปีอยู่ที่ 26.9% หากท่านเข้าใจเรื่องพื้นฐานอย่างดีในระดับหนึ่ง จะรู้เลยว่าราคานี้มี Discount มากเพียงใด โดยหากเทียบบริษัทประกันชีวิตคู่แข่งอย่าง BLA ซึ่งปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่ P/E ถึง 24 เท่าแล้ว ทั้งที่ความจริงโดยละเอียดพื้นฐานของ SCBLIF ดีกว่า BLA ด้วยซ้ำ โดยอัตราการเติบโตที่ผ่านมาของ SCBLIF และการคาดการณ์ในอนาคตผมเคยได้ทำเป็นตารางไว้ในหน้าเฟสผมเอง ขอนำมาลงเพิ่มเติมดังนี้ครับ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ปล. มีความเป็นจริงอีกข้อที่ผมขอเรียนให้ทุกท่านที่มีใจรักความถูกต้องและความเป็นธรรมาภิบาลได้ทราบว่า จากพ.ร.บ.ประกันชีวิตและพ.ร.บ.ประกันวินาศภัย พ.ศ.2551 กำหนดให้บริษัทประกันภัยทุกแห่งแปลงสภาพเป็นบริษัทมหาชน (บมจ.) ภายในปี 2556 หากไม่ทันขยายเวลาให้อีก 3 ปีถึงปี 2559 แต่ช่วงต่อเวลาบริษัทประกันภัยไม่สามารถขยายธุรกิจได้ แม้ว่าจะไม่ได้บังคับให้ต้องจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ก็ตาม แต่สิ่งที่ SCB ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่กำลังทำอยู่กลับสวนทางเจตนารมณ์พรบ.ฉบับนี้ด้วยการเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์และพยายามหาทางซื้อคืนจากผู้ถือหุ้นรายย่อยด้วยราคาที่ตัวเองพอใจเพื่อให้เป็นผู้ถือหุ้นแต่เพียงผู้เดียว 100 % โดยไม่ฟังเสียงของรายย่อยแม้แต่น้อย เข้าเกณฑ์ใช้เสียงส่วนใหญ่บังคับเสียงส่วนน้อยเอาตามใจชอบใช่หรือไม่ ดังนั้นสิ่งที่ท่านกำลังอยู่ หากทำสำเร็จท่านจะเหลือความเป็นมหาชนตรงไหนครับ ????????
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หมายเหตุ ถ้าเห็นว่ากระทู้นี้เป็นการต่อสู้และเรียกร้องความยุติธรรมให้กับรายย่อยด้วยกัน แม้ท่านจะไม่ได้ถือหุ้นตัวนี้อยู่ก็ตาม ขอความกรุณาช่วยกด + ด้วยครับ ผมอยู่เฉยมานาน แต่เห็นจม.ขู่ฟอดๆกับรายย่อยด้วยกันแล้วรู้สึกว่าต้องสู้บ้าง แม้เราจะมีแค่จอบ เสียม ก็ต้องเอามาสู้กับยักษ์ละครับ