ยุคใหม่ของเชลซี

นับตั้งแต่ได้เงินทุนมหาศาลของ โรมัน อบราโมวิช เข้ามาเกื้อหนุนทุกๆ ซัมเมอร์ของเชลซีมักมีอะไรให้น่าติดตามไม่แพ้ระหว่างฤดูกาล


เราได้เห็นการเปลี่ยนทีมระดับยกเครื่องหลายต่อหลายครั้งโดยเฉพาะหลังจบฤดูกาลที่ล้มเหลว ไม่มีถ้วยแชมป์ใดๆ

เคลาดิโอ รานิเอรี่, โชเซ่ มูรินโญ่, หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่, คาร์โล อันเชลอตติ, อันเดร วิลลาช-โบอาช, โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ และมูรินโญ่อีกรอบ

ทุกคนล้วนแต่สร้างทีมด้วยเม็ดเงินของเสี่ยหมี

มากบ้าง-น้อยบ้าง เข้าเป้าบ้าง-ไม่เข้าบ้าง

ซัมเมอร์นี้ก็ไม่มีอะไรผิดเพี้ยนไปจากที่ผ่านๆ มา

แต่ในการทุ่มทุนสร้างล่าสุดของมูรินโญ่ก็ทำให้เชลซีดูจะย้อนแย้งกันพอสมควร

คือมีทั้งภาพของเชลซี "ยุคใหม่" และ "ยุคเก่า" ปะปนกัน

มูรินโญ่บอกเองว่าตอนนี้เขากำลังสร้าง "นิวเชลซี" ขึ้นมา และจะเป็นทีมที่เดินหน้าคว้าแชมป์เพื่อเริ่มต้นยุคแห่งความยิ่งใหญ่ขึ้นอีกครั้ง

ซัมเมอร์ที่แล้วมูรินโญ่เข้ามารับช่วงต่อจาก ราฟา เบนิเตซ ซึ่งขุมกำลังในทีมก็มีทั้งคนที่ต้องการและไม่ต้องการใช้งาน

กุนซือโปรตุกีสไม่ได้ทำทีมจากจุดที่เริ่มต้นจริงๆ แต่ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนทีมเรื่อยมา

ข้ามช่วงซัมเมอร์ที่แม้จะได้ผู้เล่นอย่าง อันเดร เชือร์เล่, วิลเลี่ยน, มาร์โก ฟาน กิงเคล และ ซามูเอล เอโต้ มาร่วมทีม แต่ก็ยังดูไม่ใช่ในแบบที่มูรินโญ่ต้องการแบบจริงๆ จังๆ นัก

การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงคือในช่วงตลาดหน้าหนาว

ฆวน มาต้า ที่ว่ากันว่าไม่ใช่สไตล์ที่มูรินโญ่ชื่นชอบ ถูกปล่อยให้คู่แข่งอย่างแมนฯ ยูไนเต็ดอย่างไม่แยแสแลกกับเงิน 37.1 ล้านปอนด์

และที่ประสบความสำเร็จที่สุดในทางธุรกิจคือการขาย ดาวิด ลุยซ์ ให้กับปารีส แซงต์-แชร์กแมง ถึง 50 ล้านปอนด์ในช่วงซัมเมอร์

เมื่อรวมกับ เควิน เดอ บรอยน์ ในช่วงเดียวกับมาต้าที่ทำเงินได้ถึง 16.5 ล้านปอนด์ กลายเป็นว่า มูรินโญ่ปล่อย 3 ผู้เล่นที่ไม่ต้องการออกไป และได้เงินกลับคืนมาไม่ต่ำกว่า "หนึ่งร้อยล้านปอนด์"

ไม่บ่อยนักที่ทีมอย่างเชลซีจะเป็นผู้ชนะในตลาดซื้อขายนักเตะเพราะส่วนใหญ่มักขาดทุนย่อยยับ

ในช่วงหน้าหนาว มูรินโญ่เริ่มดึงผู้เล่นใหม่ที่ต้องการมาอย่าง เนมานย่า มาติช และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ซึ่งรายแรกกลายเป็นตัวหลักในทันที

ขณะที่ ควร์ท ซูม่า เซนเตอร์ดาวรุ่งฝรั่งเศสเพิ่งเข้าสู่ทีมเต็มตัวในช่วงปรีซีซั่นหลังเซ็นย้ายในเดือนมกราคมและถูกปล่อยยืมกลับไปแซงต์-เอเตียนอีกรอบ

ทว่าทั้งหมดก็ไม่น่าสนใจเท่ากับการปรับเปลี่ยนทีมในช่วงซัมเมอร์

ดีเอโก้ คอสต้า, เชส ฟาเบรกาส และ ฟิลิปเป้ หลุยส์ คือการเสริมทัพที่ได้ใจแฟนบอลเป็นอย่างมาก และต่างเป็นผู้เล่นที่มูรินโญ่ต้องการจริงๆ




ฤดูกาลที่ผ่านมามูรินโญ่แสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจกับผลงานของกองหน้าที่มีอยู่ไม่ว่าจะเป็น เฟร์นานโด ตอร์เรส, ซามูเอล เอโต้ หรือว่า เดมบา บา

แถมการตัดสินใจที่ผิดพลาดยังย้อนมาเล่นงานตัวเขาเองเพราะดันเลือกปล่อย โรเมลู ลูกากู ให้เอฟเวอร์ตันยืมตัวแทนที่จะเก็บไว้ใช้เองทั้งที่ผลงานไม่ได้เป็นรอง 3 หัวหอกรุ่นพี่

หลายครั้งที่เชลซีมักตายในจังหวะสุดท้ายเพราะกองหน้าไม่เด็ดขาดมากพอ

ทุกคนได้รับโอกาส แต่ก็ไม่มีใครดีพอยึดตัวจริงระยะยาวได้

การมาของคอสต้าจึงน่าจะเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุดและเป็นสิ่งที่มูรินโญ่พอใจเป็นอย่างมากที่สามารถดึงหัวหอกทีมชาติสเปนมาร่วมทีมได้สำเร็จ

เขาเปรียบเปรยว่ามีหลายอย่างที่คอสต้าเหมือน ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ไม่ว่าจะเป็นพละกำลัง ความแข็งแกร่ง และการรับมือในเกมที่กดดันและเจอกองหลังเขี้ยวๆ



ลูกกลางอากาศคอสต้าอาจเป็นรองดร็อกบา แต่จังหวะสอดเข้าพื้นที่ว่างทำได้ดีกว่า

มูรินโญ่เชื่ออย่างนั้น และเขายังมองว่า คอสต้าเหนือกว่าดร็อกบาตรงที่เป็น "สินค้าสำเร็จรูป" เปิดซองชงน้ำร้อนกินได้เลย

ตอนที่ดร็อกบามาเล่นให้เชลซีแรกๆ เพิ่งผ่านแค่เกมระดับลีก เอิง ฝรั่งเศส และมีประสบการณ์ในเวทียูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกไม่กี่นัด แถมยังไม่เคยเล่นฟุตบอลโลกอีกต่างหาก

ต่างจากคอสต้าที่พาตราหมีเป็นถึงแชมป์ลา ลีกาเมื่อฤดูกาลที่แล้ว และเข้าชิงถ้วยยุโรปใบใหญ่อีกต่างหาก

ประสบการณ์ในเกมใหญ่ที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดมีล้นเหลือ

กุนซือเชลซีเผยว่าเฝ้าติดตามพัฒนาการของคอสต้ามาตั้งแต่อายุ 17 ปี สมัยข้ามน้ำข้ามทะเลจากบราซิลมาเผชิญโชคที่โปรตุเกส

ล้มลุกคลุกคลานอยู่นานกว่าจะมาถึงจุดตรงนี้ซึ่งมูรินโญ่มองว่าการผ่านชีวิตแบบโชกโชนสร้างความแข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจให้กับลูกทีมคนใหม่เป็นอย่างดี

มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายในการทำให้แฟนแอต.มาดริดหลายคนลืม ราดาเมล ฟัลเกา ที่เพิ่งย้ายออกไป แต่ ดีเอโก้ คอสต้า ก็ทำได้ในแบบของตัวเอง

สิ่งที่แฟนบอลเชลซีต้องลุ้นก็คือขอให้คอสต้ารักษาฟอร์มเหมือนที่พาตราหมีบินฉิวเมื่อฤดูกาลที่แล้วให้ได้ ไม่ใช่ฟอร์มตอนบอลโลกที่บราซิล

การมาของ เชส ฟาเบรกาส เป็นอีกคนที่น่าสนใจเพราะโปรไฟล์เก่าๆ สมัยสร้างชื่อกับอาร์เซน่อลไม่ธรรมดาและเคยเป็นถึงกัปตันทีมก่อนกลับไปเล่นให้บาร์เซโลน่าอีกครั้ง

ฟาเบรกาสคือตัวแทนที่เหมาะสมที่สุดในการอุดช่องว่างของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ที่อำลาทีมไป

กองกลางทีมชาติสเปนอยู่ในวัยที่ยังเล่นเกมระดับสูงได้อีกหลายปี ไม่มีปัญหากับการปรับตัวเข้ากับชีวิตในกรุงลอนดอน

ปัญหาเดียวที่เชสต้องเอาชนะให้ได้คงมีเพียงกระแสต่อต้านจากแฟนบอลอาร์เซน่อลหลายคนที่ไม่พอใจกับการย้ายทีมครั้งนี้ แต่เชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไปก็คงซาไปเอง

ส่วน ฟิลิปเป้ หลุยส์ ก็คล้ายๆ กับเชสที่มาเพื่อทดแทนคนเก่าซึ่งโรยราอย่าง แอชลี่ย์ โคล

เหมือนเปลี่ยนนอตตัวเก่าที่ผุพังด้วยตัวใหม่ที่แข็งแรง

อาจจะใช่ที่ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า คือตัวจริงในตำแหน่งแบ็กซ้ายเมื่อฤดูกาลก่อน แต่หากได้แบ็กซ้ายจริงๆ มาเล่นก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า ไม่ใช่โยกแบ็กขวามาทำหน้าที่

เมื่อได้หลุยส์มาร่วมทีมอัซปิลิกวยต้าก็ได้กลับมาประจำกราบขวาอย่างถนัด

บรานิสลาฟ อิวาโนวิช ก็กลายเป็นแบ็กอัพชั้นดีทั้งในตำแหน่งแบ็กขวาและเซนเตอร์ฮาล์ฟซึ่งตำแหน่งหลังไว้ใจได้มากกว่า ดาวิด ลุยซ์ แน่นอน

เพียงแค่ 3 คนนี้ที่เข้ามาเชลซีก็กลายเป็นทีมที่สมบูรณ์แบบอย่างมากและถูกยกให้เป็นเต็งหนึ่งที่จะคว้าแชมป์เคียงข้างกับแมนฯ ซิตี้ และบางแห่งทัพสิงห์บลูส์มีภาษีดีกว่าด้วยซ้ำ

การจากไปของแลมพาร์ดกับ แอชลี่ย์ โคล ทำให้ภาพเชลซีเดิมๆ เปลี่ยนไปเพราะทั้งคู่เล่นกับทีมมานานมาก โดยเฉพาะแลมพาร์ดที่อยู่มา 13 ฤดูกาลเต็ม

มันคงไม่ใช่ภาพที่แฟนบอลคุ้นเคยเท่าไหร่นักกับแดนกลางเชลซีที่ไม่มีแลมพ์สอีกต่อไป



และไม่ใช่เพียงแค่ 2 แข้งเก๋าชาวอังกฤษซึ่งเคยร่วมงานกับมูรินโญ่มาตั้งแต่ยุคแรก ที่กลายเป็นอดีตกับทีม ปีเตอร์ เช็ก ก็เป็นอีกคนที่มีโอกาสไปเช่นกัน

ติโบต์ กูร์กตัวส์ บ่มเพาะประสบการณ์ที่สเปนมามากพอถึง 3 ฤดูกาล และกลับมาพร้อมแย่งตำแหน่งมือหนึ่ง

นี่อาจจะเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีที่ตำแหน่งตัวจริงของ ปีเตอร์ เช็ก สั่นคลอนเพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยรู้สึกหวั่นกับตำแหน่งในทีมแม้จะมีช่วงที่ฟอร์มหลุดไปบ้าง

กูร์กตัวส์ดีพอที่จะเป็นมือหนึ่งแทนเช็ก แต่เช็กเองก็ดีเกินกว่าที่จะนั่งสำรอง

มูรินโญ่อยากเก็บมือกาวทั้ง 2 เอาไว้กับทีม แต่ก็เป็นเรื่องยากไม่น้อยเพราะเช็กเองคงไม่ยินยอมกับบทบาทสำรองง่ายๆ

ไม่มีแลมพาร์ดไม่มี แอชลี่ย์ โคล และ "อาจจะ" ไม่มี ปีเตอร์ เช็ก ยืนจังก้าระหว่างเสาอีกคน

เชลซีที่คุ้นเคยไม่มีอยู่แล้ว

ยังดีที่ จอห์น เทอร์รี่ ได้สัญญาใหม่อีกหนึ่งปี ไม่งั้นซัมเมอร์นี้จะกลายเป็นซัมเมอร์แห่งการ "ยกเครื่อง" อย่างแท้จริง

แต่กระนั้นในความ "ใหม่" ของผู้เล่นในทีม การมาของดร็อกบาที่ได้สัญญา 1 ปีก็ทำให้ภาพเก่าๆ ผุดขึ้นมาไม่น้อย

หัวหอกไอวอรี่โคสต์คืออีกหนึ่งตำนานสโมสรที่ร่วมกันสร้างความสำเร็จในยุคแรกของมูรินโญ่เคียงบ่าเคียงไหล่มาพร้อมกับ จอห์น เทอร์รี่, แฟร้งค์ แลมพาร์ด และ ปีเตอร์ เช็ก

2 ปีก่อนดร็อกบาคือคนสังหารจุดโทษพาเชลซีขึ้นถึงจุดสูงสุดด้วยตำแหน่งแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก่อนอำลาทีมไปหาความท้าทายในจีนและตุรกีและกลายเป็นฟรีเอเยนต์หลังจบฤดูกาลที่ผ่านมา

ดร็อกบาในวัย 36 ปีอาจจะไม่อันตรายเหมือนเดิม แต่มูรินโญ่ก็เชื่อว่าน่าจะมีเขี้ยวเล็บเหลืออยู่พอสมควร

ที่สำคัญคือการกลับมาสวมเสื้อน้ำเงินและลงเล่นในสแตมฟอร์ด บริดจ์ ต่อหน้าแฟนบอลอันเป็นที่รักก็คงช่วยปลุกไฟในตัวดร็อกบาให้ลุกโชนขึ้นอีกไม่น้อย

ดร็อกบาไม่ได้เข้ามาในฐานะหัวหอกเบอร์หนึ่งอยู่แล้ว และไม่ได้ถูกคาดหวังในระดับเดียวกับคอสต้าที่หนุ่มแน่นมากกว่า

ต่อให้ทั้งฤดูกาลไม่สามารถยิงได้เลยก็คงไม่ใช่การลงทุนที่สูญเปล่าอะไร

ตรงกันข้ามน่าจะเป็นสิ่งที่ได้ใจแฟนบอลมากกว่า

จะว่าไปก็คล้ายๆ กับวันที่ เธียร์รี่ อองรี กลับมาเล่นให้อาร์เซน่อลอีกครั้ง

อองรีกับดร็อกบาไม่ได้พีกเหมือนเก่าก่อน แต่แค่ตอนปรากฏตัวในสนามก็สร้างความสุขล้นเหลือให้กับแฟนบอลแล้ว

ดีไม่ดี ดร็อกบาอาจเป็นคนที่ช่วยให้มูรินโญ่สร้างเชลซีในแบบที่ต้องการได้ดีกว่าที่คิดเอาไว้ด้วยซ้ำเพราะมีวิญญาณของนักสู้เต็มเปี่ยมไม่แพ้เจ้านาย

มูรินโญ่จากทีมครั้งแรกในปี 2007 ขณะที่ดร็อกบาไปเมื่อปี 2012

ใครจะคิดล่ะว่าอีก 2 ปีถัดมา ทั้งคู่จะได้ร่วมงานกันอีกครั้ง...ในที่เดิมๆ ที่มีแรงหนุนสุดขั้วจากแฟนบอล

มูรินโญ่เคยมีทีมสุดยอดในยุคแรก แข็งแกร่งและทรงพลังไล่ตั้งแต่แดนหลังยันแดนหน้า

โมเดลสร้างทีมในยุคแรกถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งด้วยขุมกำลังชุดใหม่

ทีนี้ก็รอแค่ว่า "ความสำเร็จ" ชิ้นแรกจะปรากฏขึ้นเมื่อไหร่

ขอบคุณ เสือเตี้ย
Cr:http://www.ssballthai.in.th/boards/topic/1091927

เป็นแฟนไก่แต่อ่านบทความนี้แล้วรู้สึกว่าประวัติศาสตร์ของเชลซีดูจะยิ่งใหญ่มากจริงๆ
ส่วนตัวผมติดภาพทีมค้ำหัวในเมืองที่เริ่มกอบโกยความสำเร็จจากผู้เล่นชุดเก่ามากกว่า
พออ่านบทความนี้แล้วความคิดแวบเข้ามาในหัวว่า ผู้เล่นชุดสร้างประวัติศาสตร์ของทีมนี้
เดินจากไปหมดแล้ว เหมือนๆกับภาพทีมผู้ท้าชิงที่ค่อยๆเลือนหายไปเช่นกัน
ต่อจากนี้เชลซีดูจะเป็นทีมมีความเป็นแชมเปี้ยนให้รักษาไว้อย่างแท้จริง
ใครผ่านมาอ่านจนจบ ก็ถือซะว่าแฟนไก่คนนึงหาบทความมาอวยเชลซีก็แล้วกันครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่