ออฟฟิศอลเวง

แนะนำตัว
สวัสดีครับ ผมชื่อ "ดาบ" ครับใช้นามปากกาว่า Sethizice Liviaton เริ่มการเขียนนิยายตั้งแต่ปี 2006 (หรือก็คือ ตอนเข้ามหาลัยปี1 นั่นเอง)
ด้วยวิธีการจดลงสมุด (เรื่อง ออฟฟิศอลเวง ที่จะเล่าด้านล่างไม่ใช่เรื่องเดียวกับที่เขียนสมัยนั้นครับ ไว้จะเอามาลงอีกที)

ในส่วนของออฟิศอลเวงนั้น จะเขียนเป็นตอนๆ ต่อเนื่องบ้าง ไม่ต่อกันบ้าง และเป็นการยกตัวละครซึ่งล้วนเป็นพี่ๆ ในแผนกมาเขียน (เขียนให้เขาอ่านกันขำๆ) ฉะนั้นบางช่วงก็อาจจะไม่ได้บรรยายลักษณะตัวละครมากนัก แต่จะปรับปรุงในบทต่อๆไป

ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ  ยิ้ม
ป.ล. ออฟฟิศตอนแรกนี้เขียนโดยใช้เวลาประมาณครึ่งวัน เลยอาจจะรวบรัดไปหน่อย เค้าล้อเล่น


ออฟฟิศอลเวง ตอน ทริปหรรษาของแผนกการตลาด

    ณ หอคอยลุมพินีชั้น 103 บริษัท ฮาเฮลาลี จำกัด แผนกการตลาด ซึ่งประกอบไปด้วย
        ชัยทวัช – หัวหน้าแผนก ชายวัยกลางคนผอมสูง ฉายา สายลมทมิฬ
        ต้น – เจ๊ใหญ่ (นักรบเงาของชัยทวัช)
        เป้ – เจ้าแม่คอมพิวเตอร์ (คู่หูของต้น)
        นัท – ตัวฮาประจำแผนก
        ปุ้ย – ตัวชงประจำแผนก
        หนิง – ไอดอล

บรรยากาศช่วงสายวันหนึ่งเป็นไปอย่างสบายๆ เนือยๆ จนกระทั่ง
“โฮ้ย น่าเบื่อจัง อยากไปเที่ยววุ้ย” เสียงชัยทวัชดังทำลายความเงียบ
“พี่ชัย อยากไปไหนล่ะ” ต้นถาม
“ผมอยากไปตะลอนที่ชนบทของจีน”
“ชั้นอยากไปช้อปปิ้ง” เป้เสริม
“ดี! งั้นลาพักร้อนยกแผนกไปกัน!” ชัยทวัชสรุป ทำเอาทุกคนยิ้มร่า

    สองวันถัดมา คณะเดินทางพร้อมหน้ากันที่สนามบินดอนเมือง
“เอ้า มากันครบยัง” ชัยทวัชในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นกางเกงขาสั้นรองเท้าผ้าใบพูดขึ้น
“เหลือพี่เป้ค่ะ” หนิงในชุดเดรสกระโปรงยาวสีชมพูอ่อนตอบ
“คู่หูชั้นสายประจำ” ต้นในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ขาเดฟพูดด้วยท่ายืนกอดอก
“มาแล้ววววว…..” เป้ในชุดเสื้อโปโลกางเกงยีนส์ขายาววิ่งถลาเข้ามาอย่างเร็ว
“พี่เป้อ่ะสายตลอดเลย” นัทในชุดเสื้อกางเกงขาสั้นสีชมพูสดพูดบ้าง
“ใช่ๆ เดี๋ยวปล่อยให้ตกเครื่องเลย” ปุ้ยในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ขายาวพร้อมหมวกปีกกว้างเสริม

แล้วทั้งหมดก็พากันไปเช็คอินที่เค้าเตอร์สายการบินอีกาดำ ทุกคนผ่านไปได้ด้วยดีจนมาสะดุดที่เป้
“ขอโทษนะคะ น้ำหนักกระเป๋าใบนี้เกินกำหนดของสายการบินค่ะ” เจ้าหน้าที่แจ้งขึ้น
“นี่เธอแบกอะไรมาอีกน่ะ” ต้นยืนมือเท้าสะเอวพูดไปทางเป้
“อ๋อพวกเครื่องสำอางค์น่ะ”
“จะขนไปขายรึไงยะ” ต้นแซวต่อ
“เอ่อ ถ้าไม่ลดน้ำหนักกระเป๋าลงก็ต้องเสียค่าปรับกิโลกรัมละ 200 บาทนะคะ”
“ค่ะได้ค่ะ” แล้วเป้ก็ต้องควักเงินจ่ายไป 600 บาทถ้วน

เมื่อผ่านเข้าไปครบทุกคนแล้ว
“อ้าว.. แล้วคุณชัยทวัชล่ะ” เป้ถามเมื่อมองไม่เห็นหัวหน้าทีม
“เขาบอกว่าไปเจอกันบนเครื่องเลยน่ะ” ต้นพูด “คงจะรอเธอจนเบื่อแล้วมั้ง”
“อะไรกันเค้าก็ไม่ได้ช้าถึงขนาดนั้นซักหน่อย” เป้อิดออด
“เอาเถอะน่า เราเข้าไปเดินดูของใน Duty Free กัน”


ชั่วโมงกว่าๆ ผ่านไป
“ประกาศครั้งสุดท้ายจากสายการบินอีกาดำ เท่ยวบินที่ XX44 ที่จะเดินทางไปยังปักกิ่ง ขอให้ผู้โดยสารรีบไปขึ้นเครื่องที่ประตูทางออกหมายเลข 16 ด่วน! ย้ำว่า ด่วน!! ไม่งั้นจะไม่รอแล้วนะโว้ย!!!”
    ผู้ที่มาสายก็ไม่ใช่ใครอื่น พี่เป้แชมป์เก่าของเรานั่นเอง ในที่สุดเครื่องบินก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปก่อนที่กัปตันจะสตาร์ทเครื่องยนต์ ความที่เครื่องบินลำนี้เป็นเครื่องที่ผ่านการใช้งานมายาวนาน จึงรับรู้ได้ถึงกลิ่นฉุนน้ำมันถึงในห้องโดยสาร ไม่นานเครื่องก็เทคออฟจากดอนเมืองตรงไปยังกรุงปักกิ่ง
    สองชั่วโมงให้หลัง อีกาดำก็ร่อนลงจอดที่สนามบินนานาชาติปักกิ่ง ความที่เป็นสายการบินต้นทุนต่ำจึงไปหยุดส่งผู้โดยสารที่ลานกว้างแทนที่จะเข้าหลุมจอดที่มีสะพานเทียบ และยังเป็นช่วงพายุเข้าพอดี มีฝนโปรยปราย ทำเอาผู้โดยสารหลายคนไม่ค่อยพอใจที่ต้องเดินฝ่าฝนไปขึ้นรถบัสที่จอดห่างไป 25 เมตร ซึ่งกว่าจะถึงคิวของ ทีม ฮาเฮลาลี ก็เกือบจะเป็นกลุ่มสดท้ายบนเครื่อง และฝนเริ่มลงหนักแล้ว
“ตายแล้ว! ไมฝนแรงงี้ล่ะกว่าจะถึงรถก็เปียกหมดกันพอดี” เป้โอดครวญ
“โอ๊ยแค่นี้จิ๊บๆ วิ่งพรวดเดียวก็ถึงแล้ว” ชัยทวัชหัวเราะหึหึ ก่อนจะพุ่งพรวดลงจากเครื่องไป ก่อนที่ใครๆจะทันพูดอะไร เขาก็ขึ้นไปยืนยิ้มอยู่บนรถซะแล้ว
“เอ้า! ไปเว้ยพวกเรา อย่าให้เสียชื่อ ฮาเฮลาลี” ต้นพูดพลางออกตัววิ่งนำทีมไป แน่นอนว่าสวรรค์นั้นจับตาดูอยู่แล้วจึงจัดการหงายไพ่ทันทีเมื่อกลุ่มสาวๆ ออกตัววิ่ง ฝนที่ว่าแรงอยู่แล้วก็เทหนักกว่าเก่าแถมลมแรงให้อีกวูบใหญ่ๆ ซัดหนิงปลิวกลิ้งกับพื้นไปสามตลบ ในที่สุดทุกคนก็ถึงรถ ก็เปียกปอนกันไป ส่วนหนิงซวยสุดเพราะกลิ้งไปบนพื้นที่มีน้ำขัง ทำเอาชุดเดรสเปียกไปทั้งตัว เมื่อรถถึงตัวสนามบินทุกคนเลยฝากของไว้ที่ชัยทวัชก่อนจะเข้าไปจัดแจงตัวเองใหม่ในห้องน้ำ

    เมื่อทุกอย่างเข้าที่ก็มาลงเอยกันที่ด้านหน้าของสนามบิน กลุ่มสาวน้อยกำลังคิดอยู่ว่าจะเข้าเมืองยังไง ก่อนที่ใครจะพูดอะไรก็มีรถตู้มาจอดด้านหน้าพวกเธอ และคนที่ลงเปิดประตูก็คือ ชัยทวัชนั่นเอง
“เห้ย พี่ชัยมาไงเนี่ย” ต้นถึงกับเหวอ
“ผมไปเช่ารถมาแล้ว เดี๋ยวจะขับพาไปที่ที่จะไปวันแรกให้ ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง”
“ตั้ง 5 ชั่วโมงเนี่ยนะ!!” ห้าสาวถึงกับร้องลั่น
“ไปไหนกันเนี่ย” เป้พูดบ้าง
“หมู่บ้านหวาเหล่เอ้อ” ก่อนที่จะมีคนพูดชัยทวัชก็เล่าต่อทันที “เดี๋ยวไปถึงก็รู้เอง”

    แล้วรถตู้ก็เคลื่อนที่ออกไป โดยมีชัยทวัชเป็นโชเฟอร์ มีหนิงนั่งเป็นแม่ย่านางข้างๆ ส่วนที่เหลือนั่งส่วนกลางและหลังของรถ ชัยทวัชขับอย่างชิลด้วยความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กว่าจะพ้นเขตเมืองหลวงก็ล่อไป สี่สิบนาที
“แบบนี้กว่าจะถึงคงเช้าพอดีกัน” เป้บ่นเงียบๆ อยู่เบาะหลัง แต่ชัยทวัชได้ยินชัด
“อ้าวอยากได้เร็วๆ เหรอ จัดให้”

    ว่าแล้วชัยทวัชก็เร่งความเร็วขึ้นทันที รถตู้พุ่งไปด้วยสปีด 140 และยังเร็วขึ้นไปอีก จนถึงตอนนี้เป้เริ่มคิดผิด แต่ก่อนจะได้พูดอะไร ทั้งรถก็ต้องร้องกรี๊ดเพราะชัยทวัชเข้าโค้งหักศอกด้วยสปีด 160 ทุกคนลากเข็มขัดมาคาดกันแทบไม่ทัน ยังไม่จบแค่นั้นเมื่อมีเสียงไซเรนดังไล่มาจากด้านหลัง เมื่อชัยทวัชเหลือบตามองกระจกหลังก็พบรถตำรวจกำลังไล่กวดมา แต่แทนที่เขาจะลดความเร็วกลับยิ่งเหยียบมิดหนักกว่าเก่า พริบตานั้นชัยทวัชก็กดปุ่มอะไรซักอย่างทางด้านขวาของเขาและคอนโซลทางซ้ายตรงหน้าหนิงก็เปิดออกมีสารพัดมิเตอร์ต่างๆ ขึ้นมาเพียบ หน้าปัดเข็มวัดความเร็วกลายเป็นจอดิจิตอลอย่างหรู เมื่อทุกอย่างพร้อมชัยทวัชก็ตะโกนว่า
“เกาะดีๆ น้า” แล้วก็กระทืบคันเร่งทันที รถตู้ที่เดิมวิ่งด้วยสปีด 170 ก็ทะยานไปเป็น 250 และกำลังไต่ขึ้น 300 อย่างเร็ว และแน่นอนเขาพุ่งเข้าโค้งด้วยสปีด 280 แทบทุกโค้ง ณ ตอนนี้ไม่มีรถคันไหนไล่หลังชัยทวัชอีกแล้ว รถตำรวจถูกทิ้งไม่เห็นฝุ่น ทุกคนจับเก้าอี้แน่นเพราะแรงจีที่ถาโถมใส่โดยเฉพาะหนิงที่ถือบัตรเฟริสคลาสอยู่หน้าสุดถึงกับท่องนโมซ้ำไปมา ภาวนาให้มันจบๆ เสียที…
    ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงที่หมายโดยใช้เวลาเพียง สองชั่วโมงเท่านั้น ชัยทวัชกระโดดลงจากรถไปอย่างชิลๆ ทิ้งห้าสาวนอนแอ้งแม้งอยู่บนรถ ส่วนแม่ย่านางสลบเหมือดไปตั้งแต่เข้าโค้งที่สาม สิบนาทีผ่านไปประตูด้านข้างก็เปิดออก กลุ่มซอมบี้ค่อยๆกลิ้งลงจากรถที่ละคนๆ และหนิงยังไม่ได้สติ
    โดยรวมกว่าสาวๆ จะกลับมาออนไลน์อีกครั้งก็ปาไปร่วมๆ ครึ่งชั่วโมง

“อ้าว ตื่นแล้วเหรอหนิง รู้มั้นผมเหงามากเลยเล่นหลับกันหมดคันเลยอ่ะ”
“พี่ชัยทวัชคะ หนิงขอเถอะค่ะ ขากลับหาเครื่องบินกลับแทนได้มั้ย”
“ไม่ได้หรอกเพราะรถต้องไปคืนที่สนามบิน” ทำเอาหนิงเกือบน๊อคไปอีกรอบ
“ว่าแต่ไหนล่ะ หมู่บ้าน” ต้นพูดเมื่อเห็นแต่ทุ่งหญ้ากว้าง
“เราต้องเดินเท้าไปอีก ราวๆ สิบกิโลข้ามเขาไปลูกนึง”
“Whattttttttt!!!!” ห้าสาวประสานเสียงพร้อมกัน
    เขาไม่พูดเปล่า เท้าเดินนำไปแล้ว แถมเร็วอีกต่างหาก
“เห้ยๆ ตามไปเร็ว มัวชักช้าโดนทิ้งอยู่นี่แน่ๆ” ต้นพูดก่อนรีบสาวเท้าตามไปติดๆ

    ช่วงแรกๆ การเดินทางเป็นไปอย่างเรียบง่าย เพราะเป็นทางราบ ก่อนจะค่อยๆ ชันขึ้นๆ ห้าสาวเดินขึ้นเขาอย่างยากลำบาก มีแต่หัวหน้าทัวร์ที่เดินนำลิ่วเหมือนเป็นทางราบธรรมดา ในที่สุดก็ถึงยอดเขา ถึงตรงนี้คงไม่ต้องบอกว่า แต่ละคนจะมีสภาพเหนื่อยหอบขนาดไหน และมีใครบ้างที่ยังชิลอยู่…
“ไงต่อเนี่ยพี่” นัทพูดไปหอบไป
“เราต้องเดินไปที่สะพานเชือกตรงโน้น” ชัยทวัชชี้ไปที่สะพานซึ่งอยู่ไม่ไกลมาก “ใช้มันข้ามเหวไป”
“ข้ามเหว!” หนิง และ เป้โพล่งขึ้นพร้อมกัน “แล้วพอข้ามไปได้ล่ะคะ”
“ทีนี้ก็ลงเขา หมู่บ้านก็จะอยู่ตีนเขาพอดี ก็ตีซะอีกชั่วโมงก็คงถึงล่ะ”
    ซักพักก็มาถึงจุดที่จะข้ามเหว ซึ่งก็สมชื่อจริงๆ เพราะแทบจะมองไม่เห็นก้นเลยทีเดียว กว่าใครจะทันทำอะไร ชัยทวัชก็ไปยืนยิ้มอยู่ฝั่งตรงข้ามเสียแล้ว…
“เห้ย พี่ไปถึงตั้งแต่ตอนไหน” เป้ถึงกับอึ้ง
“ตั้งแต่พวกเธอยืนตะลึงกันอยู่ไง” เขาตะโกนสวนกลับมา
“เอ้า! ยังไงก็ต้องข้าม ก็ไปกันเล้ย” ต้นตะโกนเรียกขวัญกำลังใจ ก่อนจะเดินหน้าต่อ
    กรี๊ดดดด! หนิงร้องลั่นตอนประมาณกลางสะพานเพราะ นัทกับปุ้ยที่ออกตัวตามต้นเกิดกลัวความสูงจึงรีบปิดตาวิ่งข้ามไป ด้วยความที่เป็นสะพานเชือก จึงโคลงเคลงตามจังหวะการสั่นสะเทือน หนิงถึงกับทรุดกลางสะพานด้วยความกลัว ไม่นานเป้ก็ตามมาทันและจับมือพาหนิงข้ามฝั่งมาได้สำเร็จ กว่าจะรวมทีมมาถึงอีกฝั่งของภูเขาได้ ก็ไม่เห็ยชัยทวัชเสียแล้ว
“อาโฮยย อยู่ข้างล่างนี่” เขาตะโกนขึ้นมาจากตีนเขา แน่นอนว่าทุกคนเงิบ-ว่าลงไปได้ยังไงเพราะทางชันมาก สุดท้ายก็จับมือกันค่อยๆ คลานลงอย่างช้าๆ ตอนใกล้จะถึงทางราบหนิงโชคไม่ดีเท่าไหร่ เพราะดันลื่นใบไม้แห้งและเหยียบชายกระโปรงซ้ำจนล้มและหลุดมือกลิ้งกลุกๆ เป็นสิบตลบ อีกสี่คนต่างตกใจและรีบสไลด์ตามลงมาทันที แต่ละคนก็เปื้อนดินกันไปคนละนิดละหน่อย มีหนิงที่กระโปรงขาดไปหน่อยเพราะจังหวะกลิ้งเจอกิ่งไม้เกี่ยวเข้าให้
    ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงหมู่บ้าน ทว่า…

“เอ่อ นี่มันหมู่บ้านร้างนี่นา” นัทพูดเมื่อเห็นภาพตรงหน้า บ้านไม้เก่าๆ โทรมๆ ต้นไม้ที่มีเถาวัลย์รุงรัง หญ้าที่ขึ้นรก ดูเผินๆ เหมือนจะร้างมาหลายปีทีเดียว เดินสำรวจกันอยู่ซักพัก ก็เจอชัยทวัชที่บ้านไม้หลังนึง ตรงหน้าเขาเป็นโลงหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางบ้าน
“นี่เป็นบ้านของตาทวด บรรพบุรุษของผมเอง เขาอาศัยอยู่ที่นี่ แต่คนรุ่นหลังย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองใหญ่กันเพราะมีสิ่งอำนวยความสะดวกดีกว่า แต่ตาทวดผมเสียที่นี่ และแกก็ต้องการให้ฝังแกที่นี่ ทุกๆ ปีผมจะกลับมาที่นี่มาเคารพและเยี่ยมท่าน…. เอาล่ะคืนนี้เราจะพักค้างแรมกันที่นี่ เชิญเลือกมุมนอนกันได้เลย”
“แล้วน้ำกับอาหารล่ะ” เป้ทักขึ้น
“อยู่ทางโน้น หยิบไปคนละชุด พรุ่งนี้เช้าถึงจะกลับเข้าเมืองกัน”
    เสบียงที่ชัยทวัชพูดถึงคือ แฮมเบอร์เกอร์ และ น้ำขนาด 500ml หนึ่งขวด จากนั้นพวกเขาก็ไปหามุมนอนกัน ห้าสาวนอนที่มุมๆนึงของบ้านห่มผ้าอยู่ด้วยกัน ส่วนชัยทวัชกางถุงนอนอยู่ข้างๆ โลงหิน
    เช้ามาต้นตื่นขึ้นมาก่อน แล้วจึงเดินไปที่กลางบ้านก็ไม่พบชัยทวัช เขาไม่ได้อยู่ในระแวกบ้านด้วย แต่เมื่อทุกๆ คนตื่นขึ้น ชัยทวัชก็กลับมาพอดี
“แล้วเราจะเข้าเมืองกันยังไง” เป้ถามขึ้น
“ก็นั่งรถกลับไง” ชัยทวัชพูดตอบอย่างสบายๆ
“หา.. รถเราจอดไว้ตั้งโน่นนนน”
“อ่อ ผมไปเอามาไว้ที่นี่ตั้งแต่เช้ามืดแล้ว”
“อ้าว แล้วทำไมไม่ขับมาเลยตั้งแต่เมื่อวานล่ะ”
“สมัยที่ผมมามันต้องเดินเท้ามาเอง แต่ตาทวดมาเข้าฝันผมเมื่อคืนบอกทางลับที่สามารถขับเข้ามาได้ ผมถึงกลับไปเอารถมานี่ไง” ทำเอาห้าสาวถึงกับอึ้ง
“ไง จะกลับกันแล้วรึ” เป็นอันสะดุ้งโหยงอีกรอบเมื่อมีเสียงยานๆ ดังขึ้น เมื่อหันไปจึงพบยายแก่คนหนึ่งในชุดพื้นเมืองยืนอยู่ ก่อนที่ใครจะพูดอะไร ชัยทวัชก็ชิงเปิดบทสนทนาก่อน
“ครับ แล้วปีหน้าจะมาใหม่ ขอบคุณที่มาส่งครับยาย”
“หลานเอ้ย เดินทางกลับดีๆ นะ ขอบคุณมากที่ยังนึกถึงกันจนถึงทุกวันนี้”
ชัยทวัชโค้งให้กับยายแก่คนนั้น ก่อนที่ต้นจะพูดขึ้น “พี่ชัย ยายคนนี้ใครเหรอ”
“ยายทวด ภรรยาของตาทวดผมน่ะ” เขาพูดเสียงเรียบก่อนจะเดินไปที่รถ ห้าสาวยืนอึ้งอยู่พักนึงก็รีบเดินตาม
“เดี๋ยวนะ ยายทวดก็บรรพบุรุษพี่ชัยด้วยอ่ะสิ” ปุ้ยทักขึ้น
“ใช่แล้วครับ”
“เอ๊ะแล้วถ้างั้น…” เธอหันกลับไปมอง ก็พบว่าไม่มีใครยืนอยู่ตรงนั้นเสียแล้ว
“อย่าบอกนะว่า” ปุ้ยพูดเสียงสั่น
(ที่ไม่พอ ต่อข้างล่างนะครับ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่