เผยภาพกลุ่มสุดโต่งไอเอส เผาทำลายโบสถ์เก่าแก่ในเมืองโมซุล เลขาธิการยูเอ็นประณามขับไล่ชาวคริสต์พ้นเมืองเป็นอาชญากรรมมนุษยชาติ
22 ก.ค. 57 สำนักข่าวอัลอาราบิยา รายงานเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ว่ากลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) เผาทำลายโบสถ์คริสต์อายุ 1,800 ปีแห่งหนึ่งในเมืองโมซุล เมืองใหญ่อันดับสอง ทางภาคเหนือของอิรัก นับเป็นการทำลายล้างสิ่งปลูกสร้างของศาสนาอื่นหรือนิกายอื่นในเมืองที่ไอเอสบุกยึดและปกครอง
ก่อนหน้านี้ คลิปวิดีโอบนยูทูบเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมแสดงภาพการใช้ค้อนทุบทำลายสุสานแห่งหนึ่ง ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลอิรักมั่นใจว่าน่าจะเป็นสุสานของศาสนทูตโยนาห์
กลุ่มไอเอสได้ออกคำสั่งให้ชาวคริสต์ในโมซุล เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม หรือจ่ายภาษีเป็นค่าคุ้มครองความปลอดภัย ไม่เช่นนั้นจะไม่ละเว้นชีวิต ภายในเที่ยงวันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ชาวคริสต์จำนวนมากจึงอพยพเข้าไปยังเขตปกครองตนเองเคอร์ดิสถาน ทำให้เมืองโมซุลที่เคยเป็นบ้านของชาวคริสต์ในแดนอารยธรรมเก่าแก่มานาน 16 ศตวรรษ ไม่มีชาวคริสต์หลงเหลืออยู่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานว่า ชาวเมืองโมซุลหวาดกลัวไม่กล้าพูดเรื่องนี้ ทำให้การหาข้อมูลของสื่อทำได้ยาก แต่อย่างน้อย มีชาวสุหนี่หลายคนที่แสดงความเห็นใจอดีตเพื่อนบ้านต่างศาสนาที่เคยอยู่ร่วมกันมานาน ชาวโมซุลคนหนึ่งกล่าวว่า พวกเขาคิดว่าการทำเช่นนี้ไม่ยุติธรรมและขัดหลักอิสลาม ชาวคริสต์อยู่ในเมืองโมซุลมานานกว่า 1,000 ปีแล้ว และส่วนใหญ่เป็นหมอ เป็นวิศวกรและศิลปิน การอพยพหนีไปถือเป็นความสูญเสียใหญ่หลวงของโมซุล
นอกจากชาวคริสต์แล้ว เมืองศักดิ์สิทธิ์ของชาวชีอะห์อย่างคาร์บาลา และนาจาฟ ก็รับภาระหนักจากผู้หนีสงครามชาวชีอะห์จากเมืองต่างๆ ในช่วงหกสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งยังเปิดรับชาวคริสต์ไร้ที่อยู่เพราะการสู้รบด้วย
นายบัน คี มุน เลขาธิการสหประชาชาติ ประณามการกดขี่ข่มเหงชนกลุ่มน้อยในอิรักอย่างเป็นระบบของไอเอสและกลุ่มที่เกี่ยวข้อง และระบุด้วยว่า การโจมตีและขับไล่ชาวคริสต์ออกจากบ้านเรือนของกลุ่มไอเอส เท่ากับเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
'ไอเอส'เผาโบสถ์เก่าแก่อายุ1,800ปี
เผยภาพกลุ่มสุดโต่งไอเอส เผาทำลายโบสถ์เก่าแก่ในเมืองโมซุล เลขาธิการยูเอ็นประณามขับไล่ชาวคริสต์พ้นเมืองเป็นอาชญากรรมมนุษยชาติ
22 ก.ค. 57 สำนักข่าวอัลอาราบิยา รายงานเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ว่ากลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) เผาทำลายโบสถ์คริสต์อายุ 1,800 ปีแห่งหนึ่งในเมืองโมซุล เมืองใหญ่อันดับสอง ทางภาคเหนือของอิรัก นับเป็นการทำลายล้างสิ่งปลูกสร้างของศาสนาอื่นหรือนิกายอื่นในเมืองที่ไอเอสบุกยึดและปกครอง
ก่อนหน้านี้ คลิปวิดีโอบนยูทูบเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมแสดงภาพการใช้ค้อนทุบทำลายสุสานแห่งหนึ่ง ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลอิรักมั่นใจว่าน่าจะเป็นสุสานของศาสนทูตโยนาห์
กลุ่มไอเอสได้ออกคำสั่งให้ชาวคริสต์ในโมซุล เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม หรือจ่ายภาษีเป็นค่าคุ้มครองความปลอดภัย ไม่เช่นนั้นจะไม่ละเว้นชีวิต ภายในเที่ยงวันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ชาวคริสต์จำนวนมากจึงอพยพเข้าไปยังเขตปกครองตนเองเคอร์ดิสถาน ทำให้เมืองโมซุลที่เคยเป็นบ้านของชาวคริสต์ในแดนอารยธรรมเก่าแก่มานาน 16 ศตวรรษ ไม่มีชาวคริสต์หลงเหลืออยู่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานว่า ชาวเมืองโมซุลหวาดกลัวไม่กล้าพูดเรื่องนี้ ทำให้การหาข้อมูลของสื่อทำได้ยาก แต่อย่างน้อย มีชาวสุหนี่หลายคนที่แสดงความเห็นใจอดีตเพื่อนบ้านต่างศาสนาที่เคยอยู่ร่วมกันมานาน ชาวโมซุลคนหนึ่งกล่าวว่า พวกเขาคิดว่าการทำเช่นนี้ไม่ยุติธรรมและขัดหลักอิสลาม ชาวคริสต์อยู่ในเมืองโมซุลมานานกว่า 1,000 ปีแล้ว และส่วนใหญ่เป็นหมอ เป็นวิศวกรและศิลปิน การอพยพหนีไปถือเป็นความสูญเสียใหญ่หลวงของโมซุล
นอกจากชาวคริสต์แล้ว เมืองศักดิ์สิทธิ์ของชาวชีอะห์อย่างคาร์บาลา และนาจาฟ ก็รับภาระหนักจากผู้หนีสงครามชาวชีอะห์จากเมืองต่างๆ ในช่วงหกสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งยังเปิดรับชาวคริสต์ไร้ที่อยู่เพราะการสู้รบด้วย
นายบัน คี มุน เลขาธิการสหประชาชาติ ประณามการกดขี่ข่มเหงชนกลุ่มน้อยในอิรักอย่างเป็นระบบของไอเอสและกลุ่มที่เกี่ยวข้อง และระบุด้วยว่า การโจมตีและขับไล่ชาวคริสต์ออกจากบ้านเรือนของกลุ่มไอเอส เท่ากับเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม 2557