นี่คืออีกทริปอันสุดแสนประทับใจของผมครับ ผมยอมรับว่าประเทศไทยมีอะไรให้เที่ยวมากมาย แต่ผมก็คาดไม่ถึงว่า สถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ จะสวยราวเที่ยวเมืองนอกในยามฤดูใบไม้เปลี่ยนสีได้ขนาดนี้
ทริปนี้ผมไปมาช่วงประมาณพฤษภาคมครับ ในวันกรุงเทพฯ ฝนตก เมืองกาญฯ ฟ้าใสแดดจ้า อย่างที่รู้กันและครับว่า สุดสัปดาห์ของช่วงซัมเมอร์ คือช่วงที่คนต่างมุ่งหน้าหาแหล่งพักผ่อนแถวชายทะเล แต่ทว่ามันวันที่ชายหนุ่มสัพเพเหระอย่างผม ออกเดินทางกลับข้างผู้คน มุ่งหน้าสู่เมืองอุดมสมบูรณ์ชุ่มฉ่ำ อย่างกาญนะจ๊ะ เอ้ย!..กาญจนบุรี
ผมออกเดินทางหนีกรุงเทพฯ มาตามเส้นทางสายเพชรเกษม ครั้งนี้ผมไม่ได้นั่งรถไฟแบบทริปฉะเชิงเทรา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ใครที่อยากดูเรื่องราวทริปฉะเชิงเทราด้วยงบประหยัดตามไปที่กระทู้นี้เลยครับ http://ppantip.com/topic/32340743
แต่ผมเลือกที่จะนั่งรถส่วนตัวไป จนทำให้ผมมาเจอกับเส้นทางสีแสดแสนสวยเส้นทางนี้...
เบื้องหน้าของวิวสองข้างทางถนนที่ปรากฏกับสายตา ชีวิตที่เนิบช้า พาให้ผมได้พบกับสิ่งที่จะมาเติมเต็มพลังให้กับชีวิตอีกเช่นเคย
ดอกสีแสดของต้นหางนกยูง แผ่กลีบดอกสยาย ส่วนใบสีเขียวก็แผ่กระจายคล้ายนกยูงรำแพน ดอกที่ผลัดออกจากกลับร่วงหล่นตามขอบถนน ให้ได้เห็นเป้นสีแสด สีส้ม ตลอดทาง นี่นึกว่าหลงมาอยู่ในเมืองนิยาย หรือไม่ก็คล้ายกับถนนสายซากุระสีชมพู ต่างกันก้ตรงที่ เป็นสีแสดส้ม ส่งสีสันรับซัมเมอร์ได้สดใสงดงาม
เข้าสู่ตัวเมืองกาญ ผมเลือกที่จะพักยืดเส้นยืดสาย และคลายความหิวในย่านเก่าอย่าง ถนนปากแพรก
ย่านชุมชนที่รวมสถาปัตยกรรมแนวชิโน-โปตุกีส ซึ่งแม้จะล่วงเลยมานานเป็นร้อยปี สถาปัตยกรรมเหล่านี้ไม่สูญหายไปตามกาลเวลา
เก่าไม่เก่า ชุมชนนี้ก็อยู่ในจังหวัดกาญจนบุรีมากว่า 177 ปีแล้ว ภาพชุมชนแบบชิโน-โปตุกีสนี้ หาดูได้ยากเพราะในประเทศไทยแล้วมีเพียง 3 แห่ง คือ ชุมชนจันทรบูร ที่จังหวัดจันทบุรี ชุมชนเก่าเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต และที่นี่ ชุมชนบ้านปากแพรก จังหวัดกาญจนบุรี
ผมบอกเลยครับว่านอกจากอายุอานามที่มากแล้ว ประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์ของชุมชนแห่งนี้ก็ไม่น้อยเลย
ภาพในอดีตของชุมชนแห่งนี้ จะเป็นบรรยากาศที่มีทหารญี่ปุ่นเข้ามาเช่าตึกแถวเพื่อทำการค้าในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และถ้าใครพอเคยได้ยินเรื่องราวของเส้นทางสายมรณะมาอยู่บ้าง ที่ชุมชนแห่งนี้ก็มีเอี่ยว
ผมมีโอกาสได้นั่งคุยกับคนเก่าคนแก่ที่อาศัยอยู่ที่นี่ หลายๆท่านต่างก็เล่าเคยเห็นภาพที่ทหารญี่ปุ่น พาเชลยศึกชาวออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ผ่านมาทางย่านนี้ มาแวะอาบน้ำตรงลานริมแม่น้ำแควบ่อยๆ
คุณป้าท่านนึงบอกว่าตนยังเคยเอามะนาวใส่ถุงพลาสติกแอบโยนขึ้นไปบนรถที่ขนส่งเชลยพวกนี้เลย หรือไม่บางทีก็แอบเอาเสบียง นิดๆหน่อยๆ ไปซ่อนไว้ในทรายแถวๆ บริเวณที่อาบน้ำของเชลยไว้ให้พวกเขามาหยิบไป เพื่อประทังชีวิต
ในเหตุการณ์นี้ที่ผมอ่านมาคือ ทำให้เกิดวีรบุรุษสงครามอย่าง นายบุญผ่อง สิริเวชชะพันธ์ ซึ่งเป็นผู้คอยช่วยเหลือเชลยศึกในสงครามด้วยการลอบส่งเครื่องอุปโภคบริโภค และยารักษาโรคอย่างลับๆ เมื่อเสร็จสิ้นสงคราม ญี่ปุ่นพ่ายแพ้ไป ทางการจึงประกาศให้ประเทศไทยไม่ใช่ผู้แพ้สงครามนั่นก็เพราะความช่วยเหลือส่วนหนึ่งของนายบุญผ่องเช่นกัน
เข้าเรื่องเที่ยวต่อดีกว่าครับ ใครที่แวะมาที่นี่ ก็จะมีกาแฟ และเค้กอร่อยๆ ที่บ้านสิทธิสังข์ ให้ได้จิบพอสบายท้อง และก็ยังมีอาหารอีกหลากหลาย ให้คนที่ผ่านไปผ่านมาได้ลิ้มลอง
สำหรับความเห็นผมแล้ว เค้กอร่อยครับ กาแฟก็รสชาติเข้มข้นดี แต่ชาเขียวนี่ผมไม่ปลื้มเท่าไร ไม่รู้ว่าคนชงรีบเกินไปหรืออย่างไร ผงชาเขียวยังไม่ทันละลายเลยครับ
พอสำราญจากของหวานและเมืองเก่าเรียบร้อย ผมก็กลับเข้าสู่เส้นทางสีแสด ย้อนกลับไปเล็กน้อย เพื่อแวะทักทาย ต้นจามจุรียักษ์ ที่ยังคงยืนหยัดมานานกว่าร้อยปี ตอนแรกที่หาข้อมูลดูเหมือนว่าก็งั้นๆ แต่พอไปเห็นสิครับ.. โอ้โห มหึมา
ไม่เชื่อก็ดูด้วยสองตา เทียบกับรถว่าใหญ่แล้ว เทียบกับคนนี่ คนกลายเป็นนกน้อย คล้อยบินมาเดียวดายได้เลย ต้นจามจุรีนี้ บ้างก็เรียกก้ามปู บ้างก็เรียกก้ามกุ้ง บางคนก็เรียกสำสา เรียกตุ๊ดตู่มั่ง แต่ก็หมายถึงเจ้าต้นเนี้ยล่ะ
ต้นจามจุรีต้นนี้สูง20เมตร ขนาดลำต้นของจามจุรียักษ์นั้น 10 คน โอบเห็นจะได้ แต่กิ่งก้านใบที่แผ่สาขา กระจายวงกว้าง ตั้งพุ่มเขียวขจีให้ร่มเงานั้น คิดว่ามากกว่า100คนโอบ พื้นที่กว่าหนึ่งไร่เศษ นั่งอยู่ใต้ต้นจามจุรี ดูสิ ตัวเล็กไปถนัดตา
เสียดายที่ช่วงนี้จามจุรีออกดอกยังไม่มากนัก เลยได้เห็นเป็นหย่อมๆ เพียงเล็กน้อย
สำหรับต้นจามจุรียักษ์นี้อยู่ในบริเวณกองการสัตว์และเกษตรกรรมที่1 จังหวัดกาญจนบุรี ระหว่างทางที่เข้ามาชม จะมีสัตว์นานาพรรณ ทั้งม้า แกะ รวมถึงพ่อไก่แม่ไก่เจ้าถิ่น ไก่ที่นี่ปีนต้นไม้ได้นะครับ ไม่เชื่อก็ดู
กลับสู่เส้นทางสีแสดอีกครั้ง มุ่งหน้ายังไทรโยค เผอิญมีนัดกับแม่น้ำแคว…
ไม่รู้ว่าคนรุ่นใหม่ๆ สมัยนี้ จะเคยได้ยินได้ฟังเพลงเขมรไทรโยคหรือไม่ …บรรยายความตามไท้เสด็จยาตรา ยังไทรโยคประพาสพนาสณฑ์ น้องเอย..เจ้าไม่เคยเห็น ไม้ไร่หลากพันธุ์ คละขึ้นปะปน ที่ชายชลเขาชะโงก เป็นโกรกธาร น้ำพุพุ่งซ่าน ไหลมาฉาดฉาน เห็นตระการ มันไหลจ้อกโครม จ้อกโครม…
ทั้งหมดที่เพลงว่ามานี้ ภาพที่เห็นอารมณ์เดียวกัน
ณ อุทยานไทรโยค น้ำที่แม้จะเห็นเป็นสีเขียว แต่ทว่าก็ใส และเย็นจับใจ แถมภูเขาที่นี่ เขียวขจีและอุดมสมบูรณ์ไปด้วยหมู่มวลแมกไม้ ต่างกับบางจังหวัดที่โล้นโกร๋น บ้างก็แล้งแห้ง
การมาเที่ยวไทรโยค หากไม่ล่องเรือ ก็ต้อล่องแพ หรือไม่ก็ต้องนอนแผ่เล่นน้ำตก ถึงจะสาแก่ใจ เพราะสายน้ำที่แสนจะเย็นฉ่ำ จะพาให้เราเพลิดเพลิน จนลืมอากาศที่ร้อนผ่าว
ผมทิ้งชีวิตให้อยู่บนแพเสียครึ่งวัน นั่งแกว่งขา ทักทายแม่น้ำแคว อย่างสนุกสนาน
ชีวิตที่ ชิว เนิบช้า มักให้คุณค่าบางสิ่ง กับร่างกายและจิตใจเราเสมอ…
นี่ผมกำลังเที่ยวเมืองไทยอยู่หรือนี่!!...ถึงกับอึ้งเลยทีเดียว
ทริปนี้ผมไปมาช่วงประมาณพฤษภาคมครับ ในวันกรุงเทพฯ ฝนตก เมืองกาญฯ ฟ้าใสแดดจ้า อย่างที่รู้กันและครับว่า สุดสัปดาห์ของช่วงซัมเมอร์ คือช่วงที่คนต่างมุ่งหน้าหาแหล่งพักผ่อนแถวชายทะเล แต่ทว่ามันวันที่ชายหนุ่มสัพเพเหระอย่างผม ออกเดินทางกลับข้างผู้คน มุ่งหน้าสู่เมืองอุดมสมบูรณ์ชุ่มฉ่ำ อย่างกาญนะจ๊ะ เอ้ย!..กาญจนบุรี
ผมออกเดินทางหนีกรุงเทพฯ มาตามเส้นทางสายเพชรเกษม ครั้งนี้ผมไม่ได้นั่งรถไฟแบบทริปฉะเชิงเทรา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แต่ผมเลือกที่จะนั่งรถส่วนตัวไป จนทำให้ผมมาเจอกับเส้นทางสีแสดแสนสวยเส้นทางนี้...
เบื้องหน้าของวิวสองข้างทางถนนที่ปรากฏกับสายตา ชีวิตที่เนิบช้า พาให้ผมได้พบกับสิ่งที่จะมาเติมเต็มพลังให้กับชีวิตอีกเช่นเคย
ดอกสีแสดของต้นหางนกยูง แผ่กลีบดอกสยาย ส่วนใบสีเขียวก็แผ่กระจายคล้ายนกยูงรำแพน ดอกที่ผลัดออกจากกลับร่วงหล่นตามขอบถนน ให้ได้เห็นเป้นสีแสด สีส้ม ตลอดทาง นี่นึกว่าหลงมาอยู่ในเมืองนิยาย หรือไม่ก็คล้ายกับถนนสายซากุระสีชมพู ต่างกันก้ตรงที่ เป็นสีแสดส้ม ส่งสีสันรับซัมเมอร์ได้สดใสงดงาม
เข้าสู่ตัวเมืองกาญ ผมเลือกที่จะพักยืดเส้นยืดสาย และคลายความหิวในย่านเก่าอย่าง ถนนปากแพรก
ย่านชุมชนที่รวมสถาปัตยกรรมแนวชิโน-โปตุกีส ซึ่งแม้จะล่วงเลยมานานเป็นร้อยปี สถาปัตยกรรมเหล่านี้ไม่สูญหายไปตามกาลเวลา
เก่าไม่เก่า ชุมชนนี้ก็อยู่ในจังหวัดกาญจนบุรีมากว่า 177 ปีแล้ว ภาพชุมชนแบบชิโน-โปตุกีสนี้ หาดูได้ยากเพราะในประเทศไทยแล้วมีเพียง 3 แห่ง คือ ชุมชนจันทรบูร ที่จังหวัดจันทบุรี ชุมชนเก่าเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต และที่นี่ ชุมชนบ้านปากแพรก จังหวัดกาญจนบุรี
ผมบอกเลยครับว่านอกจากอายุอานามที่มากแล้ว ประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์ของชุมชนแห่งนี้ก็ไม่น้อยเลย
ภาพในอดีตของชุมชนแห่งนี้ จะเป็นบรรยากาศที่มีทหารญี่ปุ่นเข้ามาเช่าตึกแถวเพื่อทำการค้าในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และถ้าใครพอเคยได้ยินเรื่องราวของเส้นทางสายมรณะมาอยู่บ้าง ที่ชุมชนแห่งนี้ก็มีเอี่ยว
ผมมีโอกาสได้นั่งคุยกับคนเก่าคนแก่ที่อาศัยอยู่ที่นี่ หลายๆท่านต่างก็เล่าเคยเห็นภาพที่ทหารญี่ปุ่น พาเชลยศึกชาวออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ผ่านมาทางย่านนี้ มาแวะอาบน้ำตรงลานริมแม่น้ำแควบ่อยๆ
คุณป้าท่านนึงบอกว่าตนยังเคยเอามะนาวใส่ถุงพลาสติกแอบโยนขึ้นไปบนรถที่ขนส่งเชลยพวกนี้เลย หรือไม่บางทีก็แอบเอาเสบียง นิดๆหน่อยๆ ไปซ่อนไว้ในทรายแถวๆ บริเวณที่อาบน้ำของเชลยไว้ให้พวกเขามาหยิบไป เพื่อประทังชีวิต
ในเหตุการณ์นี้ที่ผมอ่านมาคือ ทำให้เกิดวีรบุรุษสงครามอย่าง นายบุญผ่อง สิริเวชชะพันธ์ ซึ่งเป็นผู้คอยช่วยเหลือเชลยศึกในสงครามด้วยการลอบส่งเครื่องอุปโภคบริโภค และยารักษาโรคอย่างลับๆ เมื่อเสร็จสิ้นสงคราม ญี่ปุ่นพ่ายแพ้ไป ทางการจึงประกาศให้ประเทศไทยไม่ใช่ผู้แพ้สงครามนั่นก็เพราะความช่วยเหลือส่วนหนึ่งของนายบุญผ่องเช่นกัน
เข้าเรื่องเที่ยวต่อดีกว่าครับ ใครที่แวะมาที่นี่ ก็จะมีกาแฟ และเค้กอร่อยๆ ที่บ้านสิทธิสังข์ ให้ได้จิบพอสบายท้อง และก็ยังมีอาหารอีกหลากหลาย ให้คนที่ผ่านไปผ่านมาได้ลิ้มลอง
สำหรับความเห็นผมแล้ว เค้กอร่อยครับ กาแฟก็รสชาติเข้มข้นดี แต่ชาเขียวนี่ผมไม่ปลื้มเท่าไร ไม่รู้ว่าคนชงรีบเกินไปหรืออย่างไร ผงชาเขียวยังไม่ทันละลายเลยครับ
พอสำราญจากของหวานและเมืองเก่าเรียบร้อย ผมก็กลับเข้าสู่เส้นทางสีแสด ย้อนกลับไปเล็กน้อย เพื่อแวะทักทาย ต้นจามจุรียักษ์ ที่ยังคงยืนหยัดมานานกว่าร้อยปี ตอนแรกที่หาข้อมูลดูเหมือนว่าก็งั้นๆ แต่พอไปเห็นสิครับ.. โอ้โห มหึมา
ไม่เชื่อก็ดูด้วยสองตา เทียบกับรถว่าใหญ่แล้ว เทียบกับคนนี่ คนกลายเป็นนกน้อย คล้อยบินมาเดียวดายได้เลย ต้นจามจุรีนี้ บ้างก็เรียกก้ามปู บ้างก็เรียกก้ามกุ้ง บางคนก็เรียกสำสา เรียกตุ๊ดตู่มั่ง แต่ก็หมายถึงเจ้าต้นเนี้ยล่ะ
ต้นจามจุรีต้นนี้สูง20เมตร ขนาดลำต้นของจามจุรียักษ์นั้น 10 คน โอบเห็นจะได้ แต่กิ่งก้านใบที่แผ่สาขา กระจายวงกว้าง ตั้งพุ่มเขียวขจีให้ร่มเงานั้น คิดว่ามากกว่า100คนโอบ พื้นที่กว่าหนึ่งไร่เศษ นั่งอยู่ใต้ต้นจามจุรี ดูสิ ตัวเล็กไปถนัดตา
เสียดายที่ช่วงนี้จามจุรีออกดอกยังไม่มากนัก เลยได้เห็นเป็นหย่อมๆ เพียงเล็กน้อย
สำหรับต้นจามจุรียักษ์นี้อยู่ในบริเวณกองการสัตว์และเกษตรกรรมที่1 จังหวัดกาญจนบุรี ระหว่างทางที่เข้ามาชม จะมีสัตว์นานาพรรณ ทั้งม้า แกะ รวมถึงพ่อไก่แม่ไก่เจ้าถิ่น ไก่ที่นี่ปีนต้นไม้ได้นะครับ ไม่เชื่อก็ดู
กลับสู่เส้นทางสีแสดอีกครั้ง มุ่งหน้ายังไทรโยค เผอิญมีนัดกับแม่น้ำแคว…
ไม่รู้ว่าคนรุ่นใหม่ๆ สมัยนี้ จะเคยได้ยินได้ฟังเพลงเขมรไทรโยคหรือไม่ …บรรยายความตามไท้เสด็จยาตรา ยังไทรโยคประพาสพนาสณฑ์ น้องเอย..เจ้าไม่เคยเห็น ไม้ไร่หลากพันธุ์ คละขึ้นปะปน ที่ชายชลเขาชะโงก เป็นโกรกธาร น้ำพุพุ่งซ่าน ไหลมาฉาดฉาน เห็นตระการ มันไหลจ้อกโครม จ้อกโครม…
ทั้งหมดที่เพลงว่ามานี้ ภาพที่เห็นอารมณ์เดียวกัน
ณ อุทยานไทรโยค น้ำที่แม้จะเห็นเป็นสีเขียว แต่ทว่าก็ใส และเย็นจับใจ แถมภูเขาที่นี่ เขียวขจีและอุดมสมบูรณ์ไปด้วยหมู่มวลแมกไม้ ต่างกับบางจังหวัดที่โล้นโกร๋น บ้างก็แล้งแห้ง
การมาเที่ยวไทรโยค หากไม่ล่องเรือ ก็ต้อล่องแพ หรือไม่ก็ต้องนอนแผ่เล่นน้ำตก ถึงจะสาแก่ใจ เพราะสายน้ำที่แสนจะเย็นฉ่ำ จะพาให้เราเพลิดเพลิน จนลืมอากาศที่ร้อนผ่าว
ผมทิ้งชีวิตให้อยู่บนแพเสียครึ่งวัน นั่งแกว่งขา ทักทายแม่น้ำแคว อย่างสนุกสนาน
ชีวิตที่ ชิว เนิบช้า มักให้คุณค่าบางสิ่ง กับร่างกายและจิตใจเราเสมอ…