กลับมาต่อกันกับทริปเที่ยวรัสเซีย ตอนที่ 2 กันแล้วนะจ้ะ ต่อจากภาค 1
http://ppantip.com/topic/32327734 บล็อคนี้จะยาวนิดนึง เพราะเที่ยวแน่นมากกกก บางที่ที่แย้ไปอาจจะถ่ายรูปไม่ได้ เอาเป็นว่าเอารูปบรรยากาศรอบๆมาฝากละกันนะจ้ะ
มาต่อกับวันที่ 4 ของทริปรัสเซียโดยบินจากกรุงมอสโคว์มาที่เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก บางทัวร์อาจจะให้นั่งรถไฟ หรือนั่งรถบัสมาซึ่งใช้เวลาค่อนข้างเยอะ ทัวร์นี้เป็นทัวร์แบบระยะสั้นก็เลยให้บินมาเลยใช้เวลาประมาณ 1 ชม. 45 นาที
ตอนแรกไม่ได้มีไอเดียอะไรเกี่ยวกับเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเลยเพราะไม่เคยเห็นในสารคดีหรือในหนังเลย ปรากฎว่าดูในแผนที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กอยู่ติดกับฟินน์แลนด์ ลิทัวเนีย ลัตเวีย เลยแสดงว่าความเป็นยุโรปสูง ปรากฎว่ามาแล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ คือคนจะมีความเป็นยุโรปมากกว่า ถ้าที่มอสโคว์คนที่นั่นจะหน้าบึ้งดุๆแบบรัสเซีย แต่คนเมืองนี้จะยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นมา
อากาศหนาวกว่าทางมอสโคว์เพราะอยู่ใกล้กับทะเล เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กจะแตกต่างกับมอสโคว์เลย เพราะมอสโคว์เป็นเมืองที่ไม่ติดทะเล ปกติมอสโคว์จะเป็นเมืองหลวงของรัสเซียมาตลอด แต่ว่าจะมีช่วงนึง ก็คือสมัยพระเจ้าซาร์ ปีเตอร์มหาราช(ยุคที่ รัสเซียเจริญรุ่งเรืองสุดๆ) ได้ย้ายเมืองหลวงมาที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กแทน เนื่องจากว่าจะได้ทำการค้าขายกับยุโรปได้ง่ายขึ้น เพราะเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กอยู่ติดกับทะเลบอลติกที่นำไปสู่หลายๆประเทศในยุโรป ทำให้การติดต่อค้าขายดีขึ้น แต่ปรากฏว่าย้ายมาได้ไม่นาน ก่อร่างสร้างเมืองเสร็จก็มีการย้ายเมืองหลวงกลับ เนื่องจากเป็นนโยบายของจักรพรรดิองค์ต่อๆมานั่นเอง
ตอนที่มาเมืองนี้ไม่รู้น่าอยู่หรือเปล่า แต่สำหรับนักท่องเที่ยวเนื่องจากว่า เป็นเมืองที่สวยงามมีการวางผังเมืองที่สวยมากๆ ทุกอย่างดูเป็นระเบียบเรียบร้อย บ้านเมืองจะเป็นตึกทรงเดียวกันหมด สูง4-5 ชั้น แต่ละตึกจะต้องสูงไม่เกิน 28 เมตร เพราะว่าจะไปบดบังพระราชวังต่างๆ สีของตึกจะเป็นสีเหลือง สีชมพูแล้วก็สีฟ้า จะออกสีพาสเทลๆ ดูแล้วคลาสิกมากๆ ทางยูเนสโก้ ยกย่องให้เป็นเมืองมรดกโลกนั่นเอง ใครเคยไปบูคาเรส โรมาเนียก็จะเห็นถึงความคล้ายคลึง
ด้วยความที่อยู่ติดทะเล จึงทำให้มีแม่น้ำลำคลองเยอะ มีสะพาน มีทั้งคลองที่ขุดขึ้นมาเป็น 10 กิโล แม่น้ำธรรมชาติ ทำให้เมืองนี้มีทัศนียภาพที่สวยงามดุจภาพวาดกันเลยทีเดียว แล้วก็มีพวกเรือสำราญมาลงด้วย
ที่มหาวิหารกลายเป็นที่จัดแสดงงานศิลปะต่างๆ หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับทางศาสนา และจัดกิจกรรมต่างๆ ดั้งนั้นไม่ได้ใช้เป็นศาสนสถานแล้ว เราก็เลยแต่งตัวอะไรก็ได้ แล้วก็สามารถถ่ายรูปข้างในได้ รวมไปถึงข้างในมีร้านขายของที่ระลึกด้วย
ซึ่งมหาวิหารเซนต์ไอแซคได้ชื่อว่าเป็นมหาวิหารที่สวยงามที่สุดและใหญ่เป็นลำดับที่ 4 ของโลกซึ่งเป็นต้นแบบของรัฐบาลวอลชิงตันของอเมริกา มีความสวยงามมาก มีภาพเขียนจิตรกรรมเฟรสโก้อยู่ตามผนัง และกระเบื้องโมเสคที่เอามาเรียงกันกลายเป็นรูปภาพ
มาทานอาหารที่ ร้านอาหารภัตตาคารท้องถิ่น Podvorye Restaurant ที่นี่เซเลปมาทานเยอะเฟ่อ! มีออร์เดิฟมากมายหลายอย่างมาก เนื้อหมูต่างๆ มะเขือเทศแปะหน้าด้วยมันฝรั่งผสมชีสโรสแมรี่ ที่สำคัญมี วอดก้า (ที่นี่กินเพียวเท่านั้น) ไวน์ขาว ไวน์แดง ภาพสุดท้ายเป็นซุปครีมเห็ดแบบเข้มข้นเพราะเห็ดมาเป็นชิ้นๆเลยทีเดียว
ส่วนอันนี้เป็นซุปของเขาแต่จำชื่อไม่ได้แล้ว ซุปที่อารมณ์คล้ายๆเย็นตาโฟ แต่ที่นี่จะกินแบบใส่ซาวครีมเข้าไป ตอนไม่ใส่ก็น่ากินอยู่หรอก แต่พอใส่ปุ้บคนแล้วเละเลยจ้า แต่ชิมแล้วก็อร่อยไปอีกแบบ
ส่วน Main Course ของมื้อนี้อารมณ์เหมือนแกงจืด ข้างในผักกาดขาวหรือกะหล่ำปลีในนี้ ต้มจนเปื่อย ข้างในเป็นหมูหมักปรุงรส อร่อยเหมือนแกงจืดบ้านเราเลย ปิดท้ายด้วยขนมหวานเป็นเครปแครนเบอร์รี่ เสิร์ฟพร้อมไอศครีมวนิลา ราดด้วยน้ำผึ้งสด
[CR] ตะลุย Russia กับหญิงแย้ ตอนที่ 2
มาต่อกับวันที่ 4 ของทริปรัสเซียโดยบินจากกรุงมอสโคว์มาที่เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก บางทัวร์อาจจะให้นั่งรถไฟ หรือนั่งรถบัสมาซึ่งใช้เวลาค่อนข้างเยอะ ทัวร์นี้เป็นทัวร์แบบระยะสั้นก็เลยให้บินมาเลยใช้เวลาประมาณ 1 ชม. 45 นาที
ตอนแรกไม่ได้มีไอเดียอะไรเกี่ยวกับเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเลยเพราะไม่เคยเห็นในสารคดีหรือในหนังเลย ปรากฎว่าดูในแผนที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กอยู่ติดกับฟินน์แลนด์ ลิทัวเนีย ลัตเวีย เลยแสดงว่าความเป็นยุโรปสูง ปรากฎว่ามาแล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ คือคนจะมีความเป็นยุโรปมากกว่า ถ้าที่มอสโคว์คนที่นั่นจะหน้าบึ้งดุๆแบบรัสเซีย แต่คนเมืองนี้จะยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นมา
อากาศหนาวกว่าทางมอสโคว์เพราะอยู่ใกล้กับทะเล เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กจะแตกต่างกับมอสโคว์เลย เพราะมอสโคว์เป็นเมืองที่ไม่ติดทะเล ปกติมอสโคว์จะเป็นเมืองหลวงของรัสเซียมาตลอด แต่ว่าจะมีช่วงนึง ก็คือสมัยพระเจ้าซาร์ ปีเตอร์มหาราช(ยุคที่ รัสเซียเจริญรุ่งเรืองสุดๆ) ได้ย้ายเมืองหลวงมาที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กแทน เนื่องจากว่าจะได้ทำการค้าขายกับยุโรปได้ง่ายขึ้น เพราะเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กอยู่ติดกับทะเลบอลติกที่นำไปสู่หลายๆประเทศในยุโรป ทำให้การติดต่อค้าขายดีขึ้น แต่ปรากฏว่าย้ายมาได้ไม่นาน ก่อร่างสร้างเมืองเสร็จก็มีการย้ายเมืองหลวงกลับ เนื่องจากเป็นนโยบายของจักรพรรดิองค์ต่อๆมานั่นเอง
ตอนที่มาเมืองนี้ไม่รู้น่าอยู่หรือเปล่า แต่สำหรับนักท่องเที่ยวเนื่องจากว่า เป็นเมืองที่สวยงามมีการวางผังเมืองที่สวยมากๆ ทุกอย่างดูเป็นระเบียบเรียบร้อย บ้านเมืองจะเป็นตึกทรงเดียวกันหมด สูง4-5 ชั้น แต่ละตึกจะต้องสูงไม่เกิน 28 เมตร เพราะว่าจะไปบดบังพระราชวังต่างๆ สีของตึกจะเป็นสีเหลือง สีชมพูแล้วก็สีฟ้า จะออกสีพาสเทลๆ ดูแล้วคลาสิกมากๆ ทางยูเนสโก้ ยกย่องให้เป็นเมืองมรดกโลกนั่นเอง ใครเคยไปบูคาเรส โรมาเนียก็จะเห็นถึงความคล้ายคลึง
ด้วยความที่อยู่ติดทะเล จึงทำให้มีแม่น้ำลำคลองเยอะ มีสะพาน มีทั้งคลองที่ขุดขึ้นมาเป็น 10 กิโล แม่น้ำธรรมชาติ ทำให้เมืองนี้มีทัศนียภาพที่สวยงามดุจภาพวาดกันเลยทีเดียว แล้วก็มีพวกเรือสำราญมาลงด้วย
ที่มหาวิหารกลายเป็นที่จัดแสดงงานศิลปะต่างๆ หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับทางศาสนา และจัดกิจกรรมต่างๆ ดั้งนั้นไม่ได้ใช้เป็นศาสนสถานแล้ว เราก็เลยแต่งตัวอะไรก็ได้ แล้วก็สามารถถ่ายรูปข้างในได้ รวมไปถึงข้างในมีร้านขายของที่ระลึกด้วย
ซึ่งมหาวิหารเซนต์ไอแซคได้ชื่อว่าเป็นมหาวิหารที่สวยงามที่สุดและใหญ่เป็นลำดับที่ 4 ของโลกซึ่งเป็นต้นแบบของรัฐบาลวอลชิงตันของอเมริกา มีความสวยงามมาก มีภาพเขียนจิตรกรรมเฟรสโก้อยู่ตามผนัง และกระเบื้องโมเสคที่เอามาเรียงกันกลายเป็นรูปภาพ
มาทานอาหารที่ ร้านอาหารภัตตาคารท้องถิ่น Podvorye Restaurant ที่นี่เซเลปมาทานเยอะเฟ่อ! มีออร์เดิฟมากมายหลายอย่างมาก เนื้อหมูต่างๆ มะเขือเทศแปะหน้าด้วยมันฝรั่งผสมชีสโรสแมรี่ ที่สำคัญมี วอดก้า (ที่นี่กินเพียวเท่านั้น) ไวน์ขาว ไวน์แดง ภาพสุดท้ายเป็นซุปครีมเห็ดแบบเข้มข้นเพราะเห็ดมาเป็นชิ้นๆเลยทีเดียว
ส่วนอันนี้เป็นซุปของเขาแต่จำชื่อไม่ได้แล้ว ซุปที่อารมณ์คล้ายๆเย็นตาโฟ แต่ที่นี่จะกินแบบใส่ซาวครีมเข้าไป ตอนไม่ใส่ก็น่ากินอยู่หรอก แต่พอใส่ปุ้บคนแล้วเละเลยจ้า แต่ชิมแล้วก็อร่อยไปอีกแบบ
ส่วน Main Course ของมื้อนี้อารมณ์เหมือนแกงจืด ข้างในผักกาดขาวหรือกะหล่ำปลีในนี้ ต้มจนเปื่อย ข้างในเป็นหมูหมักปรุงรส อร่อยเหมือนแกงจืดบ้านเราเลย ปิดท้ายด้วยขนมหวานเป็นเครปแครนเบอร์รี่ เสิร์ฟพร้อมไอศครีมวนิลา ราดด้วยน้ำผึ้งสด