ถึงพ่อแม่ที่กำลังจะเลือกสายการเรียนให้ลูกค่ะ

สาระสำคัญของหัวข้อนี้คือ คุณคิดหรือว่าเด็กที่เรียนสายวิทย์-คณิตจะมีงาน มีโอกาสทางด้านอาชีพมากกว่าเด็กสายศิลป์จริงหรือ เด็กสายวิทย์จะมีรายได้ที่มากกว่า และมั่นคงกว่าเด็กสายศิลป์จริงหรือ การบังคับให้เด็กที่มีความถนัด หรือความชอบทางด้านศิลป์ให้เข้าสายวิทย์-คณิตนั้นจะมีผลดีต่อเด็กจริงหรือ
        ก่อนอื่นต้องบอกก่อนนะคะว่าหนูเนี่ยกำลังเรียนอยู่ขั้นมัธยมปลายเลย กำลังจะเอ็นทรานซ์ปี 2558 ที่จะมาถึงนี้ เห็นปัญหาหลายๆอย่างของเพื่อนๆ และก็ของตัวเองโดยตรงเลย เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์เผื่อคุณพ่อคุณแม่ท่านใดเข้ามาอ่าน และพยายามเข้าใจอาจจะทำให้ท่านสามารถเข้าใจลูกของท่าน และเปิดรับความคิดใหม่ๆมากขึ้น
        ประเด็นแรกที่คิดว่าคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ควรทราบนะคะ คือ สิ่งที่คนรุ่นโบราณมีความเชื่อว่า ควรส่งลูกให้ได้เป็น หมอบ้าง วิศวะบ้าง หรือบางคนไม่ได้คิดถึงความสามารถ และความถนัดของเด็กด้วยซ้ำ ก็พยายามยัดเยียด หรือบีบบังคับให้เข้าสายวิทย์ไปก่อน เพราะจะได้มีรายได้ที่ดี มีการงานที่มั่นคง มีโอกาสเลือกมากกว่า แต่ในคามเป็นจริงแล้ว ใช่ค่ะ มันมีทางเลือกมากก็จริง แต่มันอาจจะไม่ใช่เลยสักทางของเด็กก็ได้
        อย่างเช่นในกรณีของหนู ต้องบอกก่อนว่า จริงๆแล้วเป็นคนที่มีความสามารถทางด้านวาดรูปพอสมควร เคยได้เป็นตัวแทนไปประกวดวาดภาพของโรงเรียน เป็นเด็กที่ล่าเกียรติบัตรมาตั้งแต่ประถม เรียกว่าความสามารถฉายแววมาตั้งแต่เด็กๆ จนบางคนบอกว่ามันเป็นพรสวรรค์ติดตัวของหนูมาเลยก็ได้ เนื่องจากเป็นสิ่งที่ทำได้ดีที่สุด มันจึงกลายเป็นสิ่งที่ชอบ และรักที่จะทำ ทั้งหมดนี้ก็ถูกฝังมาในสายเลือดตั้งแต่เด็กๆ
        อาชีพแรกที่คิดอยู่ในหัวตอนประถมคือ เป็นคนวาดภาพตามฝาผนังกำแพงวัด ตอนนั้นผู้ใหญ่ก็ดูจะสนับสนุนดีค่ะ แต่จุดพลิกผันของชีวิตก็เกิดขึ้นตอนที่จะต้องเลือกสายการเรียน ตอนเด็กๆหนูค่อนข้างเรียนดีค่ะ เรียนได้ 3.5 ขึ้น ฟังแล้วดูเหมือนจะดี แต่นั่นกลับเป็นดาบสองคม มันเป็นเหตุผลสำคัญเลยที่บังคับให้หนูต้องเรียนสายวิทย์-คณิต พ่อของหนูบอกว่าในเมื่อโอกาสมาอยู่ตรงหน้าแล้ว ถ้าจะปล่อยไป ก็เรียกกว่าโง่มากแล้ว บวกกับตอนนั้นพ่อก็วาดฝันให้หนูเรียนหมอ แล้วก็ดูพอใจกับเกรดของหนูมาก ทำให้เค้าพยายามผลักดันให้หนูเข้าไปเรียนสายวิทย์-คณิตให้ได้ นั่นแหละค่ะคือจุดเริ่มต้นของปัญหาเรื้อรังที่ก่อตัวมานานเกือบสามปี
        หลังจากเข้ามาใช้ชีวิตเป็นเด็กวิทย์อย่างเต็มตัวแล้ว แรกๆก็ไหวอยู่ค่ะ ก็หาตัวเองไปเรื่อยๆ ก็หลอกตัวเองไปวันๆว่าเราชอบหมอนะ เราอยากเป็นหมอนะ เรียนพิเศษหนักมากค่ะ เตรียมตั้งแต่ม.4 แต่พอมาถึงจุดนึง เกรดก็เริ่มตกต่ำ เพราะว่าวิชาในสายวิทย์ไม่ใช่วิชาที่เราถนัด ถึงถนัดก็ถนัดได้ไม่เท่าวิชาสายศิลป์ จนในที่สุดปัญหาครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้น ทะเลาะกับที่บ้านจนได้ค่ะ เนื่องจาก ถึงแม้ว่าหนูจะพยายามคิดว่าตัวเองจะเป็นหมออยู่ แต่ว่าความรักในการวาดรูปก็ยังคงอยู่ในสายเลือดมาตลอด สุดท้ายก็ขอแม่ไปเรียนดรออิ้งเล่นๆวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ แล้วก็เกิดอินขึ้นมาค่ะ ก็เลยอ้อนวอนขอพ่อทุกวิถีทาง อยากเรียนมัณฆนศิลป์มาก (เป็นคณะเกี่ยวกับการออกแบบ) เรียกว่าใช่เลย ตรงกับสิ่งที่อยากทำ อยากใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งนี้ในอนาคตมากๆ ก็เลยพยายามขอพ่อจนในที่สุดพ่อก็ยอมค่ะ แต่ยอมแบบจำใจยอม ประมาณว่าวันนึงก็จะรู้เองว่าสิ่งที่หนูเลือกเนี่ยมันผิด
        ตอนนั้นบอกเลยว่ามีความสุขมากๆค่ะ วาดรูปทั้งวัน เรียนวาดหนักด้วย ตอนนั้นคนที่บ้านก็ไม่ค่อยจะชอบเท่าไหร่ หาว่าวันๆเอาแต่วาดรูปทำในสิ่งที่ไร้สาระ สุดท้ายก็ต้องไส้แห้ง แต่สิ่งที่หนูเห็นในหัวคือทุกที่มันเต็มไปด้วยศิลปะ เอาง่ายๆนะคะแค่น้ำที่เรากินอยู่ทุกวันเนี่ย มันก็มีฉลาก มีโฆษณา หรือเสื้อผ้าที่เราใส่ มันก็เกิดจากออกแบบทั้งรูปทรง ทั้งสีสัน ละใครล่ะเป็นคนออกแบบ
        แต่สุดท้ายค่ะ ฝันก็ดับสลายลง เพราะทุกคนในบ้านพยายามไซโคให้มาเรียนอะไรที่เป็นการเป็นงานมากกว่านี้ พยายามโน้มน้าวให้ไปเรียนวิศวะ ครั้งนั้นเครียดมากเลย แต่โดนบีบบังคับ จากเด็กที่มุ่งมาทางสายศิลป์ เรียนแต่วาดรูป ต้องกลับมาฟิตวิชาวิทย์เพื่อสอบเข้าวิศวะอีก ตอนนั้นเหมือนเราปล่อยสิ่งที่เราทำได้ดี แล้วกลับมาเริ่มใหม่กับสิ่งที่เราไม่ถนัด เสียเวลามากค่ะ เหมือนเดินบนทางที่มันไม่ใช่ตัวเอง แบบจับปลาสองมือ สุดท้ายก็ไม่ใช่อีก ก็ขอเปลี่ยนอีกค่ะ คราวนี้เปลี่ยนเป็นบัญชี แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นบริหาร ตอนนั้นยอมรับค่ะว่าถ้าไม่ได้เรียนมัณฆนศิลป์แล้ว ต่อให้เรียนอะไรไปก็เหมือนกันค่ะ เพราะว่าไม่รู้ตัวเองจริงๆ เรียนอะไรก็เป็นตายเท่ากัน สุดท้ายก็เขวค่ะ เปลี่ยนไปเรื่อยๆแบบไร้จุดหมายเลย เพราะเหมือนอย่างผู้ใหญ่พูดจริงๆค่ะ คือทางเลือกเยอะมาก แต่ท่านพูดไม่ครบค่ะ จริงๆคือทางเลือกเยอะมากแต่ไม่มีทางไหนที่ใช่ทางของเราเลย
        สิ่งที่อยากทำตอนนี้ก็คือ อยากจะมาเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนทัศนคติของพ่อแม่หลายๆคนที่ลูกกำลังจะต้องเลือกทางของตัวเองนะคะ ต้องทราบก่อนว่า การที่คนเรารักและทำได้ดีในสิ่งใดสิ่งใดก็ตาม เค้าจะมีความพยายามทำสิ่งนั้นออกมาให้ดีที่สุด เพราะเค้าชอบเค้ารัก เค้าเลยมีความสุขที่จะพยายามกับมันได้มากกว่า เค้าโชคดีกว่าเด็กบางคนที่ไม่รู้จักตัวเอง เค้าเลือกทางของเค้าได้ตั้งแน่เนิ่นๆ นับว่าโชคดีค่ะ เพราะฉะนั้นจึงควรเข้าใจ และก็สนับสนุนอีกแรง ถ้าเด็กๆได้ทำในสิ่งที่รัก และมีกำลังใจกับความเข้าใจจากคุณพ่อคุณแม่แล้ว จะทำให้เค้าพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว
        สิ่งที่ควรทราบอีกอย่างนะคะคือ ไม่มีอาชีพไหนด้อยกว่าอาชีพไหน อยู่ที่ว่าคุณใช้อะไรมาวัดความสำเร็จ คนบางคนใช้เงินเป็นตัววัด ตรงส่วนนี้ต้องบอกว่าคุณกำลังคิดผิดมากๆค่ะ เพราะทุกอาชีพก็รวยได้ ทุกอาชีพมีการก้าวหน้า มีการไต่ระดับ อยู่ที่ความเก่ง และความสามารถของตัวบุคคลมากกว่า ถ้าคุณเก่งจริงๆ รับรองว่ายังไงก็รายได้ดีแน่ๆค่ะ คนบางคนใช้ความสุขเป็นตัววัด ทุกอาชีพมีจุดเด่นเป็นของตัวเอง หมออาจมีรายได้สูงและมั่นคง แต่ก็ต้องยอมรับนะคะว่าคุณต้องเป็นที่เสียสละความสุขและเวลาของตัวเองพอสมควร อาจเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยการแข่งขันตั้งแต่เด็กๆ ต้องเจอกับคนป่วย คนมีความทุกข์ ความกดดันของญาติ ในขณะที่บางอาชีพ รายได้ไม่มากนัก แต่เป็นงานที่สนุก เป็นงานที่ได้ทำอะไรแปลกใหม่ นั่นก็แล้วแต่ใครจะชอบแบบไหนนะคะ ทุกอาชีพดีหมด  อยู่ที่ความชอบมากกว่า  ไม่มีคำว่าตกงานถ้าคุณไม่ดูถูกงาน ในความเป็นจริงนะคะ งานน่ะ มีอยู่มากมายรอบตัวเราเลย อยู่แค่ว่าเราจะเกี่ยง จะบอกว่าเหนื่อยบ้าง งานหนักบ้างรึเปล่า ถ้าเกี่ยงงานเนี่ย ไม่ว่าอาชีพไหนก็ไม่มีงานนะคะ
        สุดท้ายนี้นะคะ ก็อยากให้พ่อแม่รุ่นใหม่ลองเปิดใจให้กว้างๆ อ่านและทำความเข้าใจ ลองนึกถึงตัวเองดูบ้าง ใครที่เคยโดนกดดันให้ทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ชอบ ไม่ได้รักแล้ว สุดท้ายคุณมีความสุขเท่าที่ควรรึเปล่า แล้วถ้าไม่มี คุณจะปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับลูกๆของคุณซ้ำรอยหรอคะ ฝากไปคิดดูใหม่ด้วยนะคะสำหรับใครที่ยังมีความคิดแบบเดิมๆ ลองเอาเรื่องของหนูเป็นอุทาหรณ์ดู...จากเด็กม.6 คนหนึ่ง

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่