เดียรถีย์ กับ พระพุทธเจ้า แตกต่างกันยังไง?
ในสมัยพุทธกาล พวกเดียรถีย์ คือ นักบวช ไม่ว่าจะอยู่สำนักไหน นับถือลัทธิอะไร คือ เดียรถีย์หมด
แต่นักบวชที่จะถือว่าเป็นเดียรถีย์ ก็คือ บวชเพราะไม่ได้แสวงหาทางดับทุกข์ เอาวิชา เอาฤทธิ์ต่างๆที่ตัวเองมีไปใช้ประโยชน์หากิน
เอาลาภสักการะจากชาวบ้าน หรือ บวชเพราะอยากมีฤทธิ์ อยากรู้ อยากเห็น ไม่ได้บวชเพราะต้องการดับทุกข์
ดังนั้น พระพุทธเจ้าและนักบวชในศาสนาพุทธ จึงมิใช่เดียรถีย์ อีกทั้งพระพุทธเจ้าซึ่งมีชื่อว่าสมณะโคดมก็ไม่เคยเป็นเดียรถีย์นับตั้งแต่วันแรกที่ออกบวช
ซึ่งโกนผมที่ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา เพราะท่านมีจุดประสงค์ในการออกบวชเพื่อแสวงหาทางดับทุกข์
การกล่าวหาพระพุทธเจ้าว่าเป็นเดียรถีย์ ถือเป็นการลบหลู่ที่ร้ายแรง ในทางโลกความไม่รู้อาจไม่ผิด แต่ในทางธรรมความไม่รู้สามารถพาลงนรกได้
ผมเห็นเอาหลักฐานจากตำรามาอ้างเถียงกัน เลยมาบอกเอาบุญเพราะเรื่องเดียรถีย์มันมีแค่นี้
วันนี้เห็นพูดถึงเดียรถีย์กัน เลยขอแจมมั่ง จะได้ตาสว่าง
ในสมัยพุทธกาล พวกเดียรถีย์ คือ นักบวช ไม่ว่าจะอยู่สำนักไหน นับถือลัทธิอะไร คือ เดียรถีย์หมด
แต่นักบวชที่จะถือว่าเป็นเดียรถีย์ ก็คือ บวชเพราะไม่ได้แสวงหาทางดับทุกข์ เอาวิชา เอาฤทธิ์ต่างๆที่ตัวเองมีไปใช้ประโยชน์หากิน
เอาลาภสักการะจากชาวบ้าน หรือ บวชเพราะอยากมีฤทธิ์ อยากรู้ อยากเห็น ไม่ได้บวชเพราะต้องการดับทุกข์
ดังนั้น พระพุทธเจ้าและนักบวชในศาสนาพุทธ จึงมิใช่เดียรถีย์ อีกทั้งพระพุทธเจ้าซึ่งมีชื่อว่าสมณะโคดมก็ไม่เคยเป็นเดียรถีย์นับตั้งแต่วันแรกที่ออกบวช
ซึ่งโกนผมที่ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา เพราะท่านมีจุดประสงค์ในการออกบวชเพื่อแสวงหาทางดับทุกข์
การกล่าวหาพระพุทธเจ้าว่าเป็นเดียรถีย์ ถือเป็นการลบหลู่ที่ร้ายแรง ในทางโลกความไม่รู้อาจไม่ผิด แต่ในทางธรรมความไม่รู้สามารถพาลงนรกได้
ผมเห็นเอาหลักฐานจากตำรามาอ้างเถียงกัน เลยมาบอกเอาบุญเพราะเรื่องเดียรถีย์มันมีแค่นี้