เอกชน vs ข้าราชการ

จากกระทู้
http://ppantip.com/topic/32327251

เราอยากถามอีกซักครั้งถึงข้อดีข้อเสียของแต่ละอย่าง

ใจจริงเราอยากทำตัวที่มันได้เงินเยอะ แต่ก็แอบไม่มั่นใจในตนเอง

เม่าเหม่อ เม่าตกใจ เม่าในกองไฟ เม่าเป็นลม เม่าฝึกจิต

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 23
ขอแชร์ประสบการณ์ ในฐานะที่เคยทำงานทั้งเอกชนและราชการนะครับ
ผมเคยทำงานเอกชนมา 6 ปี ก่อนสอบเข้ารับราชการได้ (เป็นข้าราชการ ไม่ใช่ พนง.ราชการ หรือลูกจ้างเหมาฯ) หลังจากนั้นจึงลาออกจากบริษัทเอกชน ทั้งๆที่ตอนนั้นงานไปได้ดีมาก ทั้งหน้าที่การงาน และตำแหน่ง เพื่อมารับราชการในตำแหน่งวิศวกรปฏิบัติการ ใน กทม จากเงินเดือนเหยียบ 30000 บาท ไม่รวมโอที และโบนัส มารับเงินเดือน 13300 บาท + ค่าครองชีพ 1700 บาท (ก่อนจะมาปรับเป็น 15000 บาท จริงๆ เมื่อ 1 มค 57 ) ตอนที่ลาออกจากเอกชนมีหลายคนคัดค้านไม่ให้มา เพราะเงินเดือนน้อย  ใจตอนนั้นคิดแต่ว่าไม่เป็นไร เราคงอยู่ได้ ถ้าประหยัดหน่อย แต่สิ่งสำคัญคือ ได้ทำงาน แทนคุณแผ่นดิน

แต่พอได้มาทำจริง กลับไม่เป็นอย่างที่คิด เพราะพบเจอทั้งการคอรัปชั่นทั้งในและนอกรูปแบบ การทำงานเพื่อหวังเพียงตำแหน่ง ไม่นับกันที่ความสามารถ นับกันแค่เด็กใคร (ผมไม่มีเส้นสาย เข้าได้เพราะความสามารถล้วนๆ) งานที่ทำก็ไม่สามารถออกสิทธิ์ออกเสียงใดๆได้ แม้จะเสนอแย้งด้วยหลักการและความรู้ที่ถูกก็ตาม เพราะมักถูกขัดด้วยความแก่พรรษากว่า ผลงานที่ทำแม้จะทำดี ทำได้ ก็ไม่ใช่ผลงานเรา ต้องยกให้คนที่ถูกเรียกว่าหัวหน้า
ยกตัวอย่างปัญหาที่เคยเจอ เช่น
- งานจัดจ้างที่ปรึกษา แม้ที่ปรึกษา จะทำมาแบบไม่ดี มีข้อผิดพลาดมาก เวลาเซ็นต์ตรวจรับ เราจะไม่เซ็นต์ก็ไม่ได้ เพราะที่ปรึกษาจะไปฟ้องหัวหน้าว่าเราไม่ยอมเซ็นต์ ทำให้เค้าเบิกเงินไปใช้ไม่ได้ เราก็จะโดนกดดันกลับมาอีก (แต่เราก็ยืนกรานไม่เซ็นต์ กรรมการตรวจรับมี 5 คน ถ้าเซ็นต์มากกว่า 3 คน ก็เบิกเงินได้ ผลสุดท้ายมีกรรมการเซ็นต์ 4 คน ส่วนในชื่อเรา เค้าทำเรื่องว่าเราไปราชการ)  

-ปัญหาพวกเด็กเส้น เด็กฝาก พวกเก่งแต่วิ่งเข้าหานาย ซื้อตำแหน่ง ทำงานไม่เป็น เดินกร่างไปทั่วองค์กร
ฯลฯ
ทนทำงานรับราชการอยู่ปีนึง สุดท้ายทนไม่ไหว เพราะไม่อยากคอรัปชั่น ไม่อยากทนกับพวกทำงานไม่เป็นแต่อวดเก่ง ไม่อยากทำงานที่ผู้น้อยออกความคิดเห็นไม่ได้ ไม่อยากกินตามน้ำ สุดท้ายตัดสินใจลาออกจากราชการกลับมาทำงานในบริษัทเอกชนแห่งใหม่ ได้เงินเดือนสูงกว่าตอนบริษัทแรก และไม่ต้องทนเครียดเหมือนรับราชการ แต่ก่อนจะลาออกก็ถูกคนในองค์กร ทั้งเพื่อนร่วมงาน ทั้งหัวหน้างานหลายฝ่าย ทัดทานให้คิดดีๆ โดนดึงใบให้กลับไปคิดใหม่เป็นเดือน สุดท้ายคิดทบทวนแล้ว ก็ลาออกอยู่ดี ตอนนี้ชีวิตแฮปปี้ดีมาก ส่วนเรื่องบั้นปลายไม่ประมาทเพราะมีเงินเก็บ และหาทางลงทุนทำเงินเพิ่มเสมอ ไม่ได้มีรายได้จากแหล่งเดียว ไม่ต้องหวังพึ่งบำนาญ ที่สำคัญไม่ต้องรู้สึกผิดกับคำว่า โกงกินบ้านเมือง

ปล.ตอนลาออกจากเอกชนมีเงินเก็บส่วนตัวเกือบแสน (ตอนนี้ก็ยังมี ไม่ได้ดึงออกมาใช้ทั้งหมด)  แต่พอลาออกจากราชการมีหนี้อยู่ 40000 กว่าบาท (ขอยืนยันว่าไม่ได้ใช้ฟุ่มเฟือย หนี้เกิดจากการใช้ในสิ่งที่จำเป็นทั้งสิ้น)
ปล.2 ชีวิตคุณอยู่ในมือคุณครับ เลือกเอง เดินเอง แล้วจะไม่เสียใจเพราะอย่างน้อยก็ได้ทำแล้ว
ปล.3 ผมไม่เคยเสียใจที่ลาออกจากเอกชนที่แรกทั้งๆที่ตอนนั้นรุ่งมาก ไม่เสียใจที่มารับราชการ เพราะได้รู้ในสิ่งที่คนทั่วไปบอกว่าเป็นอาชีพที่ดี มีเกียรติ มั่นคง จริงๆแล้วอาจไม่ดี ไม่เหมาะสำหรับทุกคนก็ได้ และไม่เสียใจที่ลาออกจากราชการ เพราะปัจจุบันชีวิตก็ดี ไม่แย่อะไร
ความคิดเห็นที่ 10
ถ้าคุณเป็นผู้หญิง เลือกทำงานข้าราชการดีกว่าครับ (ถ้าสามารถเลือกได้นะ)
ส่วนข้อดีข้อเสีย มันไม่ตายตัวหรอกครับ ราชการก็ขึ้นอยู่กับว่าทำหน่วยงานไหน
เอกชนก็ขึ้นอยู่กับว่าทำบริษัทขนาดไหนอีกนั่นแหละ เงินเดือนและสวัสดิการก็
แตกต่างกันไป

ส่วนตัวผมเองทำงานเอกชน เพราะในสายวิศวกรรมที่ผมทำงานอยู่ ทำงานเอกชนในบริษัท
ข้ามชาติ เงินเดือนจะค่อนข้างเยอะ ถ้าเทียบกับข้าราชการที่เริ่มทำงานมาพร้อมกัน เงินเดือน
เยอะกว่าข้าราชการที่ทำงานสุจริตไม่คดไม่โกงประมาณ 3 เท่าเลยทีเดียว ดังนั้นผมเลยเลือก
ทำงานเอกชนเพื่อเป็นกำลังหลักในการหาเงิน ส่วนภรรยา ผมให้สอบรับราชการตั้งแต่คบเป็นแฟน
เพราะผมเห็นว่าการทำงานบริษัทเอกชน มันค่อนข้างหนัก เป็นผู้หญิงควรมีเวลาดูแลบ้านดูแลสามี
และลูกๆ ซึ่งทำงานราชการเป็นคำตอบที่ดีที่สุด และที่สำคัญ ภรรยาผมเค้ามีความฝันที่จะเป็น
ข้าราชการครูเพื่อที่จะได้สอนเด็กๆเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เราสองคนจึงคิดเหมือนกันว่าให้คนนึงทำงานเอกชน
ส่วนคนนึงทำงานราชการ จะได้มีชีวิตครอบครัว ที่ไม่มีปัญหาทั้งด้านการเงินและด้านความมั่นคง รวมถึง
ได้ทำตามฝันของตัวเองด้วย

** จะทำราชการหรือเอกชนขึ้นอยู่กับการวางแผนชีวิตและเงื่อนไขความจำเป็นของตัวคุณเอง
คนอื่นคงตอบแทนยากว่าอันไหนดีกว่า


ความคิดเห็นที่ 9
ถ้าคาดหวังว่า การรับราชการจะทำให้มีความมั่นคง มีสวัสดิการ และทำงานสบายๆไปแบบเรื่อยๆ  ถ้าคิดแบบนั้นไปอยู่กับเอกชนดีกว่าครับ ข้าราชการคืออาชีพที่ต้องเสียสละ ต้องมีความสำนึกต่อแผ่นดิน เพราะเงินเดีอนที่ได้รับทุกเดือนมาจากเงินภาษีอากรของคนทั้งประเทศครับ ถ้าหวังแค่ว่ามีงานมั่นคง สวัสดิการดี มีวันหยุดมากๆ (ประเภทเป็นลูกหลานของ นายสายหยุด จ้องวันลา ) คิดอย่างนั้นไม่มีทางเจริญหรอกครับ เท่าที่ผมรู้จัก (เพราะผมเป็นข้าราชการ) เห็นแต่พอมีกินไปวันๆ หนี้สินท่วมหัวเพราะข้าราชการมีเครดิตดี คิดแต่หาทางประจบนายเพื่อเอาสองขั้น งานการไม่ขวนขวาย หาศักดิ์ศรีแทบจะไม่ได้ พอเกษียณไปได้ไม่นาน ล้วนแต่มีอันเป็นไป เช่นเป็นโรคแปลกๆที่รักษาไม่หาย ครอบครัวไม่มีความสุข เหมือนถูกแผ่นดินลงโทษ ถ้าคิดจะรับราชการ อย่างแรกต้องมีความรักชาติรักแผ่นดินก่อนครับ ส่วนผลตอบแทนค่อยว่ากันทีหลัง
ความคิดเห็นที่ 1
เลือกทำงานข้าราชการเถอะคุณ  ถ้าคุณอายุ  40  ปี  ขึ้นมา  คุณทำงานเอกชน  คุณจะหายใจไม่ทั่วท้องในแต่ละวัน  ไม่รู้จะมีเหตุให้ได้ตกงานตอนไหน  เหตุของการตกงานมันเยอะ  

1.  ถูกวางยาจากคนที่ไม่ชอบเรา  ถ้าเจ้าของบริษัท  หรือผู้บริหารที่อยู่ในระดับสูงกว่าคุณเขาไม่ชอบคุณขึ้นมา  วันนั้นคุณจะลำบาก
2.  ถูกบีบให้ออกจากงาน  การทำงานเอกชน  คือ  การทำงานแล้วแลกเงิน  ขอย้ำอีกรอบว่า  ทำงานเอกชน  คือ  การทำงานแลกเงิน  เมื่อคุณทำงานไม่ได้  บริษัทเอกชนเขาจะเอาไว้เหรอ  จากเหตุหลายอย่าง   อย่างเหนึ่งของสาเหตุที่ผมเคยเห็นมา  คือ  เพราะสภาพร่างกายเราไม่พร้อม   เคยโดนรถชน  แล้วเดินกะแผก ๆ  ถูกโยกแผนกให้ไปอยู่แผนกที่ต้องใช้การเดิน  การเดินทาง  การคล่องตัว  จนสุดท้ายต้องได้ลาออก  เอกชนหน่ะ  ไม่มีใครสนใจใครหรอก  ต่างคนต่างทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด  ป่วยเข้าโรงพยาบาลเพื่อนร่วมงานก็ไม่สนใจ  ต่างคนต่างทำทุกอย่างเพื่อตัวเองและความอยู่รอดของตัวเอง  
3.  ความเครียดจากการถูกกดดันในการทำงาน  ถึง ยอดตามเป้าและประสิทธิภาพ

ทำงานราชการมันมั่นคง   ทำงานระบบราชการ  คือ  การทำงานแบบชิล ๆ   ทำงานราชการกู้ซื้อรถ  ดอกเบี้ยต่ำกว่าพนักงานเอกชนกู้ซื้อ  กู้ซื้อบ้านก็ง่ายกว่า  ถ้าไม่มีความผิดวินัยร้ายแรง  ไม่ตกงานหรอก
ความคิดเห็นที่ 2
การรับราชการนอกจากความมั่นคงแล้ว เหนือสิ่งอื่นใด คือความภาคภูมิใจที่ได้เป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เวลาเหนื่อยหรือท้อเราจะมีพลังใจสู้ต่อตลอด เพราะทำเพื่อประชาชน เพื่อบ้านเมือง และเพื่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่