ดูเหมือน Chrome จะกลายเป็นข่าวร้ายสำหรับแบตเตอรี่โน้ตบุ๊กเข้าเสียแล้ว หลังจากมี
นักเขียนของ Forbes ออกมาบอกว่าคอมพิวเตอร์ที่ใช้เบราว์เซอร์ Chrome นั้นกินไฟมากกว่าเจ้าอื่นๆ
Ian Morris นักเขียนจาก Forbes อธิบายว่า เหตุผลที่ทำให้ Chrome กินพลังงานมากกว่าเบราว์เซอร์เจ้าอื่นๆ นั้นมาจากการเปลี่ยนอัตราการสวิตช์ระหว่างโปรเซส จากเดิมที่วินโดวส์จะตั้งไว้ที่ 15.625 มิลลิวินาที (ประมาณ 64 ครั้งต่อวินาที) ไปเป็น 1 มิลลิวินาที หรือ 1,000 ครั้งต่อวินาทีนั่นเอง โดยการปรับเปลี่ยนค่านี้จะทำให้เบราว์เซอร์แสดงผลได้ลื่นขึ้น โดยมักจะปรับสูงเมื่อต้องใช้งานคอนเทนต์จำพวกวิดีโอ หรือแฟลช และปรับกลับเมื่อใช้เสร็จ แต่ในกรณีของ Chrome นั้นกลับตั้งค่านี้อยู่ที่ 1 มิลลิวินาทีตลอดเวลา จนกว่าจะปิดเบราว์เซอร์จึงจะกลับมาเท่าเดิมที่ 15.625 มิลลิวินาที
ทางด้านไมโครซอฟท์ออกมาร่วมวงถล่ม Chrome ว่าการปรับอัตราการสวิตช์ระหว่างโปรเซสให้สูงขึ้นมากๆ จะทำให้กินพลังงานสูงขึ้นมากถึง 25% และจากการตรวจสอบพบว่ามีเบราว์เซอร์เพียงตัวเดียวที่เกิดปัญหานี้ขึ้นก็คือ Chrome นั่นเอง
Morris บอกว่าปัญหานี้มีคนแจ้งไปยังกูเกิลตั้งแต่ช่วงปลายปี 2012 แล้ว แต่ยังไม่มีการแก้ปัญหานี้เกิดขึ้น ใครที่อยากให้กูเกิลเห็นความสำคัญของเรื่องนี้ ก็สามารถเข้าไปกดดาวกันได้
ที่นี่ครับ
ที่มา -
Business Insider ผ่าน
Blognone
ฝันร้ายของโน้ตบุ๊ก! รายงานชี้ Chrome ทำให้เครื่องบริโภคใช้พลังงานมากขึ้นสูงสุด 25%
ดูเหมือน Chrome จะกลายเป็นข่าวร้ายสำหรับแบตเตอรี่โน้ตบุ๊กเข้าเสียแล้ว หลังจากมีนักเขียนของ Forbes ออกมาบอกว่าคอมพิวเตอร์ที่ใช้เบราว์เซอร์ Chrome นั้นกินไฟมากกว่าเจ้าอื่นๆ
Ian Morris นักเขียนจาก Forbes อธิบายว่า เหตุผลที่ทำให้ Chrome กินพลังงานมากกว่าเบราว์เซอร์เจ้าอื่นๆ นั้นมาจากการเปลี่ยนอัตราการสวิตช์ระหว่างโปรเซส จากเดิมที่วินโดวส์จะตั้งไว้ที่ 15.625 มิลลิวินาที (ประมาณ 64 ครั้งต่อวินาที) ไปเป็น 1 มิลลิวินาที หรือ 1,000 ครั้งต่อวินาทีนั่นเอง โดยการปรับเปลี่ยนค่านี้จะทำให้เบราว์เซอร์แสดงผลได้ลื่นขึ้น โดยมักจะปรับสูงเมื่อต้องใช้งานคอนเทนต์จำพวกวิดีโอ หรือแฟลช และปรับกลับเมื่อใช้เสร็จ แต่ในกรณีของ Chrome นั้นกลับตั้งค่านี้อยู่ที่ 1 มิลลิวินาทีตลอดเวลา จนกว่าจะปิดเบราว์เซอร์จึงจะกลับมาเท่าเดิมที่ 15.625 มิลลิวินาที
ทางด้านไมโครซอฟท์ออกมาร่วมวงถล่ม Chrome ว่าการปรับอัตราการสวิตช์ระหว่างโปรเซสให้สูงขึ้นมากๆ จะทำให้กินพลังงานสูงขึ้นมากถึง 25% และจากการตรวจสอบพบว่ามีเบราว์เซอร์เพียงตัวเดียวที่เกิดปัญหานี้ขึ้นก็คือ Chrome นั่นเอง
Morris บอกว่าปัญหานี้มีคนแจ้งไปยังกูเกิลตั้งแต่ช่วงปลายปี 2012 แล้ว แต่ยังไม่มีการแก้ปัญหานี้เกิดขึ้น ใครที่อยากให้กูเกิลเห็นความสำคัญของเรื่องนี้ ก็สามารถเข้าไปกดดาวกันได้ที่นี่ครับ
ที่มา - Business Insider ผ่าน Blognone