ปัจจุบันผมกำลังจะอายุ 25 ปีในเร็วๆนี้ครับ ผมตัดสินใจเขียนบทความนี้เพราะว่าเมื่อสามวันที่แล้วผมพึ่งไปบอกกับเพื่อนสนิทที่ผมรู้จักมา 7 ปี (ผู้ชายแท้ๆ) feedback ที่ได้คือ “ห๊ะ เป็นเกย์เหรอ ดูไม่เหมือนเลยสักนิด แล้วจะหาแฟนได้ไงเนี่ยไม่มีใครเค้าดูออก”
คำตอบนี้ทำให้ผมอึ้งมากเพราะผมก็ใบ้ให้ค่อนชัดเจนแล้วนะ
วันนี้ผมจะขอพูดถึง stereotype และอีกหลายๆเรื่องในมุมมองของผมครับ
ขอใช้คำว่าเกย์นะครับ (หมายถึงผู้ชายที่รักผู้ชาย) ไม่รวมทอม เลสเบี้ยนและตุ๊ดนะครับเพราะผมไม่รู้เหมือนกันว่ามุมมองเค้าเป็นยังไงกันบ้าง
1. เกย์จะต้องมีนิสัยตุ้งติ้ง สะบัดนิ้ว มีความสามารถในการแต่งตัวสูงหรือเพาะกล้ามโตๆ โดยคนที่ไม่มีท่าทางดังกล่าวจะเรียกว่า เกย์ไม่แสดงออก
ไม่จริงเลยครับ เกย์ก็เหมือนผู้ชายทั่วไปครับแต่ละคนมีรสนิยมในการใช้ชีวิตที่ต่างกัน อย่างตัวผมเองนั้นจัดว่าเป็นคนที่ไม่มี sense ในการแต่งตัวเลย เชยมากๆ
นอกจากนี้ผมก็ไม่ได้มีความคิดว่าอยากจะแต่งตัวเป็นผู้หญิงนะครับ และในอีกแง่นึงเกย์ก็สามารถให้เกียรติผู้หญิงและยินดีที่จะให้เกียรติผู้หญิงได้ครับ (เช่น ลุกให้นั่ง ช่วยถือของหนัก ขับรถไปส่งที่บ้าน)
ส่วนเรื่องการไม่แสดงออกหรือที่หลายๆคนเรียกว่า แอ๊บแมนนั้นความจริงคือมันไม่มีอะไรให้แสดงออกครับ คือผมก็เป็นของผมแบบนี้จะให้ไปพูดเสียงสูงๆมันไม่ใช่อ่ะ
2. เกย์เป็นโรคอย่างนึงที่สามารถติดต่อได้และสามารถรักษาได้โดยการไปหาจิตแพทย์ และคนที่เป็นเกย์เลือกที่จะเป็นเกย์
ไม่จริงอีกเช่นกัน การเป็นเกย์นั้นไม่ใช่โรคครับและไม่สามารถติดต่อได้เช่นกัน ถ้าคิดว่ารสนิยมทางเพศเป็นโรคแล้วล่ะก็การที่ผมอยู่ในสังคมที่มีแต่ผู้ชายแท้ ก็น่าจะทำให้ผมมีรสนิยมทางเพศแบบผู้ชายได้เหมือนกัน และไม่มีใครอยากเลือกที่จะเป็นเกย์ครับ ผมทราบว่าตัวผมเองมีรสนิยมทางเพศแบบนี้มาตั้งแต่อายุ 15 ครับ และเลือกที่จะหลอกตัวเองมาประมาณ 8 ปี ชีวิตที่เราต้องหลอกตัวเองผมบอกได้เลยครับว่ามันคือ นรกบนดิน ผมต้องไปพบจิตแพทย์ไม่ใช่เพราะผมเป็นเกย์ แต่เพราะผมโกหกตัวเองให้ตัวเองเป็นสิ่งที่สังคมรอบข้างอยากให้เป็น
3. เกย์มีความสามารถมากกว่าคนทั่วไป
ใช่และไม่ใช่ในเวลาเดียวกันครับ คนที่เป็นเกย์ไม่ได้มีสมองที่ดีกว่าคนทั่วไปครับ แต่เกย์จะเก่งกว่าคนทั่วไปเพราะจำเป็นต้องพยายามที่จะลบปมด้วยตัวเองครับ อารมณ์ประมาณเป็นชนชั้นที่สองครับเลยต้องพยายามกว่าคนอื่น ขยันกว่าคนอื่น คิดมากกว่าคนอื่น เพราะมีเหตุจึงมีผลครับ เพราะเหตุนี้มันเลยทำให้หลายๆคนคิดว่าเกย์สมองดีครับ
หลายๆเรื่องที่ผมอยากให้คนในสังคมรับรู้ครับ
1. หากคุณสงสัยว่าใครสักคนเป็นเกย์ ถ้ารู้แล้วไม่ได้อะไรขึ้นมาได้โปรดอย่าถามครับ แต่ถ้าหากคุณผู้หญิงกำลังแอบชอบใครบางคนอยู่และสงสัยว่าคนๆนั้นเป็นเกย์หรือเปล่าให้ออกปากก่อนว่าเราชอบเค้าแต่อยากรู้ว่าเค้าเป็นเกย์หรือเปล่า
ความจริงแล้วมีหลายเหตุผลด้วยกันครับที่ผมไม่อยากให้คุณถาม อยากให้ทุกท่านลองมองในมุมมองของเกย์ในแบบคนธรรมดาคนหนึ่งดูครับ
-บางคนอาจยังยอมรับไม่ได้กับสิ่งที่ตัวเองเป็นครับ นอกจากนี้การที่เราประกาศรสนิยมทางเพศของเราออกไปแล้วไม่สามารถเรียกมันคืนได้ครับ หากพูดไปแล้วว่าเป็นเกย์แต่สักวันนึงกลับมาชอบผู้หญิงจะทำยังไงหล่ะ
-ในหลายๆครั้งเราก็ไม่รู้ครับว่าคนที่ถามนั้นมีมุมมองแบบไหนต่อคนที่เป็นเกย์ หลายๆครั้งที่การที่เราบอกว่าเป็นเกย์ทำให้เพื่อนดีๆหลายคน ทั้งผู้ชายและผู้หญิงเลิกคบเราไป ทั้งๆที่เราไม่ได้คิดกับเค้าในแง่มุมอื่นมากกว่าเพื่อน บอกตรงๆครับว่าเกย์ก็คนครับ คนเป็นเกย์ก็มีหัวใจ คุณคิดว่าการที่อยู่ๆคนที่สนิทกับคุณเลือกที่จะเลิกคบคุณเพราะคุณเป็นเกย์ หัวใจคุณจะพังขนาดไหน
-การที่บอกรสนิยมทางเพศให้คนอื่นรู้นั้นมีผลกระทบต่อหน้าที่การงานและหน้าตาในสังคมแน่นอนครับ ถึงแม้ในสังคมจะบอกว่ายอมรับได้แล้วก็ตาม แต่คนที่เป็น generation ก่อนเราซึ่งเป็นผู้ใหญ่ในองค์กรใหญ่ๆหลายองค์กร ยังมองว่า “ไอ้พวกนี้วิปริต” “ไอ้พวกนี้อันตราย” มีจริงและมีเยอะครับ (ประสบการณ์ตรง) ถ้ามองจริงๆการที่เป็นเกย์มันไม่ได้เกี่ยวอะไรเลยกับการทำงานแต่แน่นอนครับทุกคนมี Bias แต่ผมก็ไม่โทษเค้านะครับ เพราะขนาดตัวผมเองยังต้องใช้ตั้ง 8 ปีถึงยอมรับตัวเองได้ (ฮา)
จากข้อด้านบนได้ ถ้าคุณถามว่าผมเป็นเกย์หรือเปล่า ผมจะประมวลผลครับว่า คนที่ผมพูดด้วยเปิดกว้างแค่ไหน พร้อมที่จะเข้าใจเราหรือเปล่า เราไว้ใจเค้าขนาดไหน จะมีประโยชน์สำหรับเค้าไหมหากบอกว่าเราเป็น โดยส่วนใหญ่คำตอบของผมคือ “ไม่” ครับ เพราะผมไม่สามารถบอกความจริงได้ และอีกหลายๆครั้งคำตอบของผมคือ “คิดเอาเอง” ซึ่งมีความหมายว่าใช่ แต่ตอบแบบนี้เพราะสถานการณ์มัน awkward มาก น้อยครั้งมากที่ผมตอบว่า “อื้อ” ซึ่งอันนี้คือกรณีที่ผู้หญิงออกปากว่าชอบเราและการตอบไปตรงๆน่าจะเป็นประโยชน์กับเค้าครับ
2. จะสังเกตได้ว่าคนที่เป็นเกย์บางคนนั้นเป็นคนที่รักแรงเกลียดแรงครับ (ไม่ใช่ case ผมนะครับ) จนหลายๆครั้งเห็นได้ว่าเป็นคนค่อนข้างรุนแรงและน่ากลัว
อันนี้มีส่วนจริงครับ แต่ที่มีผลเพราะมีเหตุครับ เหตุที่คนเป็นเกย์นั้นรักแรงและเกลียดแรงนั้นง่ายมากๆครับเพราะว่าเขาคนนั้น “ขาด” ความรักนั่นเอง ถ้าถามว่าทำไมถึงขาดก็เพราะสังคมอีกนั่นแหละไปตราหน้าว่าเราเป็นพวกวิปริต ไม่ควรมีคู่ ลองคิดถึงถ้าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงลองห้ามมีแฟนสัก 10 ปี ห้ามบอกว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับใคร ห้ามพูดถึงสิ่งที่ตัวเองชอบ ผมรับรองครับว่าประสาทกินแน่ๆครับ ผมเชื่อว่าถ้าหากสังคมยอมรับการเป็นเกย์ได้มากขึ้นพฤติกรรมนี้จะหายไปครับ
3. คนเป็นเกย์ไม่ได้มีอารมณ์กับเพศชายทุกคนและหลายๆครั้งแค่ต้องการเป็นเพื่อนแค่นั้นเอง
แต่ละคนมีรสนิยมที่ต่างกันครับ ผมคนนึงหล่ะไม่ได้มีอารมณ์ทางเพศกับผู้ชาย 90% ที่ผมเจอ ซึ่งหลายๆครั้งผมก็แค่ต้องการเป็นเพื่อนแค่นั้นเอง
4. เกย์ไม่คิดจะมีแฟนเป็นผู้ชายที่ไม่ใช่เกย์ (อันนี้แล้วแต่คนนะครับแต่ผมเชื่อว่าอีกหลายๆคนคิดเหมือนผม)
เพราะว่ามันก็เหมือนตอนที่เราพยายามจะชอบผู้หญิงแต่มันรักไม่ได้ ผมเลยเข้าใจในมุมกลับกันว่าคนที่เป็นผู้ชายจริงๆที่ชอบผู้หญิงจริงๆก็รักเราไม่ได้เช่นกันเพราะมันไม่ใช่ธรรมชาติของเค้า ในมุมมองของผมถ้าหากผมถามเค้าแล้วเค้าไม่ใช่เกย์ผมก็ไม่ได้คิดอะไรกับเค้าแล้วครับ
5. หลายๆคนบอกให้คนที่เป็นเกย์รักษาพรหมจรรย์เข้าวัดเข้าวา
อันนี้ผมว่าตรรกะที่แย่มากเลยนะครับ (แต่มันก็แค่ความคิดของผม) อย่าลืมนะครับคนที่เป็นเกย์ก็เป็นแค่คนคนนึง คนก็มีหัวใจครับ ย่อมมีความรักได้ ย่อมมีอารมณ์ทางเพศได้ ผมอยากจะบอกสังคมว่าถ้าเค้าไม่ได้ไปเบียดเบียนใครมันผิดอะไรเหรอที่จะมีความรัก ส่วนเรื่องเข้าวัดเข้าวานี่ผมว่ามันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความเป็นเกย์เลย
สุดท้ายนี้ผมหวังว่าหลายๆคนคงเข้าใจคนที่เป็นเกย์มากขึ้นนะครับ
สำหรับคนที่เป็นเกย์ผมอยากขอความร่วมมืออย่าสร้างภาพพจน์ไม่ดีให้กับคนที่เป็นเกย์ครับ ถ้าหากรักเดียวใจเดียวได้ก็ขอให้รักเดียวใจเดียวจะได้แสดงให้เห็นว่ารักแท้มันก็มีเหมือนกัน และขอให้ทุกคนมีความสุขกับชีวิตครับ ชีวิตของการเป็นเกย์นั้นบัดซบและลำบากครับ แต่ในเมื่อเราเกิดมาแล้วผมก็ขอให้เรามีความสุขกับมันครับ ไม่มีใครรักคุณไม่เป็นไรครับ ผมคนนึงหล่ะรักคุณ
ขอ Tag สีลมด้วยนะครับ อยากให้หลายๆคนที่ทำงานอยู่ มองในมุมนี้บ้างครับ
หลายๆอย่างที่ผมอยากให้คนทั่วไปเข้าใจเกี่ยวกับเกย์ครับ
คำตอบนี้ทำให้ผมอึ้งมากเพราะผมก็ใบ้ให้ค่อนชัดเจนแล้วนะ
วันนี้ผมจะขอพูดถึง stereotype และอีกหลายๆเรื่องในมุมมองของผมครับ
ขอใช้คำว่าเกย์นะครับ (หมายถึงผู้ชายที่รักผู้ชาย) ไม่รวมทอม เลสเบี้ยนและตุ๊ดนะครับเพราะผมไม่รู้เหมือนกันว่ามุมมองเค้าเป็นยังไงกันบ้าง
1. เกย์จะต้องมีนิสัยตุ้งติ้ง สะบัดนิ้ว มีความสามารถในการแต่งตัวสูงหรือเพาะกล้ามโตๆ โดยคนที่ไม่มีท่าทางดังกล่าวจะเรียกว่า เกย์ไม่แสดงออก
ไม่จริงเลยครับ เกย์ก็เหมือนผู้ชายทั่วไปครับแต่ละคนมีรสนิยมในการใช้ชีวิตที่ต่างกัน อย่างตัวผมเองนั้นจัดว่าเป็นคนที่ไม่มี sense ในการแต่งตัวเลย เชยมากๆ นอกจากนี้ผมก็ไม่ได้มีความคิดว่าอยากจะแต่งตัวเป็นผู้หญิงนะครับ และในอีกแง่นึงเกย์ก็สามารถให้เกียรติผู้หญิงและยินดีที่จะให้เกียรติผู้หญิงได้ครับ (เช่น ลุกให้นั่ง ช่วยถือของหนัก ขับรถไปส่งที่บ้าน)
ส่วนเรื่องการไม่แสดงออกหรือที่หลายๆคนเรียกว่า แอ๊บแมนนั้นความจริงคือมันไม่มีอะไรให้แสดงออกครับ คือผมก็เป็นของผมแบบนี้จะให้ไปพูดเสียงสูงๆมันไม่ใช่อ่ะ
2. เกย์เป็นโรคอย่างนึงที่สามารถติดต่อได้และสามารถรักษาได้โดยการไปหาจิตแพทย์ และคนที่เป็นเกย์เลือกที่จะเป็นเกย์
ไม่จริงอีกเช่นกัน การเป็นเกย์นั้นไม่ใช่โรคครับและไม่สามารถติดต่อได้เช่นกัน ถ้าคิดว่ารสนิยมทางเพศเป็นโรคแล้วล่ะก็การที่ผมอยู่ในสังคมที่มีแต่ผู้ชายแท้ ก็น่าจะทำให้ผมมีรสนิยมทางเพศแบบผู้ชายได้เหมือนกัน และไม่มีใครอยากเลือกที่จะเป็นเกย์ครับ ผมทราบว่าตัวผมเองมีรสนิยมทางเพศแบบนี้มาตั้งแต่อายุ 15 ครับ และเลือกที่จะหลอกตัวเองมาประมาณ 8 ปี ชีวิตที่เราต้องหลอกตัวเองผมบอกได้เลยครับว่ามันคือ นรกบนดิน ผมต้องไปพบจิตแพทย์ไม่ใช่เพราะผมเป็นเกย์ แต่เพราะผมโกหกตัวเองให้ตัวเองเป็นสิ่งที่สังคมรอบข้างอยากให้เป็น
3. เกย์มีความสามารถมากกว่าคนทั่วไป
ใช่และไม่ใช่ในเวลาเดียวกันครับ คนที่เป็นเกย์ไม่ได้มีสมองที่ดีกว่าคนทั่วไปครับ แต่เกย์จะเก่งกว่าคนทั่วไปเพราะจำเป็นต้องพยายามที่จะลบปมด้วยตัวเองครับ อารมณ์ประมาณเป็นชนชั้นที่สองครับเลยต้องพยายามกว่าคนอื่น ขยันกว่าคนอื่น คิดมากกว่าคนอื่น เพราะมีเหตุจึงมีผลครับ เพราะเหตุนี้มันเลยทำให้หลายๆคนคิดว่าเกย์สมองดีครับ
หลายๆเรื่องที่ผมอยากให้คนในสังคมรับรู้ครับ
1. หากคุณสงสัยว่าใครสักคนเป็นเกย์ ถ้ารู้แล้วไม่ได้อะไรขึ้นมาได้โปรดอย่าถามครับ แต่ถ้าหากคุณผู้หญิงกำลังแอบชอบใครบางคนอยู่และสงสัยว่าคนๆนั้นเป็นเกย์หรือเปล่าให้ออกปากก่อนว่าเราชอบเค้าแต่อยากรู้ว่าเค้าเป็นเกย์หรือเปล่า
ความจริงแล้วมีหลายเหตุผลด้วยกันครับที่ผมไม่อยากให้คุณถาม อยากให้ทุกท่านลองมองในมุมมองของเกย์ในแบบคนธรรมดาคนหนึ่งดูครับ
-บางคนอาจยังยอมรับไม่ได้กับสิ่งที่ตัวเองเป็นครับ นอกจากนี้การที่เราประกาศรสนิยมทางเพศของเราออกไปแล้วไม่สามารถเรียกมันคืนได้ครับ หากพูดไปแล้วว่าเป็นเกย์แต่สักวันนึงกลับมาชอบผู้หญิงจะทำยังไงหล่ะ
-ในหลายๆครั้งเราก็ไม่รู้ครับว่าคนที่ถามนั้นมีมุมมองแบบไหนต่อคนที่เป็นเกย์ หลายๆครั้งที่การที่เราบอกว่าเป็นเกย์ทำให้เพื่อนดีๆหลายคน ทั้งผู้ชายและผู้หญิงเลิกคบเราไป ทั้งๆที่เราไม่ได้คิดกับเค้าในแง่มุมอื่นมากกว่าเพื่อน บอกตรงๆครับว่าเกย์ก็คนครับ คนเป็นเกย์ก็มีหัวใจ คุณคิดว่าการที่อยู่ๆคนที่สนิทกับคุณเลือกที่จะเลิกคบคุณเพราะคุณเป็นเกย์ หัวใจคุณจะพังขนาดไหน
-การที่บอกรสนิยมทางเพศให้คนอื่นรู้นั้นมีผลกระทบต่อหน้าที่การงานและหน้าตาในสังคมแน่นอนครับ ถึงแม้ในสังคมจะบอกว่ายอมรับได้แล้วก็ตาม แต่คนที่เป็น generation ก่อนเราซึ่งเป็นผู้ใหญ่ในองค์กรใหญ่ๆหลายองค์กร ยังมองว่า “ไอ้พวกนี้วิปริต” “ไอ้พวกนี้อันตราย” มีจริงและมีเยอะครับ (ประสบการณ์ตรง) ถ้ามองจริงๆการที่เป็นเกย์มันไม่ได้เกี่ยวอะไรเลยกับการทำงานแต่แน่นอนครับทุกคนมี Bias แต่ผมก็ไม่โทษเค้านะครับ เพราะขนาดตัวผมเองยังต้องใช้ตั้ง 8 ปีถึงยอมรับตัวเองได้ (ฮา)
จากข้อด้านบนได้ ถ้าคุณถามว่าผมเป็นเกย์หรือเปล่า ผมจะประมวลผลครับว่า คนที่ผมพูดด้วยเปิดกว้างแค่ไหน พร้อมที่จะเข้าใจเราหรือเปล่า เราไว้ใจเค้าขนาดไหน จะมีประโยชน์สำหรับเค้าไหมหากบอกว่าเราเป็น โดยส่วนใหญ่คำตอบของผมคือ “ไม่” ครับ เพราะผมไม่สามารถบอกความจริงได้ และอีกหลายๆครั้งคำตอบของผมคือ “คิดเอาเอง” ซึ่งมีความหมายว่าใช่ แต่ตอบแบบนี้เพราะสถานการณ์มัน awkward มาก น้อยครั้งมากที่ผมตอบว่า “อื้อ” ซึ่งอันนี้คือกรณีที่ผู้หญิงออกปากว่าชอบเราและการตอบไปตรงๆน่าจะเป็นประโยชน์กับเค้าครับ
2. จะสังเกตได้ว่าคนที่เป็นเกย์บางคนนั้นเป็นคนที่รักแรงเกลียดแรงครับ (ไม่ใช่ case ผมนะครับ) จนหลายๆครั้งเห็นได้ว่าเป็นคนค่อนข้างรุนแรงและน่ากลัว
อันนี้มีส่วนจริงครับ แต่ที่มีผลเพราะมีเหตุครับ เหตุที่คนเป็นเกย์นั้นรักแรงและเกลียดแรงนั้นง่ายมากๆครับเพราะว่าเขาคนนั้น “ขาด” ความรักนั่นเอง ถ้าถามว่าทำไมถึงขาดก็เพราะสังคมอีกนั่นแหละไปตราหน้าว่าเราเป็นพวกวิปริต ไม่ควรมีคู่ ลองคิดถึงถ้าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงลองห้ามมีแฟนสัก 10 ปี ห้ามบอกว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับใคร ห้ามพูดถึงสิ่งที่ตัวเองชอบ ผมรับรองครับว่าประสาทกินแน่ๆครับ ผมเชื่อว่าถ้าหากสังคมยอมรับการเป็นเกย์ได้มากขึ้นพฤติกรรมนี้จะหายไปครับ
3. คนเป็นเกย์ไม่ได้มีอารมณ์กับเพศชายทุกคนและหลายๆครั้งแค่ต้องการเป็นเพื่อนแค่นั้นเอง
แต่ละคนมีรสนิยมที่ต่างกันครับ ผมคนนึงหล่ะไม่ได้มีอารมณ์ทางเพศกับผู้ชาย 90% ที่ผมเจอ ซึ่งหลายๆครั้งผมก็แค่ต้องการเป็นเพื่อนแค่นั้นเอง
4. เกย์ไม่คิดจะมีแฟนเป็นผู้ชายที่ไม่ใช่เกย์ (อันนี้แล้วแต่คนนะครับแต่ผมเชื่อว่าอีกหลายๆคนคิดเหมือนผม)
เพราะว่ามันก็เหมือนตอนที่เราพยายามจะชอบผู้หญิงแต่มันรักไม่ได้ ผมเลยเข้าใจในมุมกลับกันว่าคนที่เป็นผู้ชายจริงๆที่ชอบผู้หญิงจริงๆก็รักเราไม่ได้เช่นกันเพราะมันไม่ใช่ธรรมชาติของเค้า ในมุมมองของผมถ้าหากผมถามเค้าแล้วเค้าไม่ใช่เกย์ผมก็ไม่ได้คิดอะไรกับเค้าแล้วครับ
5. หลายๆคนบอกให้คนที่เป็นเกย์รักษาพรหมจรรย์เข้าวัดเข้าวา
อันนี้ผมว่าตรรกะที่แย่มากเลยนะครับ (แต่มันก็แค่ความคิดของผม) อย่าลืมนะครับคนที่เป็นเกย์ก็เป็นแค่คนคนนึง คนก็มีหัวใจครับ ย่อมมีความรักได้ ย่อมมีอารมณ์ทางเพศได้ ผมอยากจะบอกสังคมว่าถ้าเค้าไม่ได้ไปเบียดเบียนใครมันผิดอะไรเหรอที่จะมีความรัก ส่วนเรื่องเข้าวัดเข้าวานี่ผมว่ามันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความเป็นเกย์เลย
สุดท้ายนี้ผมหวังว่าหลายๆคนคงเข้าใจคนที่เป็นเกย์มากขึ้นนะครับ
สำหรับคนที่เป็นเกย์ผมอยากขอความร่วมมืออย่าสร้างภาพพจน์ไม่ดีให้กับคนที่เป็นเกย์ครับ ถ้าหากรักเดียวใจเดียวได้ก็ขอให้รักเดียวใจเดียวจะได้แสดงให้เห็นว่ารักแท้มันก็มีเหมือนกัน และขอให้ทุกคนมีความสุขกับชีวิตครับ ชีวิตของการเป็นเกย์นั้นบัดซบและลำบากครับ แต่ในเมื่อเราเกิดมาแล้วผมก็ขอให้เรามีความสุขกับมันครับ ไม่มีใครรักคุณไม่เป็นไรครับ ผมคนนึงหล่ะรักคุณ
ขอ Tag สีลมด้วยนะครับ อยากให้หลายๆคนที่ทำงานอยู่ มองในมุมนี้บ้างครับ