สวัสดีค่ะ ทุกคน
กลับมาอีกแล้ว ตามคำเรียกร้อง(ของตัวอิฉันเอง)
กับเรื่องเล่าประสบการณ์ของการไปเป็นเด็ก Work and Travel
โปรแกรมสำหรับนักศึกษา ที่ยังคงมีทั้งเสียงเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
แต่เราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้กันค่ะ เพราะเราไปมาแล้ว
หมดเวลาถามความเห็นแล้ว 555+
ใครสนใจกลับไปดูกระทู้เก่าๆ ได้ค่ะ
พาร์ท 1
Work and Travel at Six Flags America ประสบการณ์ดีๆ ที่ไม่ได้มีแต่เรื่องดีๆ
http://ppantip.com/topic/31833359
พาร์ท 2
Work and Travel at Six Flags America Part 2 "ประสบการณ์ดีๆ ที่ไม่ได้มีแต่เรื่องดีๆ" ทำงานในสวนสนุก
http://ppantip.com/topic/32306003
หลายๆ คนอาจจะถามว่า ไอที่จั่วหัวมาตั้งแต่ตอนแรกว่า
“ประสบการณ์ดีๆ ที่ไม่ได้มีแต่เรื่องดีๆ” เนี่ยะ ไอเรื่องไม่ดีไม่เห็นมีพูดถึงเลย
มาแล้วค่ะ มาแล้ว ความดราม่าจะอยู่กับเราเสมอค่ะ
ถ้าไม่มีดราม่า ชีวิตเราจะไม่มีสีสันค่ะคุณๆ
เพราะฉะนั้นมาค่ะมา มาเสพดราม่ากันค่ะ
คำเตือน
- เนื้อหาในกระทู้นี้จะมี
เนื้อหา 95% ภาพปลากรอบ 5% (ดิฉันกะเอานะคะ ไม่ได้กดเครื่องคิดเลขถัวเฉลี่ยอย่างจริงจัง) ถ้าใครชอบดูภาพเยอะๆ คงผิดหวังหน่อยนะคะ
- อาจมีบางช่วงบางตอนความจำลางเลือน เล่าแบบ
ขาดๆ เกินๆ ก็ขอให้รู้ไว้ว่า ไอที่ขาดคือจำไม่ได้ ไอที่เกินมาคือ
ฟิลลิ่ง ล้วนๆ
- อาจมีภาษาวิบัติประปราย กราบขออภัยมา ณ ที่นี้ค่ะ
- ตอนอ่านระวังหลังด้วย
เดี๋ยวเจ้านายเดินมา จะหาว่าอิฉันไม่เตือน เพราะระหว่างเขียนกระทู้นี้อยู่ เจ้านายอิฉันก็เดินมาเหมือนกัน T^T
เรื่องที่จะเล่าให้ฟังในกระทู้นี้เป็นเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น สมัยที่เข้าร่วมโครงการ ก็จะมีหลากหลายอรรถรสผสมปนเปกันไป มีเรื่องพีคๆ ที่พบเจออยู่ตลอด 4 เดือน ในการใช้ชีวิตอยู่กันเองแบบไม่มีผู้ปกครอง อยู่เยอะพอสมควร เป็น 4 เดือนที่ได้ประสบการณ์ “ครั้งแรก” มาเยอะจนนับไม่ถ้วน มาดูกันดีกว่าค่ะ ว่าอิฉันเจออะไรมาบ้าง
“อะไรนะ? ขโมยขึ้นบ้าน!?”
จากที่เกริ่นทิ้งไว้ในกระทู้ที่แล้ว ก็เลยจะขอเล่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก
เพราะกลัวคนที่ตามมาจากกระทู้นั้น จะงอนน้อยอกน้อยใจ หาว่าอิฉันขี้โม้ได้
อย่างที่เคยบอกไปไว้ในกระทู้ที่1 ว่าอพาร์มเมนท์แต่ละห้องของเด็กไทยจะไม่ได้อยู่เรียงกัน
แต่กระจัดกระจายกันไปอยู่ตามตึกต่างๆ ที่อยู่ในหมู่บ้านนี้
ซึ่งห้องของอิฉันจะอยู่โซนหน้าหมู่บ้าน กลิ้งตัว หมุนติ้วๆ ไปไม่กี่ทีก็ถึงทางเข้าหลัก
แต่ก็จะมีห้องของน้องๆ ที่ร่วมโครงการที่อยู่ไกลแบบท้ายหมู่บ้านกันเลยทีเดียว
ซึ่งก็จะมีน้องอยู่กลุ่มนึง ที่อยู่กัน 7 คน (อพาร์ทเมนท์แบบ 3 ห้องนอน)
และโชคดีได้อยู่ชั้นหนึ่ง แต่โชคร้ายคือเป็นด้านหลังของหมู่บ้านเลย
และอยู่ติดกับป่าที่อิฉันและผองเพื่อนเรียกกันว่าวันเดอร์แลนด์
วันดีคืนดี ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ อุณหภูมิราวๆ 9 องศา
ก็มีเสียงโทรศัพท์ของดัง กริ้งกร้าง (สมัยนั้นริงโทนเป็น Empire State of Mind)
เบอร์ที่โชว์ในโทรศัพท์เป็นเบอร์ของพี่เอเจนซี่คนไทยนามสมมติว่าพี่ฟิล์มที่มาดูแลเรานั่นเอง
อิฉัน “ว่าไงคะ” (น้ำเสียงตอนตี 2)
คุณพี่ “หนูๆ บ้านน้องนิดหน่อยขโมยขึ้น”
อิฉัน “หะ? ขโมย? ขโมยแบบขโมยอ่ะนะ”
คุณพี่ “ใช่สิ ขโมยอ่ะขโมย พี่กำลังจะเดินไปที่บ้านน้องเขา แต่พี่ไม่กล้า หนูพากันมารับพี่แล้วไปด้วยกันได้มั้ย”
อิฉัน “ได้ๆ เดี๋ยวหนูเดินไปรับนะ”
แล้วอิฉันก็ปลุกเพื่อนสาวอีก 2 คน ให้ตื่นจากนิทรา
น่าเสียดายที่นางทั้งสองหลับกันสนิทเหลิอเกิน
ปลุกก็แล้ว ทุบก็แล้ว สะกิดก็แล้ว มันก็ไม่ยอมตื่น
หรือจริงๆ แกล้งหลับกันรึเปล่าก็ไม่รู้
อิฉันก็เลยห้าวจ้า ไปคนเดียวก็ได้ฟะแม่ม
แต่พอเดินออกจากห้องนอนก็เจอคุณน้องผู้ชาย ขอใช้นามสมมติว่า “เอก”
กำลังคุ้ยหาของกินอยู่ในตู้เย็น (ในตอนตี 2 ขอย้ำอีกครั้งว่าตี 2!)
ก็เลยลากเอก ที่แฮมยังคาปากอยู่ออกมาด้วยกันซะเลย
ที่ห้าวกว่าคืออะไรรู้มั้ยคะคุณๆ เราทั้งสองมาในชุดเต็มยศ “ชุดนอน+สลิปเปอร์” ทั้งคู่จ้า
คือเข้าใจอารมณ์คนรีบมั้ย คือมันคิดไม่ทันอ่ะ
มารู้สึกหนาวอีกที ก็ตอนที่มาถึงหน้าห้องคุณพี่ฟิล์มกันแล้ว
หลังจากรับคุณพี่ฟิล์มเสร็จ คุณพี่ฟิล์มก็บอกว่ามีบอกอีกบ้านไว้
นามสมมติว่าพี่นุช พี่นุชเรียนจบพร้อมอิฉันเหมือนกัน แต่อายุคุณพี่เขา 26 แล้ว
ก็เลยมีสถานะเป็นคุณพี่ลำดับที่ 1 ในบรรดาเด็กที่มีเข้าร่วมโครงการเซทนี้
ซึ่งอายุเท่ากับพี่ฟิล์มพอดิบพอดี
แล้วพี่ฟิล์มที่มีเวลาเตรียมตัวรอเราไปรับ ก็มาพร้อมกับ ชุดนอน+ถุงเท้า - -*
แล้วเราสามคนก็เดินเปลี่ยวและหนาว และกลัวไปรับพี่นุชต่อ
แล้วไปที่ห้องของน้องนิดหน่อย ที่ทุกคนดูตกอกตกใจอยู่พอสมควร
ถามเรื่องราวกันก็ได้ความว่า น้องคนนึงในบ้านออกไปเล่นโน๊ตบุ๊คข้างหลัง
(คืออาศัย Wi-Fi ฟรีของคนอื่นแล้วมันเข้ามาไม่ถึงในห้อง เลยต้องออกไปเล่นข้างนอก)
ทีนี้น้องนิดหน่อยกับเพื่อนอีกคนที่นั่งเล่นกันอยู่ในห้องนั่งเล่น
แยกย้ายกันไปทำธุระ โดยนิดหน่อยไปซักผ้าในห้องครัว
ส่วนน้องอีกคนเข้าไปอาบน้ำ ด้วยความที่กลัวเพื่อนที่ออกไปเล่นเน็ตข้างนอก
กลับมาแล้วจะเข้าบ้านไม่ได้ ก็เลยไม่ได้ล็อคประตูด้านหลังห้องไว้
โดย นิดหน่อยทิ้งโน๊ตบุ๊คตัวเองไว้ในห้องนั่งเล่น
พอนิดหน่อยเดินกลับมา ปรากฎว่าโน๊ตบุ๊คหายไป และประตูด้านหลังห้องเปิดทิ้งไว้
พอถามเพื่อนในห้องว่ามีใครเก็บโน๊ตบุ๊คของนิดหน่อยไปไว้ในห้องรึเปล่า
ปรากฎว่าไม่มีใครออกมาเลยระหว่างนั้น ซึ่งนิดหน่อยบอกว่าไปเอาผ้าลงเครื่อง ไม่เกิน 5 นาที
เราเลยให้น้องๆ สำรวจว่าอะไรใครหายบ้าง ซึ่งก็ได้ใจความว่า
มีโน๊ตบุ๊คของนิดหน่อย และเงินสดที่เป็นกองกลางของห้องนี้หายไปอีก 350 เหรียญ
พอคุยกันรู้เรื่องแล้ว พี่ฟิล์มเลยโทรแจ้ง 191
และหลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง ตำรวจก็มาที่ห้องของนิดหน่อย 2 คน
หลังจากเล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณพี่ตำรวจฟังแล้ว คุณพี่ก็บอกว่า
เราไม่ได้จด Serial No. ของโน๊ตบุ๊คไว้ คิดว่าคงไม่ได้คืน ส่วนเงินนั้นไม่ต้องหวัง
แล้วก็จบด้วยการบ่นว่าทำไมเอเจนซี่ถึงให้เด็กแลกเปลี่ยนมาอยู่กันที่นี่
มันอันตราย ซึ่งหลังจากนี้เราจะได้ยินประโยคนี้กันอีกตลอด 4 เดือนเลยทีเดียว - -*
และคุณตำรวจก็ถามรายละเอียดอื่นๆ ว่าเรามาอยู่กันกี่คน มาอยู่กันกี่เดือน
ซึ่งตรงนี้พี่ฟิล์มก็ให้รายละเอียดคุณตำรวจไป แล้วคุณตำรวจก็กลับไปค่ะ
ซึ่งสรุปแล้วน้องนิดหน่อยก็ไม่ได้โน๊ตบุ๊คคืนจริงๆ
แต่หลังจากนั้นวันนั้นก็มีตำรวจผลัดมาเฝ้าที่หมู่บ้านเราทุกวัน
ทั้งในหมู่บ้าน และด้านหน้า ซึ่งสร้างความอุ่นใจได้มากขึ้นค่ะ
แล้วคุณพี่ตำรวจก็จะเดินตรวจตรากันด้วย
เราเคยออกมาสูบบุหรี่ตรงหลังบ้าน (เด็กดีไม่ควรทำตามนะคะ)
คือเดินเลยประตูหลังบ้านมาแค่นิดเดียว นิดเดียวเท่านั้นจริงๆ
แล้วจังหวะเดียวกับคุณพี่ตำรวจเดินมาพอดี คุณพี่ก็บอกว่าอย่ามายืนคนเดียวตรงนี้สิมันอันตรายนะอีหนู
ก็เอาเป็นว่าขโมยขึ้นบ้านน้องนิดหน่อยคราวนั้น
เราทุกคนก็ระวังตัวกันมากขึ้น
และได้รับรู้ว่า ละแวกบ้านที่เรามาอยู่กันนี้ ไม่ใช่ที่ที่ปลอดภัยสักเท่าไหร่เลย
ซึ่งตลอด 4 เดือนนี่เจอเรื่องที่ตอกย้ำ
ความไม่ปลอดภัย แบบนี้กันอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
---
มีต่อนะคะ
[REVIEW] Work&Travel at Maryland "ประสบการณ์ดีๆ ที่ไม่ได้มีแต่เรื่องดีๆ" Part 3 -- 4 เดือนที่แสนจะวุ่นวายและเวิ่นเว้อ
กลับมาอีกแล้ว ตามคำเรียกร้อง(ของตัวอิฉันเอง)
กับเรื่องเล่าประสบการณ์ของการไปเป็นเด็ก Work and Travel
โปรแกรมสำหรับนักศึกษา ที่ยังคงมีทั้งเสียงเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
แต่เราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้กันค่ะ เพราะเราไปมาแล้ว
หมดเวลาถามความเห็นแล้ว 555+
ใครสนใจกลับไปดูกระทู้เก่าๆ ได้ค่ะ
พาร์ท 1
Work and Travel at Six Flags America ประสบการณ์ดีๆ ที่ไม่ได้มีแต่เรื่องดีๆ
http://ppantip.com/topic/31833359
พาร์ท 2
Work and Travel at Six Flags America Part 2 "ประสบการณ์ดีๆ ที่ไม่ได้มีแต่เรื่องดีๆ" ทำงานในสวนสนุก
http://ppantip.com/topic/32306003
หลายๆ คนอาจจะถามว่า ไอที่จั่วหัวมาตั้งแต่ตอนแรกว่า
“ประสบการณ์ดีๆ ที่ไม่ได้มีแต่เรื่องดีๆ” เนี่ยะ ไอเรื่องไม่ดีไม่เห็นมีพูดถึงเลย
มาแล้วค่ะ มาแล้ว ความดราม่าจะอยู่กับเราเสมอค่ะ
ถ้าไม่มีดราม่า ชีวิตเราจะไม่มีสีสันค่ะคุณๆ
เพราะฉะนั้นมาค่ะมา มาเสพดราม่ากันค่ะ
คำเตือน
- เนื้อหาในกระทู้นี้จะมี เนื้อหา 95% ภาพปลากรอบ 5% (ดิฉันกะเอานะคะ ไม่ได้กดเครื่องคิดเลขถัวเฉลี่ยอย่างจริงจัง) ถ้าใครชอบดูภาพเยอะๆ คงผิดหวังหน่อยนะคะ
- อาจมีบางช่วงบางตอนความจำลางเลือน เล่าแบบขาดๆ เกินๆ ก็ขอให้รู้ไว้ว่า ไอที่ขาดคือจำไม่ได้ ไอที่เกินมาคือ ฟิลลิ่ง ล้วนๆ
- อาจมีภาษาวิบัติประปราย กราบขออภัยมา ณ ที่นี้ค่ะ
- ตอนอ่านระวังหลังด้วย เดี๋ยวเจ้านายเดินมา จะหาว่าอิฉันไม่เตือน เพราะระหว่างเขียนกระทู้นี้อยู่ เจ้านายอิฉันก็เดินมาเหมือนกัน T^T
เรื่องที่จะเล่าให้ฟังในกระทู้นี้เป็นเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น สมัยที่เข้าร่วมโครงการ ก็จะมีหลากหลายอรรถรสผสมปนเปกันไป มีเรื่องพีคๆ ที่พบเจออยู่ตลอด 4 เดือน ในการใช้ชีวิตอยู่กันเองแบบไม่มีผู้ปกครอง อยู่เยอะพอสมควร เป็น 4 เดือนที่ได้ประสบการณ์ “ครั้งแรก” มาเยอะจนนับไม่ถ้วน มาดูกันดีกว่าค่ะ ว่าอิฉันเจออะไรมาบ้าง
“อะไรนะ? ขโมยขึ้นบ้าน!?”
จากที่เกริ่นทิ้งไว้ในกระทู้ที่แล้ว ก็เลยจะขอเล่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก
เพราะกลัวคนที่ตามมาจากกระทู้นั้น จะงอนน้อยอกน้อยใจ หาว่าอิฉันขี้โม้ได้
อย่างที่เคยบอกไปไว้ในกระทู้ที่1 ว่าอพาร์มเมนท์แต่ละห้องของเด็กไทยจะไม่ได้อยู่เรียงกัน
แต่กระจัดกระจายกันไปอยู่ตามตึกต่างๆ ที่อยู่ในหมู่บ้านนี้
ซึ่งห้องของอิฉันจะอยู่โซนหน้าหมู่บ้าน กลิ้งตัว หมุนติ้วๆ ไปไม่กี่ทีก็ถึงทางเข้าหลัก
แต่ก็จะมีห้องของน้องๆ ที่ร่วมโครงการที่อยู่ไกลแบบท้ายหมู่บ้านกันเลยทีเดียว
ซึ่งก็จะมีน้องอยู่กลุ่มนึง ที่อยู่กัน 7 คน (อพาร์ทเมนท์แบบ 3 ห้องนอน)
และโชคดีได้อยู่ชั้นหนึ่ง แต่โชคร้ายคือเป็นด้านหลังของหมู่บ้านเลย
และอยู่ติดกับป่าที่อิฉันและผองเพื่อนเรียกกันว่าวันเดอร์แลนด์
วันดีคืนดี ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ อุณหภูมิราวๆ 9 องศา
ก็มีเสียงโทรศัพท์ของดัง กริ้งกร้าง (สมัยนั้นริงโทนเป็น Empire State of Mind)
เบอร์ที่โชว์ในโทรศัพท์เป็นเบอร์ของพี่เอเจนซี่คนไทยนามสมมติว่าพี่ฟิล์มที่มาดูแลเรานั่นเอง
อิฉัน “ว่าไงคะ” (น้ำเสียงตอนตี 2)
คุณพี่ “หนูๆ บ้านน้องนิดหน่อยขโมยขึ้น”
อิฉัน “หะ? ขโมย? ขโมยแบบขโมยอ่ะนะ”
คุณพี่ “ใช่สิ ขโมยอ่ะขโมย พี่กำลังจะเดินไปที่บ้านน้องเขา แต่พี่ไม่กล้า หนูพากันมารับพี่แล้วไปด้วยกันได้มั้ย”
อิฉัน “ได้ๆ เดี๋ยวหนูเดินไปรับนะ”
แล้วอิฉันก็ปลุกเพื่อนสาวอีก 2 คน ให้ตื่นจากนิทรา
น่าเสียดายที่นางทั้งสองหลับกันสนิทเหลิอเกิน
ปลุกก็แล้ว ทุบก็แล้ว สะกิดก็แล้ว มันก็ไม่ยอมตื่น
หรือจริงๆ แกล้งหลับกันรึเปล่าก็ไม่รู้
อิฉันก็เลยห้าวจ้า ไปคนเดียวก็ได้ฟะแม่ม
แต่พอเดินออกจากห้องนอนก็เจอคุณน้องผู้ชาย ขอใช้นามสมมติว่า “เอก”
กำลังคุ้ยหาของกินอยู่ในตู้เย็น (ในตอนตี 2 ขอย้ำอีกครั้งว่าตี 2!)
ก็เลยลากเอก ที่แฮมยังคาปากอยู่ออกมาด้วยกันซะเลย
ที่ห้าวกว่าคืออะไรรู้มั้ยคะคุณๆ เราทั้งสองมาในชุดเต็มยศ “ชุดนอน+สลิปเปอร์” ทั้งคู่จ้า
คือเข้าใจอารมณ์คนรีบมั้ย คือมันคิดไม่ทันอ่ะ
มารู้สึกหนาวอีกที ก็ตอนที่มาถึงหน้าห้องคุณพี่ฟิล์มกันแล้ว
หลังจากรับคุณพี่ฟิล์มเสร็จ คุณพี่ฟิล์มก็บอกว่ามีบอกอีกบ้านไว้
นามสมมติว่าพี่นุช พี่นุชเรียนจบพร้อมอิฉันเหมือนกัน แต่อายุคุณพี่เขา 26 แล้ว
ก็เลยมีสถานะเป็นคุณพี่ลำดับที่ 1 ในบรรดาเด็กที่มีเข้าร่วมโครงการเซทนี้
ซึ่งอายุเท่ากับพี่ฟิล์มพอดิบพอดี
แล้วพี่ฟิล์มที่มีเวลาเตรียมตัวรอเราไปรับ ก็มาพร้อมกับ ชุดนอน+ถุงเท้า - -*
แล้วเราสามคนก็เดินเปลี่ยวและหนาว และกลัวไปรับพี่นุชต่อ
แล้วไปที่ห้องของน้องนิดหน่อย ที่ทุกคนดูตกอกตกใจอยู่พอสมควร
ถามเรื่องราวกันก็ได้ความว่า น้องคนนึงในบ้านออกไปเล่นโน๊ตบุ๊คข้างหลัง
(คืออาศัย Wi-Fi ฟรีของคนอื่นแล้วมันเข้ามาไม่ถึงในห้อง เลยต้องออกไปเล่นข้างนอก)
ทีนี้น้องนิดหน่อยกับเพื่อนอีกคนที่นั่งเล่นกันอยู่ในห้องนั่งเล่น
แยกย้ายกันไปทำธุระ โดยนิดหน่อยไปซักผ้าในห้องครัว
ส่วนน้องอีกคนเข้าไปอาบน้ำ ด้วยความที่กลัวเพื่อนที่ออกไปเล่นเน็ตข้างนอก
กลับมาแล้วจะเข้าบ้านไม่ได้ ก็เลยไม่ได้ล็อคประตูด้านหลังห้องไว้
โดย นิดหน่อยทิ้งโน๊ตบุ๊คตัวเองไว้ในห้องนั่งเล่น
พอนิดหน่อยเดินกลับมา ปรากฎว่าโน๊ตบุ๊คหายไป และประตูด้านหลังห้องเปิดทิ้งไว้
พอถามเพื่อนในห้องว่ามีใครเก็บโน๊ตบุ๊คของนิดหน่อยไปไว้ในห้องรึเปล่า
ปรากฎว่าไม่มีใครออกมาเลยระหว่างนั้น ซึ่งนิดหน่อยบอกว่าไปเอาผ้าลงเครื่อง ไม่เกิน 5 นาที
เราเลยให้น้องๆ สำรวจว่าอะไรใครหายบ้าง ซึ่งก็ได้ใจความว่า
มีโน๊ตบุ๊คของนิดหน่อย และเงินสดที่เป็นกองกลางของห้องนี้หายไปอีก 350 เหรียญ
พอคุยกันรู้เรื่องแล้ว พี่ฟิล์มเลยโทรแจ้ง 191
และหลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง ตำรวจก็มาที่ห้องของนิดหน่อย 2 คน
หลังจากเล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณพี่ตำรวจฟังแล้ว คุณพี่ก็บอกว่า
เราไม่ได้จด Serial No. ของโน๊ตบุ๊คไว้ คิดว่าคงไม่ได้คืน ส่วนเงินนั้นไม่ต้องหวัง
แล้วก็จบด้วยการบ่นว่าทำไมเอเจนซี่ถึงให้เด็กแลกเปลี่ยนมาอยู่กันที่นี่
มันอันตราย ซึ่งหลังจากนี้เราจะได้ยินประโยคนี้กันอีกตลอด 4 เดือนเลยทีเดียว - -*
และคุณตำรวจก็ถามรายละเอียดอื่นๆ ว่าเรามาอยู่กันกี่คน มาอยู่กันกี่เดือน
ซึ่งตรงนี้พี่ฟิล์มก็ให้รายละเอียดคุณตำรวจไป แล้วคุณตำรวจก็กลับไปค่ะ
ซึ่งสรุปแล้วน้องนิดหน่อยก็ไม่ได้โน๊ตบุ๊คคืนจริงๆ
แต่หลังจากนั้นวันนั้นก็มีตำรวจผลัดมาเฝ้าที่หมู่บ้านเราทุกวัน
ทั้งในหมู่บ้าน และด้านหน้า ซึ่งสร้างความอุ่นใจได้มากขึ้นค่ะ
แล้วคุณพี่ตำรวจก็จะเดินตรวจตรากันด้วย
เราเคยออกมาสูบบุหรี่ตรงหลังบ้าน (เด็กดีไม่ควรทำตามนะคะ)
คือเดินเลยประตูหลังบ้านมาแค่นิดเดียว นิดเดียวเท่านั้นจริงๆ
แล้วจังหวะเดียวกับคุณพี่ตำรวจเดินมาพอดี คุณพี่ก็บอกว่าอย่ามายืนคนเดียวตรงนี้สิมันอันตรายนะอีหนู
ก็เอาเป็นว่าขโมยขึ้นบ้านน้องนิดหน่อยคราวนั้น
เราทุกคนก็ระวังตัวกันมากขึ้น
และได้รับรู้ว่า ละแวกบ้านที่เรามาอยู่กันนี้ ไม่ใช่ที่ที่ปลอดภัยสักเท่าไหร่เลย
ซึ่งตลอด 4 เดือนนี่เจอเรื่องที่ตอกย้ำ ความไม่ปลอดภัย แบบนี้กันอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
---
มีต่อนะคะ