สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ชาวพันทิพ วันนี้ดิฉันมีเรื่องจะมาปรึกษาเพื่อน ๆ ในนี้ รบกวนหน่อยนะคะ ขอเล่าเลยนะ
ดิฉันเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวมีบุตรชาย 1 คน ดิฉันเลิกกับสามีตั้งแต่บุตรอายุได้ 6 เดือน สาเหตุที่ต้องเลิกเนื่องจากเขามีผู้หญิงคนอื่น ไม่ใช่ว่าดิฉันไม่ทนนะคะ เริ่มแรกดิฉันพอจะทราบว่าเขามีคนอื่นก็ข้อความที่ส่งมาแล้วเรียกแฟนดิฉันว่า...ที่รัก... ดิฉันถามเขาก็บอกว่าไม่มีอะไรแล้วหลังจากนั้นก็จะเอาโทรศัพท์เข้าไปห้องน้ำด้วยทุกครั้ง หรือแม้กระทั่งตอนนอนก็จะเอาไว้ใต้หมอน บ้านก็กลับผิดเวลากลับมาดึก ๆ ถ้าถามก็จะทำอารมณ์เสียใส่แต่ดิฉันก็ต้องทนเพราะสงสารลูก
กลัวแกจะเป็นเด็กกำพร้า แล้ววันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ฉ้นแน่ใจเกิดขึ้นคือ ดิฉันพาลูกไปหาแม่ที่ต่างอำเภอ นอนค้างคืนหนึ่ง ช่วงเวลาคืนนั้นทั้งคืนดิฉันโทรหาแฟนของดิฉันหลายสายมากแต่เขาไม่รับโทรศัพท์เลย ทำให้ดิฉันมีลางสังหรณ์ว่าต้องมีอะไรผิดปกติแน่ ๆ พอเช้ามืดดิฉันเลยรีบพาลูกนั่งแท๊กซี่กลับมาบ้านเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เป็นจริง เขาพาผู้หญิงคนนั้น คนเดียวกับที่ส่งข้อความมาให้แล้วดิฉันเปิดเจอ เขาพากันมานอนในบ้านในคืนที่ดิฉันไปค้างบ้านแม่ จริง ๆ ดิฉันไม่ได้อยากไปแต่เขาบอกว่าไปเถอะเขาจะไปส่งเองวันนี้เขามีประชุมที่บริษัทเดี๋ยวตอนเย็นเลิกประชุมจะแวะไปรับกลับบ้าน บ้านแม่กับที่ทำงานเขาไม่ห่างกันมาก เขาบอกดิฉันก็เชื่อเขาก็เอาเปลใส่ท้ายรถกะบะไปให้ด้วยแต่พอตกตอนเย็นเขาก็ไม่มารับดิฉันเลยต้องค้างกับแม่ ดิฉันคิดว่าน่าจะเป็นแผนของเขาเพราะเขาคงคิดว่าเอาเปลไปให้ด้วยถ้าเขาไม่ไปรับ ดิฉันคงจะกลับเองไม่ได้แน่ ๆ เนื่องจากรถแท๊กซี่เอาเปลใส่มาคงไม่พอ แต่ดิฉันสังหรณ์ใจรีบออกมาแต่เช้ามืดอุ้มแค่ลูกนั่งแท๊กซี่มา เปลไม่ได้เอากลับมา เลยมาเจอภาพบาดตาคำว่าฟ้าถล่มดินทลายเป็นแบบไหน คำว่าจะขาดใจเป็นอย่างไร ดิฉันก็พึ่งเข้าใจก็ในวันที่เห็นผู้หญิงอื่นในบ้านนี่แหละ แต่ดิฉันก็อดทนต่อนะคะ ถามเขาก็ไม่รับ ถามอะไรก็ไม่ตอบบอกแต่ว่าไม่มีอะไรกัน ไปเที่ยวกันมากลับดึก น้องคนนี้เขาจะกลับบ้านลำบาก ก็เลยให้ค้างด้วย แต่นอนคนละห้อง ดิฉันบอกให้อยู่คุยกันก่อนให้น้องเขากลับแท๊กซี่เองแต่เขาสามีดิฉันเขาก็ไม่ยอม ยืนยันจะไปส่งน้องเขาให้ได้ ดิฉันก็เลยต้องปล่อยไป ดิฉันไม่อยากมีปัญหา ไม่อยากให้ลูกเป็นเด็กกำพร้าก็เลยเงียบไปไม่ซักถามอะไรอีก แต่คราวนี้เหตุการณ์ยิ่งเลวร้ายลง เขากลับบ้านดึกมากขึ้น บางคืนถึงขั้นไม่กลับก็มี บางครั้งกลับมาดึก ๆ แล้วก็อาบน้ำออกไป หายไปเลยก็มี ถามก็ไม่ได้หงุดหงิดใส่ดิฉัน ทิ้งดิฉันกับลูกเล็ก ๆ ไว้เพียงลำพัง เขาคงคิดว่าในเมื่อดิฉันเห็นตำตาขนาดนั้นแล้วและดิฉันยังทนที่จะอยู่กับเขา เขาก็คงคิดว่าดิฉันเป็นของตาย ไม่แคร์ คราวนี้เขาจะทำอะไรเขาไม่เคยเกรงใจดิฉันเลย พ่อของแฟนพอดิฉันโทรไประบายเขาก็หาว่าดิฉ้นคิดมาก ลูกเขาไม่ได้เป็นอย่างที่ดิฉันคิดหรอก ดิฉันก็เลยต้องทนมาเรื่อย ๆ ช่วงที่เขาหายไปดิฉันร้องไห้แทบทุกวันมองเห็นหน้าลูกแล้วก็สงสาร น้ำตามันก็จะไหลมาเอง ในใจคิดแต่ว่าทำไม ทำไม ทำไม ลูกก็ยังเล็กนักช่วงน้นดิฉันยังเลี้ยงลูกเองอยู่เพราะว่าลาคลอดได้ 3 เดือน พอครบกำหนดลาคลอดดิฉันต้องกลับไปทำงาน ก็เลยเอาลูกไปให้แม่ดิฉันเองเอาไปเลี้ยง ดิฉันก็ไปทำงานส่วนสามีก็หายไปกลับบ้างไม่กลับบ้าง จนมาวันหนึ่งเขาหายไปหลายวันดิฉันหมดความอดทนอยากรู้จะอยู่กันอย่างไร พอเขามาดิฉันขอร้องให้เขาเลิกทำตัวแบบนี้เขาบอกเขาเลิกไม่ได้ ดิฉันบอกต้องให้ดิฉันทำอย่างไร เขาบอกไม่ต้องอยู่เฉย ๆ อย่างนี้แหละดิฉันจึงถามต่อว่าเขาต้องการอะไรที่ทำแบบนี้ เขาบอกว่า...เขาอยากแยกกันอยู่กับดิฉัน ดิฉันเลยย้อนถามว่าแยกกันอยู่มันก็เหมือนกับเลิกกันนั่นแหละ เขาตอบกลับมาว่าใช่ ดิฉันอึ้งเลยค่ะไม่เคยคิดว่าจะได้ยินสิ่งนี้ น้ำตาไหลเลยแต่พยายามตั้งสติ เลยถามเขาต่อว่าถ้าเลิกกันจะให้อะไรดิฉันบ้าง เนื่องจากมีบ้านกับรถที่ซื้อหลังจากที่เราแต่งงานและจดทะเบียนสมรสกัน และลูกจะเอายังไง เขาบอกว่าลูกเขาจะเอาไปแต่ดิฉันบอกให้ไม่ได้ เขาบอกว่าถ้าดิฉันเลี้ยงเขาจะไม่รับผิดชอบอะไรเกี่ยวกับลูกเลย ดิฉันก็เลยงงว่าทำไมเขาบอกว่าในเมื่ออยากได้ก็ต้องเอาไปรับผิดชอบเอง ดิฉันก็เลยบอกว่าก็ได้ ส่วนบ้านดิฉันบอกเขาเองเลยว่าขอ เพราะมีลูกอยากให้ลูกได้อยู่เขาบอกไม่ได้บ้านจะให้คนอื่นเช่าแล้วเอาเงินค่าเช่ามาแบ่งกัน ส่วนรถเขาจะเอา ดิฉันก็งงว่าทำไมเขาใจร้ายขนาดนี้
เลยเกิดการเถียงกัน ดิฉันบอกว่าถ้าดิฉันไม่ได้อะไรเลย เขาก็จะไม่เหลืออะไรเหมือนกันแม้นกระทั่งหน้าที่การงาน หลังจากที่ดิฉันพูดจบเขาได้เข้ามาทำร้ายร่างกายดิฉันเลยค่ะ แต่เจ็บไม่มากหรอก เสร็จแล้วเขาก็ออกจากบ้านไป แล้วก็หายไปเลยดิฉันก็เลยไปทำงานตามปกติ จริงๆไม่มีกะจิตกะใจจะไปทำหรอกค่ะงาน แต่ถ้าไม่ทำงานจะเอาเงินที่ไหนมาเลี้ยงลูก จะมานั่งเศร้าอย่างเดียวก็ไม่ได้ลูกยังต้องกินนม ก็เลยกล้ำกลืนไปทำงานตั้งสติเอา อยู่มาวันหนึ่งเพื่อนบ้านโทรศัพท์ไปบอกว่าแฟนเก่า พ่อแฟน และอาของแฟน เอารถกะบะมาขนพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านที่ดิฉันอยู่ไปพวก ตู้เย็น พัดลม เครื่องเสียง ่คอมฯ และของใช้ของเขาดิฉันกลับบ้านมาบ้านโล่งมากเลยค่ะ ดิฉันโทรไปถามเขาบอกว่าเขาขอ ดิฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรมากแค่บอกว่าอย่างทำแบบนี้อีกอยากได้อะไรต้องโทรมาบอกก่อน ตอนนั้นดิฉันยังไม่ได้เปลี่ยนกุญแจบ้านที เขาเลยไขเข้ามาขนของไปเองได้ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เพิ่งแยกกันอยู่ใหม่ ๆ ความรู้สึกเราก็เหมือนกับว่ายังรักเขาอยู่ เรายังตัดเขาไม่ขาดก็เลยไม่ได้ว่าอะไรไปมาก แต่หลังจากนั้นก็เปลี่ยนกุญแจบ้าน แล้วเหตุการณ์ที่ทำให้ดิฉันต้องตัดสินใจหย่าก็เกิดขึ้น มีวันหนึ่งเพื่อนบ้านอีกแหละโทรไปบอกดิฉันขณะทำงานอยู่ว่าให้รีบกลับมาบ้าน แฟนของดิฉันตัดกุญแจเข้าไปงัดแอร์ซึ่งอยุ่ในห้องนอนข้างบนบ้านดิฉันไปแล้ว ดิฉันกลับมาเจอสภาพ ประตูถูกตัดตรงตัวโค้งเล็ก ๆ ที่ไว้สำหรับคล้องลูกกุญแจล๊อค นั่นแหละค่ะเขาตัดเหล็กบางๆตรงนั้น เพราะลูกกุญแจเขาตัดไม่ได้ ตัดมางัดเอาแอร์ไป รปภ. หมู่บ้านบอกว่าผมห้ามเขาแล้วแต่พี่ผู้ชายเขาไม่ฟัง เขาบอกว่าบ้านเขาเหมือนกัน เหตุการณ์ในครั้งนี้เลยทำให้ดิฉันตัดสินใจหย่าไม่รอเวลาที่เขาจะกลับมาคืนดีแล้ว ไม่หวังแล้ว เลยโทรไปหาเขา ซึ่งก่อนหน้านี้เขาก็โทรมาขอให้หย่าให้อยุ่เรื่อย ๆ แต่ดิฉันก็ปฏิเสธไปเนื่องจากคุยกัน เวลาถามถึงค่าเลี้ยงดูลูกถ้าเลิกกันเขาบอกจะไม่ให้ ยังไงก็ยืนยันจะไม่ให้ แต่พอเจอเหตุการณ์ตัดประตูเขามางัดแอร์ดิฉันคิดว่ายอมหย่าดีกว่า ค่าเลี้ยงดูไม่ได้ก็ไม่เอา ลูกของเรา เรารัก เราเลี้ยงเองก็ได้ จึงโทรไปนัดให้เขามาบอกว่าจะหย่าให้ เขาก็กำหนดวันมา พอถึงวันหย่าไปถึงที่อำเภอ
ดิฉันไปก่อนก็เข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่ของ เขาก็ซักถามว่าเต็มใจไหม หย่าเพราะอะไร ทรัพย์สินมีป่าว มีบุตรไหม ดิฉันตอบว่าบุตรมีค่ะ นายอำเภอก็ถามว่าได้ตกลงเรื่องค่าเลี้ยงดูบุตรมากันหรือยังว่าเขาฝ่ายสามีจะส่งให้เท่าไหร่ ดิฉันตอบว่าขอแล้วแต่เขายืนยันจะไม่ให้ นายอำเภอท่านก็เลยบอกว่าเดี๋ยวถ้าเขามาตอนหย่า จะถามให้อีกทีนะ พอเขามาถึงก็เขาไปหย่ากัน ฝ่ายเขาเอาน้องชายมาเป็นพยานในการหย่า ดิฉันพาเพื่อนผู้หญิงไปเป็นพยานในการหย่า
หลังจากหย่าจะมีใบเอกสารการแบ่งทรัพย์สินแนบมาด้วย ส่วนเรื่องค่าเลี้ยงดูบุตรนายอำเภอถามให้เขาตอบว่าไม่ขอระบุถ้ามีแล้วจะให้เอง ดิฉันก็โอเครเพราะว่าถ้า่ไม่หย่าเกิดวันไหนเขายังใช้สิทธิ์เจ้าของบ้านหลังนี้แล้วเขามาทำลายดิฉันหรือมางัดอะไรไปอีก ดิฉันก็ต้องปล่อยเพราะเขาก็ยังมีสิทธิ์ บทสรุปหลังจากที่เราไปหย่ากัน ณ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547
ทรัพย์สินที่สร้างหลังจากแต่งงาน จดทะเบียนสมรสมี
- รถยนต์ 2 คันเป็นของพวกเราเองหนึ่งคัน ส่วนอีกหนึ่งคันเป็นเงินของพ่อดิฉันดาวน์เองและส่งเองแต่อาศัยชื่อสามี เนื่องจากพ่อของดิฉันแกรับเหมาไม่มีเอกสารใดๆ จะไปยื่นเรื่องกับไฟแนนซ์ได้
- บ้านหนึ่งหลังที่อาศัยอยู่ซึ่งยังคงต้องผ่อนเป็นเวลาอีก 25 ปีนับจากวันที่ไปเซ็นหย่ากัน
- บุตรชาย 1 คน
พอไปจดทะเบียนหย่าที่อำเภอก็ได้ออกใบบันทึกหลังการหย่ามาให้ มีข้อความดังนี้
1. ทั้งคู่หย่ากันด้วยความสมัครใจ ดังได้นำหนังสือสัญญาการหย่า มาแสดงและได้แนบติดพร้อมบันทึกนี้แล้ว
2. คู่หย่าได้แต่งงานอยู่กินกันเป็นเวลา 3 ปี มีบุตรเป็นจำนวน 1 คน ชื่อ ด.ช....................................อายุ 10 เดือน ฝ่ายชายยินยอมให้บุตรอยู่ในอำนาจปกครองของฝ่ายหญิง
3. มีทรัพย์สิน ได้แก่ บ้านพร้อมที่ดินเลขที่...........................................ระบุเลขที่บ้านครบทุกอย่าง เป็นกรรมสิทธิ์ของฝ่ายหญิง, รถยนต์ยี่ห้อ.....ทะเบียน....เป็นกรรมสิทธิ์ของฝ่ายชาย, รถยนต์ยี่ห้อ...ทะเบียน...เป็นกรรมสิทธิ์ของฝ่ายหญิง
4. เรื่องค่าเลี้ยงดูไม่ได้
@@@ปัญหาของดิฉันก็คือนับจากวันที่หย่าจนถึงณ วันนี้ บ้านที่อาศัยอยู่นี้ดิฉันผ่อนแต่เพียงผู้เดียว โดยที่ฝ่ายชายพอเลิกแล้วก็ไม่เคยจะมาสนใจเขาก็ได้ไปมีครอบครัวใหม่มีลูกกับภรรยาใหม่ บุตรที่เกิดกับดิฉันก็ไม่เคยส่งเสียเลี้ยงดูใด ๆเลย แต่เอกสารการผ่อนบ้านที่ทำไว้กับทางธนาคารดิฉันยังไม่ได้ไปเปลียนหลังจากที่หย่า เนื่องจาก ณ ขณะนั้นดิฉ้นมีเงินเดือนน้อย เงินเดือนนะตอนนั้นแค่ 7000 กว่าบาทเอง แต่พอมาณ ตอนนี้ผ่านมาเป็นหลายปีแล้วเงินเดือนดิฉันก็ปรับขึ้นทำให้ดิฉันอยากจะไปกูบ้านคนเดียว โดยเอาชื่อเขาออกแต่ทางแบงค์บอกว่าต้องให้เขาเซ็นด้วยเนื่องจากในเอกสารกู้ซื้อบ้าน
เขาเป็นผู้กู้หลัก ดิฉันเป็นผู้กู้รอง แล้วในโฉนดก็มีชื่อเขา พอทางแบงค์แจ้งมาดิฉันก็เลยพยายามหาทางติดต่อเขาจนได้เบอร์โทรและโทรไปหาเขาให้ช่วยมาเซ็นเรื่องบ้านให้หน่อย เขาจะเอาเงินค่าเซ็น 100000 บาท ดิฉันบอกไม่มีเนื่องจากตัวคนเดียวต้องเลี้ยงลูกและส่งบ้านด้วย ไม่ได้มีเงินเยอะ เขาก็ไม่ยอมเซ็นให้ ขอให้เห็นแก่ลูกเขาก็ไม่ยอม จะเอาเงินอย่างเดียว ตอนแรกดิฉันไม่คิดว่าจะมีปัญหาเลยส่งค่างวดบ้านมาเรื่อ่ย ๆเพราะคิดว่าในใบหย่าเขาระบุให้เราไว้แล้ววันข้างหน้าคงไม่มีปัญหาอะไร แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นอย่างที่คิด ดิฉันเลยไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรได้บ้างค่ะ อยากรบกวนเพื่อนๆ ที่พอจะรู้เรื่องช่วยแนะนำหน่อยค่ะ ดิฉันไม่ทราบว่าจะปรึกษาใครได้บ้างเนื่องจาก พ่อแม่ก็เป็นคนต่างจังหวัด ปรึกษาแกก็ไม่รู้เรื่องแบบนี้ค่ะ รบกวนเพื่อน ๆในพันทิพนี้หน่อยนะคะ ขอบคุณค่ะ
ู
เอกสารหลังการหย่า
ดิฉันเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวมีบุตรชาย 1 คน ดิฉันเลิกกับสามีตั้งแต่บุตรอายุได้ 6 เดือน สาเหตุที่ต้องเลิกเนื่องจากเขามีผู้หญิงคนอื่น ไม่ใช่ว่าดิฉันไม่ทนนะคะ เริ่มแรกดิฉันพอจะทราบว่าเขามีคนอื่นก็ข้อความที่ส่งมาแล้วเรียกแฟนดิฉันว่า...ที่รัก... ดิฉันถามเขาก็บอกว่าไม่มีอะไรแล้วหลังจากนั้นก็จะเอาโทรศัพท์เข้าไปห้องน้ำด้วยทุกครั้ง หรือแม้กระทั่งตอนนอนก็จะเอาไว้ใต้หมอน บ้านก็กลับผิดเวลากลับมาดึก ๆ ถ้าถามก็จะทำอารมณ์เสียใส่แต่ดิฉันก็ต้องทนเพราะสงสารลูก
กลัวแกจะเป็นเด็กกำพร้า แล้ววันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ฉ้นแน่ใจเกิดขึ้นคือ ดิฉันพาลูกไปหาแม่ที่ต่างอำเภอ นอนค้างคืนหนึ่ง ช่วงเวลาคืนนั้นทั้งคืนดิฉันโทรหาแฟนของดิฉันหลายสายมากแต่เขาไม่รับโทรศัพท์เลย ทำให้ดิฉันมีลางสังหรณ์ว่าต้องมีอะไรผิดปกติแน่ ๆ พอเช้ามืดดิฉันเลยรีบพาลูกนั่งแท๊กซี่กลับมาบ้านเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เป็นจริง เขาพาผู้หญิงคนนั้น คนเดียวกับที่ส่งข้อความมาให้แล้วดิฉันเปิดเจอ เขาพากันมานอนในบ้านในคืนที่ดิฉันไปค้างบ้านแม่ จริง ๆ ดิฉันไม่ได้อยากไปแต่เขาบอกว่าไปเถอะเขาจะไปส่งเองวันนี้เขามีประชุมที่บริษัทเดี๋ยวตอนเย็นเลิกประชุมจะแวะไปรับกลับบ้าน บ้านแม่กับที่ทำงานเขาไม่ห่างกันมาก เขาบอกดิฉันก็เชื่อเขาก็เอาเปลใส่ท้ายรถกะบะไปให้ด้วยแต่พอตกตอนเย็นเขาก็ไม่มารับดิฉันเลยต้องค้างกับแม่ ดิฉันคิดว่าน่าจะเป็นแผนของเขาเพราะเขาคงคิดว่าเอาเปลไปให้ด้วยถ้าเขาไม่ไปรับ ดิฉันคงจะกลับเองไม่ได้แน่ ๆ เนื่องจากรถแท๊กซี่เอาเปลใส่มาคงไม่พอ แต่ดิฉันสังหรณ์ใจรีบออกมาแต่เช้ามืดอุ้มแค่ลูกนั่งแท๊กซี่มา เปลไม่ได้เอากลับมา เลยมาเจอภาพบาดตาคำว่าฟ้าถล่มดินทลายเป็นแบบไหน คำว่าจะขาดใจเป็นอย่างไร ดิฉันก็พึ่งเข้าใจก็ในวันที่เห็นผู้หญิงอื่นในบ้านนี่แหละ แต่ดิฉันก็อดทนต่อนะคะ ถามเขาก็ไม่รับ ถามอะไรก็ไม่ตอบบอกแต่ว่าไม่มีอะไรกัน ไปเที่ยวกันมากลับดึก น้องคนนี้เขาจะกลับบ้านลำบาก ก็เลยให้ค้างด้วย แต่นอนคนละห้อง ดิฉันบอกให้อยู่คุยกันก่อนให้น้องเขากลับแท๊กซี่เองแต่เขาสามีดิฉันเขาก็ไม่ยอม ยืนยันจะไปส่งน้องเขาให้ได้ ดิฉันก็เลยต้องปล่อยไป ดิฉันไม่อยากมีปัญหา ไม่อยากให้ลูกเป็นเด็กกำพร้าก็เลยเงียบไปไม่ซักถามอะไรอีก แต่คราวนี้เหตุการณ์ยิ่งเลวร้ายลง เขากลับบ้านดึกมากขึ้น บางคืนถึงขั้นไม่กลับก็มี บางครั้งกลับมาดึก ๆ แล้วก็อาบน้ำออกไป หายไปเลยก็มี ถามก็ไม่ได้หงุดหงิดใส่ดิฉัน ทิ้งดิฉันกับลูกเล็ก ๆ ไว้เพียงลำพัง เขาคงคิดว่าในเมื่อดิฉันเห็นตำตาขนาดนั้นแล้วและดิฉันยังทนที่จะอยู่กับเขา เขาก็คงคิดว่าดิฉันเป็นของตาย ไม่แคร์ คราวนี้เขาจะทำอะไรเขาไม่เคยเกรงใจดิฉันเลย พ่อของแฟนพอดิฉันโทรไประบายเขาก็หาว่าดิฉ้นคิดมาก ลูกเขาไม่ได้เป็นอย่างที่ดิฉันคิดหรอก ดิฉันก็เลยต้องทนมาเรื่อย ๆ ช่วงที่เขาหายไปดิฉันร้องไห้แทบทุกวันมองเห็นหน้าลูกแล้วก็สงสาร น้ำตามันก็จะไหลมาเอง ในใจคิดแต่ว่าทำไม ทำไม ทำไม ลูกก็ยังเล็กนักช่วงน้นดิฉันยังเลี้ยงลูกเองอยู่เพราะว่าลาคลอดได้ 3 เดือน พอครบกำหนดลาคลอดดิฉันต้องกลับไปทำงาน ก็เลยเอาลูกไปให้แม่ดิฉันเองเอาไปเลี้ยง ดิฉันก็ไปทำงานส่วนสามีก็หายไปกลับบ้างไม่กลับบ้าง จนมาวันหนึ่งเขาหายไปหลายวันดิฉันหมดความอดทนอยากรู้จะอยู่กันอย่างไร พอเขามาดิฉันขอร้องให้เขาเลิกทำตัวแบบนี้เขาบอกเขาเลิกไม่ได้ ดิฉันบอกต้องให้ดิฉันทำอย่างไร เขาบอกไม่ต้องอยู่เฉย ๆ อย่างนี้แหละดิฉันจึงถามต่อว่าเขาต้องการอะไรที่ทำแบบนี้ เขาบอกว่า...เขาอยากแยกกันอยู่กับดิฉัน ดิฉันเลยย้อนถามว่าแยกกันอยู่มันก็เหมือนกับเลิกกันนั่นแหละ เขาตอบกลับมาว่าใช่ ดิฉันอึ้งเลยค่ะไม่เคยคิดว่าจะได้ยินสิ่งนี้ น้ำตาไหลเลยแต่พยายามตั้งสติ เลยถามเขาต่อว่าถ้าเลิกกันจะให้อะไรดิฉันบ้าง เนื่องจากมีบ้านกับรถที่ซื้อหลังจากที่เราแต่งงานและจดทะเบียนสมรสกัน และลูกจะเอายังไง เขาบอกว่าลูกเขาจะเอาไปแต่ดิฉันบอกให้ไม่ได้ เขาบอกว่าถ้าดิฉันเลี้ยงเขาจะไม่รับผิดชอบอะไรเกี่ยวกับลูกเลย ดิฉันก็เลยงงว่าทำไมเขาบอกว่าในเมื่ออยากได้ก็ต้องเอาไปรับผิดชอบเอง ดิฉันก็เลยบอกว่าก็ได้ ส่วนบ้านดิฉันบอกเขาเองเลยว่าขอ เพราะมีลูกอยากให้ลูกได้อยู่เขาบอกไม่ได้บ้านจะให้คนอื่นเช่าแล้วเอาเงินค่าเช่ามาแบ่งกัน ส่วนรถเขาจะเอา ดิฉันก็งงว่าทำไมเขาใจร้ายขนาดนี้
เลยเกิดการเถียงกัน ดิฉันบอกว่าถ้าดิฉันไม่ได้อะไรเลย เขาก็จะไม่เหลืออะไรเหมือนกันแม้นกระทั่งหน้าที่การงาน หลังจากที่ดิฉันพูดจบเขาได้เข้ามาทำร้ายร่างกายดิฉันเลยค่ะ แต่เจ็บไม่มากหรอก เสร็จแล้วเขาก็ออกจากบ้านไป แล้วก็หายไปเลยดิฉันก็เลยไปทำงานตามปกติ จริงๆไม่มีกะจิตกะใจจะไปทำหรอกค่ะงาน แต่ถ้าไม่ทำงานจะเอาเงินที่ไหนมาเลี้ยงลูก จะมานั่งเศร้าอย่างเดียวก็ไม่ได้ลูกยังต้องกินนม ก็เลยกล้ำกลืนไปทำงานตั้งสติเอา อยู่มาวันหนึ่งเพื่อนบ้านโทรศัพท์ไปบอกว่าแฟนเก่า พ่อแฟน และอาของแฟน เอารถกะบะมาขนพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านที่ดิฉันอยู่ไปพวก ตู้เย็น พัดลม เครื่องเสียง ่คอมฯ และของใช้ของเขาดิฉันกลับบ้านมาบ้านโล่งมากเลยค่ะ ดิฉันโทรไปถามเขาบอกว่าเขาขอ ดิฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรมากแค่บอกว่าอย่างทำแบบนี้อีกอยากได้อะไรต้องโทรมาบอกก่อน ตอนนั้นดิฉันยังไม่ได้เปลี่ยนกุญแจบ้านที เขาเลยไขเข้ามาขนของไปเองได้ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เพิ่งแยกกันอยู่ใหม่ ๆ ความรู้สึกเราก็เหมือนกับว่ายังรักเขาอยู่ เรายังตัดเขาไม่ขาดก็เลยไม่ได้ว่าอะไรไปมาก แต่หลังจากนั้นก็เปลี่ยนกุญแจบ้าน แล้วเหตุการณ์ที่ทำให้ดิฉันต้องตัดสินใจหย่าก็เกิดขึ้น มีวันหนึ่งเพื่อนบ้านอีกแหละโทรไปบอกดิฉันขณะทำงานอยู่ว่าให้รีบกลับมาบ้าน แฟนของดิฉันตัดกุญแจเข้าไปงัดแอร์ซึ่งอยุ่ในห้องนอนข้างบนบ้านดิฉันไปแล้ว ดิฉันกลับมาเจอสภาพ ประตูถูกตัดตรงตัวโค้งเล็ก ๆ ที่ไว้สำหรับคล้องลูกกุญแจล๊อค นั่นแหละค่ะเขาตัดเหล็กบางๆตรงนั้น เพราะลูกกุญแจเขาตัดไม่ได้ ตัดมางัดเอาแอร์ไป รปภ. หมู่บ้านบอกว่าผมห้ามเขาแล้วแต่พี่ผู้ชายเขาไม่ฟัง เขาบอกว่าบ้านเขาเหมือนกัน เหตุการณ์ในครั้งนี้เลยทำให้ดิฉันตัดสินใจหย่าไม่รอเวลาที่เขาจะกลับมาคืนดีแล้ว ไม่หวังแล้ว เลยโทรไปหาเขา ซึ่งก่อนหน้านี้เขาก็โทรมาขอให้หย่าให้อยุ่เรื่อย ๆ แต่ดิฉันก็ปฏิเสธไปเนื่องจากคุยกัน เวลาถามถึงค่าเลี้ยงดูลูกถ้าเลิกกันเขาบอกจะไม่ให้ ยังไงก็ยืนยันจะไม่ให้ แต่พอเจอเหตุการณ์ตัดประตูเขามางัดแอร์ดิฉันคิดว่ายอมหย่าดีกว่า ค่าเลี้ยงดูไม่ได้ก็ไม่เอา ลูกของเรา เรารัก เราเลี้ยงเองก็ได้ จึงโทรไปนัดให้เขามาบอกว่าจะหย่าให้ เขาก็กำหนดวันมา พอถึงวันหย่าไปถึงที่อำเภอ
ดิฉันไปก่อนก็เข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่ของ เขาก็ซักถามว่าเต็มใจไหม หย่าเพราะอะไร ทรัพย์สินมีป่าว มีบุตรไหม ดิฉันตอบว่าบุตรมีค่ะ นายอำเภอก็ถามว่าได้ตกลงเรื่องค่าเลี้ยงดูบุตรมากันหรือยังว่าเขาฝ่ายสามีจะส่งให้เท่าไหร่ ดิฉันตอบว่าขอแล้วแต่เขายืนยันจะไม่ให้ นายอำเภอท่านก็เลยบอกว่าเดี๋ยวถ้าเขามาตอนหย่า จะถามให้อีกทีนะ พอเขามาถึงก็เขาไปหย่ากัน ฝ่ายเขาเอาน้องชายมาเป็นพยานในการหย่า ดิฉันพาเพื่อนผู้หญิงไปเป็นพยานในการหย่า
หลังจากหย่าจะมีใบเอกสารการแบ่งทรัพย์สินแนบมาด้วย ส่วนเรื่องค่าเลี้ยงดูบุตรนายอำเภอถามให้เขาตอบว่าไม่ขอระบุถ้ามีแล้วจะให้เอง ดิฉันก็โอเครเพราะว่าถ้า่ไม่หย่าเกิดวันไหนเขายังใช้สิทธิ์เจ้าของบ้านหลังนี้แล้วเขามาทำลายดิฉันหรือมางัดอะไรไปอีก ดิฉันก็ต้องปล่อยเพราะเขาก็ยังมีสิทธิ์ บทสรุปหลังจากที่เราไปหย่ากัน ณ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547
ทรัพย์สินที่สร้างหลังจากแต่งงาน จดทะเบียนสมรสมี
- รถยนต์ 2 คันเป็นของพวกเราเองหนึ่งคัน ส่วนอีกหนึ่งคันเป็นเงินของพ่อดิฉันดาวน์เองและส่งเองแต่อาศัยชื่อสามี เนื่องจากพ่อของดิฉันแกรับเหมาไม่มีเอกสารใดๆ จะไปยื่นเรื่องกับไฟแนนซ์ได้
- บ้านหนึ่งหลังที่อาศัยอยู่ซึ่งยังคงต้องผ่อนเป็นเวลาอีก 25 ปีนับจากวันที่ไปเซ็นหย่ากัน
- บุตรชาย 1 คน
พอไปจดทะเบียนหย่าที่อำเภอก็ได้ออกใบบันทึกหลังการหย่ามาให้ มีข้อความดังนี้
1. ทั้งคู่หย่ากันด้วยความสมัครใจ ดังได้นำหนังสือสัญญาการหย่า มาแสดงและได้แนบติดพร้อมบันทึกนี้แล้ว
2. คู่หย่าได้แต่งงานอยู่กินกันเป็นเวลา 3 ปี มีบุตรเป็นจำนวน 1 คน ชื่อ ด.ช....................................อายุ 10 เดือน ฝ่ายชายยินยอมให้บุตรอยู่ในอำนาจปกครองของฝ่ายหญิง
3. มีทรัพย์สิน ได้แก่ บ้านพร้อมที่ดินเลขที่...........................................ระบุเลขที่บ้านครบทุกอย่าง เป็นกรรมสิทธิ์ของฝ่ายหญิง, รถยนต์ยี่ห้อ.....ทะเบียน....เป็นกรรมสิทธิ์ของฝ่ายชาย, รถยนต์ยี่ห้อ...ทะเบียน...เป็นกรรมสิทธิ์ของฝ่ายหญิง
4. เรื่องค่าเลี้ยงดูไม่ได้
@@@ปัญหาของดิฉันก็คือนับจากวันที่หย่าจนถึงณ วันนี้ บ้านที่อาศัยอยู่นี้ดิฉันผ่อนแต่เพียงผู้เดียว โดยที่ฝ่ายชายพอเลิกแล้วก็ไม่เคยจะมาสนใจเขาก็ได้ไปมีครอบครัวใหม่มีลูกกับภรรยาใหม่ บุตรที่เกิดกับดิฉันก็ไม่เคยส่งเสียเลี้ยงดูใด ๆเลย แต่เอกสารการผ่อนบ้านที่ทำไว้กับทางธนาคารดิฉันยังไม่ได้ไปเปลียนหลังจากที่หย่า เนื่องจาก ณ ขณะนั้นดิฉ้นมีเงินเดือนน้อย เงินเดือนนะตอนนั้นแค่ 7000 กว่าบาทเอง แต่พอมาณ ตอนนี้ผ่านมาเป็นหลายปีแล้วเงินเดือนดิฉันก็ปรับขึ้นทำให้ดิฉันอยากจะไปกูบ้านคนเดียว โดยเอาชื่อเขาออกแต่ทางแบงค์บอกว่าต้องให้เขาเซ็นด้วยเนื่องจากในเอกสารกู้ซื้อบ้าน
เขาเป็นผู้กู้หลัก ดิฉันเป็นผู้กู้รอง แล้วในโฉนดก็มีชื่อเขา พอทางแบงค์แจ้งมาดิฉันก็เลยพยายามหาทางติดต่อเขาจนได้เบอร์โทรและโทรไปหาเขาให้ช่วยมาเซ็นเรื่องบ้านให้หน่อย เขาจะเอาเงินค่าเซ็น 100000 บาท ดิฉันบอกไม่มีเนื่องจากตัวคนเดียวต้องเลี้ยงลูกและส่งบ้านด้วย ไม่ได้มีเงินเยอะ เขาก็ไม่ยอมเซ็นให้ ขอให้เห็นแก่ลูกเขาก็ไม่ยอม จะเอาเงินอย่างเดียว ตอนแรกดิฉันไม่คิดว่าจะมีปัญหาเลยส่งค่างวดบ้านมาเรื่อ่ย ๆเพราะคิดว่าในใบหย่าเขาระบุให้เราไว้แล้ววันข้างหน้าคงไม่มีปัญหาอะไร แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นอย่างที่คิด ดิฉันเลยไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรได้บ้างค่ะ อยากรบกวนเพื่อนๆ ที่พอจะรู้เรื่องช่วยแนะนำหน่อยค่ะ ดิฉันไม่ทราบว่าจะปรึกษาใครได้บ้างเนื่องจาก พ่อแม่ก็เป็นคนต่างจังหวัด ปรึกษาแกก็ไม่รู้เรื่องแบบนี้ค่ะ รบกวนเพื่อน ๆในพันทิพนี้หน่อยนะคะ ขอบคุณค่ะ
ู