สวัสดีครับเพื่อนๆชาว Pantip ทุกท่าน
ก่อนอื่นผมขอแนะนำตัวก่อนนะครับ ผมชื่อหนึ่ง อายุ 41 ปี แต่งงานแล้วครับ และลูกสาวอายุ 14 ปี เรียน ม.2 ที่โรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย แถวๆเจริญกรุง บ้านผมอยู่แถวพระราม3 ผมเรียนจบทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ จาก สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เริ่มทำงานเป็นวิศวกรในบริษัทสื่อสารสมัยตั้งแต่ระบบมือถือยังเป็นอนาล็อกระบบ 800/900 โทรเข้า โทรออก เสียตังค์หมด โทรกลับบ้านที่อุดรฯ นาทีละ 12 บาท โทรศัพท์เครื่องนึง 4-5 หมื่นบาท เริ่มทำงานเงินเดือน 16,500 บาท จนตำแหน่งสุดท้ายคือ ผู้จัดการทั่วไปอาวุโส (Senior General Manager) ในบริษัทชื่อดังแห่งหนึ่ง ที่มีรายได้หลายหมื่นล้านต่อปี เงินเดือนสุดท้ายก็แสนกว่าบาทครับ มีรถประจำตำแหน่ง ค่าน้ำมัน ค่าทางด่วน ค่าบำรุงรักษา เบิกได้หมด ค่าโทรศัพท์ ก็เบิกได้ มีประกันสุขภาพ รักษาได้ทั้งครอบครัว โบนัสขั้นต่ำ 6 เดือน (ว้าว!!!) ......สำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆแล้ว ก็ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว ใช่มั๊ยครับ..............
แต่เมื่อเดือนที่แล้วผมตัดสินใจยื่นใบลาออกครับและวันนี้ (10 ก.ค.57) เป็นวันที่ผมทำงานวันสุดท้าย เพื่อนร่วมงานก็ไปเลี้ยงส่งกัน...เพิ่งกลับมาถึงบ้านครับ 5 ทุ่มพอดี
สาเหตุที่ผมลาออกเหรอครับ...คือผมรู้สึกไม่มีความสุขในการทำงาน เครียดมาก การเมืองเยอะแยะไปหมด สุขภาพเริ่มมีปัญหา อารมณ์หงุดหงิดตลอดเวลา จนกระทบไปถึงครอบครัว คิดทบทวนอยู่ 2-3 เดือน ก็เลยลาออกดีกว่า และคิดไว้แล้วว่าการลาออกจากงานครั้งนี้จะเป็นการลาออกครั้งสุดท้ายของผม และจะไม่กลับไปเป็นลูกจ้างอีกต่อไป....แต่....ลืมคิดไปว่า แล้ว(กรู) จะทำอะไรต่อไปวะเนี่ย หนี้สินก็เหลือบ้านอีกหลังนึง ติดแบงค์เค้าอยู่อีกประมาณล้านกว่าบาท ลูกก็กำลังเป็นสาว ค่าใช้จ่ายเยอะน่าดู...พลาดละสิ...ทีนี้...ไม่เป็นไร คุณภรรยายังพอมีรายได้จากการขายเสื้อผ้าอยู่ เดือนนึงก็ 3-4 หมื่น น่าจะพอถูไถ เงินสดที่เก็บมานานก็เพิ่งเอาไปโปะรถ 2 คัน เงินส่วนตัวผมเอง เหลืออยู่ 3 หมื่นกว่าบาท...เอาวะ! ยังไงก็ต้องรอด อย่าไปเครียดมัน เดี๋ยวสมองไม่แล่น คิดอะไรไม่ออกจะยุ่งหนักเข้าไปอีก
จำได้ว่าเคยอ่านหนังสืออยู่เล่มนึงของ คุณวิสูตร แสงอรุณเลิศ ชื่อว่า งานไม่ประจำ ทำเงินกว่า ตอนที่อ่านเพราะว่าเป็นหนังสือ Best Seller แล้วเราเป็นคนชอบอ่านหนังสือก็เลยต้องอ่านซักหน่อยเดี๋ยวจะเชย....ไม่ได้คิดอะไร อ่านเสร็จแล้วก็เอาเก็บขึ้นชั้น คืนนี้ คงต้องเอามาปัดฝุ่นแล้วก็อ่านอย่างจริงจังซะแล้ว......
ว่าแล้วก็ไปเอามาจากชั้นเตรียมอ่านคืนนี้....แต่ตามทฤษฎีบอกว่าให้เราเขียนสิ่งที่เราชอบ และสิ่งที่เราคิดว่าเป็นความสามารถพิเศษของเราลงในกระดาษ แล้วคิดดูว่าแต่ละอย่างสามารถนำมาเป็นอาชีพได้ยังไงบ้าง ....เคร..ลองดู
1. ชอบพระเครื่อง
2. ชอบถ่ายรูป
3. ชอบขับรถ
4. ชอบสอนและให้ความรู้ผู้คน
5. ชอบอ่านหนังสือ
6. ชอบชิมอาหาร ร้านที่เค้าบอกว่าอร่อยกัน
อะไรอีกหว่า ??? คิดได้เท่านี้ เอาท่านี้ก่อนละกัน
มาลองวิเคราะห์ทีละอย่าง
1. ชอบพระเครื่อง ก็ต้อง ปล่อยเช่า / รับเช่า เราอาจจะเป็น “หนึ่ง ท่าพระจันทร์” คู่แข่งคนสำคัญของ “บอย ท่าพระจันทร์”…..ก็ได้นะ ฮา ฮา ฮา ....เอ่อ..แต่เรายังดูพระไม่แม่นเลย เดี๋ยพรุ่งนี้ เอาพระทั้งหมดที่เรามีมาทำความสะอาด ส่องเล่นดีกว่า เก็บอย่างเดียว ไม่เคยดูเลยและที่สำคัญจำไม่ได้ละว่ามีอะไรบ้าง แล้วราคาเช่าหา เดี๋ยวนี้ไปถึงไหนแล้ว
2. ชอบถ่ายรูป ก็ต้องไปเป็นตากล้องอิสระ …อันนี้คงต้องเป็นทางเลือกท้ายๆ เพราะอุปกรณ์แพงโฮก..ของเรายังเป็นมือสมัครเล่น... Entry อยู่เลย
3. ชอบขับรถ เอ่อ...ทำไรได้หว่า...อ่อๆๆ ...เด็ดเลย...ขับแท็กซี่…เดี๋ยวพรุงนี้จะศึกษาว่าต้องทำยังไงบ้าง แต่ที่แน่ๆ มันต้องไปทำใบขับขี่ของแท็กซี่ หรือที่เค้าเรียกว่า ใบขับขี่สาธารณะ……. ค่อยว่ากันนะครับ
4. ชอบสอนและให้ความรู้ ก็ต้องไปเป็นติวเตอร์ หรือวิทยากรบรรยาย หรือ ไปเป็นอาจารย์พิเศษ อะไรประมาณนั้น
5. ชอบอ่านหนังสือ ก็ต้องเปิดร้านขายหนังสือ / เป็นนักเขียน อิสระ
6. ชอบชิมอาหาร อันนี้คิดไม่ออกจริงๆว่าทำอะไรได้มั่ง
ทีนี้คิวต่อไป คงต้องมาดูฝั่งรายจ่ายบ้าง ว่าเดือนนึง จ่ายอะไรบ้าง ไม่เคยรู้เลยว่ามีอะไรบ้าง เรามีหน้าที่เอาตังค์ให้ภรรยา แล้วเค้าก็ไปดำเนินการต่อ
คิดแป๊บ................โอ้ว เดือนนึงประมาณสามหมื่นกว่าบาท
พระเจ้า!!! วันนึงต้องหาตังค์ให้ได้พันกว่าบาทถึงจะรอด เงินสดมีสามหมื่นกว่า อยู่ได้เดือนเดียว ตาย ตาย ตาย คิด คิด คิด
เครียดกว่าตอนทำงาน อีกนะเนี่ย.....
ไม่เป็นไร ยังไงก็ต้องรอด แต่สรุปก่อนว่าจะทำไรมั่ง
1. คืนนี้ อ่านหนังสือ
2. พรุ่งนี้เอาพระ มาดู จัดทำรายการ เช็คมูลค่าทางอินเตอร์เน็ต
3. เช็ดว่า ขับแท็กซี่ต้องทำอะไรบ้าง
แค่นี้ก็น่าจะหมดวันแล้วมั่งเนี่ย งั้นวันนี้เอาไว้เท่านี้ก่อนละกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้ มาอัพเดทต่อ
งานไม่ประจำ ทำเงินได้จริงเหรอ ???
ก่อนอื่นผมขอแนะนำตัวก่อนนะครับ ผมชื่อหนึ่ง อายุ 41 ปี แต่งงานแล้วครับ และลูกสาวอายุ 14 ปี เรียน ม.2 ที่โรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย แถวๆเจริญกรุง บ้านผมอยู่แถวพระราม3 ผมเรียนจบทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ จาก สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เริ่มทำงานเป็นวิศวกรในบริษัทสื่อสารสมัยตั้งแต่ระบบมือถือยังเป็นอนาล็อกระบบ 800/900 โทรเข้า โทรออก เสียตังค์หมด โทรกลับบ้านที่อุดรฯ นาทีละ 12 บาท โทรศัพท์เครื่องนึง 4-5 หมื่นบาท เริ่มทำงานเงินเดือน 16,500 บาท จนตำแหน่งสุดท้ายคือ ผู้จัดการทั่วไปอาวุโส (Senior General Manager) ในบริษัทชื่อดังแห่งหนึ่ง ที่มีรายได้หลายหมื่นล้านต่อปี เงินเดือนสุดท้ายก็แสนกว่าบาทครับ มีรถประจำตำแหน่ง ค่าน้ำมัน ค่าทางด่วน ค่าบำรุงรักษา เบิกได้หมด ค่าโทรศัพท์ ก็เบิกได้ มีประกันสุขภาพ รักษาได้ทั้งครอบครัว โบนัสขั้นต่ำ 6 เดือน (ว้าว!!!) ......สำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆแล้ว ก็ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว ใช่มั๊ยครับ..............
แต่เมื่อเดือนที่แล้วผมตัดสินใจยื่นใบลาออกครับและวันนี้ (10 ก.ค.57) เป็นวันที่ผมทำงานวันสุดท้าย เพื่อนร่วมงานก็ไปเลี้ยงส่งกัน...เพิ่งกลับมาถึงบ้านครับ 5 ทุ่มพอดี
สาเหตุที่ผมลาออกเหรอครับ...คือผมรู้สึกไม่มีความสุขในการทำงาน เครียดมาก การเมืองเยอะแยะไปหมด สุขภาพเริ่มมีปัญหา อารมณ์หงุดหงิดตลอดเวลา จนกระทบไปถึงครอบครัว คิดทบทวนอยู่ 2-3 เดือน ก็เลยลาออกดีกว่า และคิดไว้แล้วว่าการลาออกจากงานครั้งนี้จะเป็นการลาออกครั้งสุดท้ายของผม และจะไม่กลับไปเป็นลูกจ้างอีกต่อไป....แต่....ลืมคิดไปว่า แล้ว(กรู) จะทำอะไรต่อไปวะเนี่ย หนี้สินก็เหลือบ้านอีกหลังนึง ติดแบงค์เค้าอยู่อีกประมาณล้านกว่าบาท ลูกก็กำลังเป็นสาว ค่าใช้จ่ายเยอะน่าดู...พลาดละสิ...ทีนี้...ไม่เป็นไร คุณภรรยายังพอมีรายได้จากการขายเสื้อผ้าอยู่ เดือนนึงก็ 3-4 หมื่น น่าจะพอถูไถ เงินสดที่เก็บมานานก็เพิ่งเอาไปโปะรถ 2 คัน เงินส่วนตัวผมเอง เหลืออยู่ 3 หมื่นกว่าบาท...เอาวะ! ยังไงก็ต้องรอด อย่าไปเครียดมัน เดี๋ยวสมองไม่แล่น คิดอะไรไม่ออกจะยุ่งหนักเข้าไปอีก
จำได้ว่าเคยอ่านหนังสืออยู่เล่มนึงของ คุณวิสูตร แสงอรุณเลิศ ชื่อว่า งานไม่ประจำ ทำเงินกว่า ตอนที่อ่านเพราะว่าเป็นหนังสือ Best Seller แล้วเราเป็นคนชอบอ่านหนังสือก็เลยต้องอ่านซักหน่อยเดี๋ยวจะเชย....ไม่ได้คิดอะไร อ่านเสร็จแล้วก็เอาเก็บขึ้นชั้น คืนนี้ คงต้องเอามาปัดฝุ่นแล้วก็อ่านอย่างจริงจังซะแล้ว......
ว่าแล้วก็ไปเอามาจากชั้นเตรียมอ่านคืนนี้....แต่ตามทฤษฎีบอกว่าให้เราเขียนสิ่งที่เราชอบ และสิ่งที่เราคิดว่าเป็นความสามารถพิเศษของเราลงในกระดาษ แล้วคิดดูว่าแต่ละอย่างสามารถนำมาเป็นอาชีพได้ยังไงบ้าง ....เคร..ลองดู
1. ชอบพระเครื่อง
2. ชอบถ่ายรูป
3. ชอบขับรถ
4. ชอบสอนและให้ความรู้ผู้คน
5. ชอบอ่านหนังสือ
6. ชอบชิมอาหาร ร้านที่เค้าบอกว่าอร่อยกัน
อะไรอีกหว่า ??? คิดได้เท่านี้ เอาท่านี้ก่อนละกัน
มาลองวิเคราะห์ทีละอย่าง
1. ชอบพระเครื่อง ก็ต้อง ปล่อยเช่า / รับเช่า เราอาจจะเป็น “หนึ่ง ท่าพระจันทร์” คู่แข่งคนสำคัญของ “บอย ท่าพระจันทร์”…..ก็ได้นะ ฮา ฮา ฮา ....เอ่อ..แต่เรายังดูพระไม่แม่นเลย เดี๋ยพรุ่งนี้ เอาพระทั้งหมดที่เรามีมาทำความสะอาด ส่องเล่นดีกว่า เก็บอย่างเดียว ไม่เคยดูเลยและที่สำคัญจำไม่ได้ละว่ามีอะไรบ้าง แล้วราคาเช่าหา เดี๋ยวนี้ไปถึงไหนแล้ว
2. ชอบถ่ายรูป ก็ต้องไปเป็นตากล้องอิสระ …อันนี้คงต้องเป็นทางเลือกท้ายๆ เพราะอุปกรณ์แพงโฮก..ของเรายังเป็นมือสมัครเล่น... Entry อยู่เลย
3. ชอบขับรถ เอ่อ...ทำไรได้หว่า...อ่อๆๆ ...เด็ดเลย...ขับแท็กซี่…เดี๋ยวพรุงนี้จะศึกษาว่าต้องทำยังไงบ้าง แต่ที่แน่ๆ มันต้องไปทำใบขับขี่ของแท็กซี่ หรือที่เค้าเรียกว่า ใบขับขี่สาธารณะ……. ค่อยว่ากันนะครับ
4. ชอบสอนและให้ความรู้ ก็ต้องไปเป็นติวเตอร์ หรือวิทยากรบรรยาย หรือ ไปเป็นอาจารย์พิเศษ อะไรประมาณนั้น
5. ชอบอ่านหนังสือ ก็ต้องเปิดร้านขายหนังสือ / เป็นนักเขียน อิสระ
6. ชอบชิมอาหาร อันนี้คิดไม่ออกจริงๆว่าทำอะไรได้มั่ง
ทีนี้คิวต่อไป คงต้องมาดูฝั่งรายจ่ายบ้าง ว่าเดือนนึง จ่ายอะไรบ้าง ไม่เคยรู้เลยว่ามีอะไรบ้าง เรามีหน้าที่เอาตังค์ให้ภรรยา แล้วเค้าก็ไปดำเนินการต่อ
คิดแป๊บ................โอ้ว เดือนนึงประมาณสามหมื่นกว่าบาท
พระเจ้า!!! วันนึงต้องหาตังค์ให้ได้พันกว่าบาทถึงจะรอด เงินสดมีสามหมื่นกว่า อยู่ได้เดือนเดียว ตาย ตาย ตาย คิด คิด คิด เครียดกว่าตอนทำงาน อีกนะเนี่ย.....
ไม่เป็นไร ยังไงก็ต้องรอด แต่สรุปก่อนว่าจะทำไรมั่ง
1. คืนนี้ อ่านหนังสือ
2. พรุ่งนี้เอาพระ มาดู จัดทำรายการ เช็คมูลค่าทางอินเตอร์เน็ต
3. เช็ดว่า ขับแท็กซี่ต้องทำอะไรบ้าง
แค่นี้ก็น่าจะหมดวันแล้วมั่งเนี่ย งั้นวันนี้เอาไว้เท่านี้ก่อนละกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้ มาอัพเดทต่อ