หลังประตูห้องเรียนพิเศษ...ลูกคุณทำอะไรอยู่????

เรื่องจริงที่คุณอาจไม่รู้ หลังประตูห้องเรียนพิเศษ...ลูกของคุณกำลังทำอะไรอยู่???

              จากประสบการณ์ มันคือเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับลูกของดิฉัน หลังจากที่ได้ส่งลูกเข้าห้องเรียนเพื่อเรียนพิเศษ ณ สถาบันแห่งหนึ่งในห้างดังของจังหวัดขอนแก่น

             หลังจากจ่ายเงินคอร์สเรียนพิเศษที่สอง เพราะหมดคอร์สแรกซึ่งได้ถามความสมัครใจของลูกชายว่า เขาอยากเรียนต่อไหม  ลูกชายตอบว่า...

“ครับแม่ ผมเรียนหนึ่งชั่วโมงเหมือนเดิมนะครับ”

          ฉันจึงจ่ายเงินไปโดยไม่ลังเล และถามชุดการเรียนของคอร์สที่สองกับน้องอยู่หน้าเคาน์เตอร์ที่ออกใบเสร็จให้  เธอบอกว่าแบบเรียนชุดแรกยังไม่หมด ต้องเรียนแบบเรียนชุดเดิมไปก่อน แต่ลูกของดิฉันไม่ได้เอามาเพราะคิดว่าจบคอร์สแรกจะได้แบบเรียนใหม่ตามที่ได้คุยกันไว้ก่อนหน้านี้  น้องผู้หญิงที่อยู่หน้าเคาน์เตอร์บอกว่าจะถ่ายเอกสารให้เรียนวันนี้ก่อน  คุณแม่ก็โล่งใจและเห็นด้วย ส่งลูกเข้าห้องเรียนตามปกติ  และบอกน้องหน้าเคาน์เตอร์ว่าจะมารับน้องอีก 1 ชั่วโมง  เพราะตกลงเรียนตั้งแต่คอร์สแรกว่าเรียนคณิตศาสตร์แค่ 1 ชั่วโมงก็พอเพราะถ้ามากไปเด็กจะเบื่อ  ส่วนคุณแม่กับคุณพ่อพากันไปทำธุระจ่ายบิลจิปาถะในห้างดัง ซึ่งวันนั้นเป็นวันอาทิตย์
              เมื่อถึงเวลามารับลูกชาย ฉันจึงให้ลูกสาวเข้าไปถามในสถาบันเรียนพิเศษนี้ว่า “น้องชายหนูเรียนเสร็จหรือยังคะ?” (เขาจำลูกชายดิฉันได้) พนักงานจึงถามกลับมาว่า “เรียนกี่ชั่วโมงคะ?” ลูกสาวตอบว่า “หนึ่งชั่วโมงค่ะ” แล้วพนักงานก็เดินเข้าไปในห้องสักพักแล้วเดินกลับมาบอกว่า “ใกล้เรียนเสร็จแล้วค่ะ” ดิฉันและสามีจึงนั่งรออยู่ประมาณ 30 นาทีลูกชายก็ยังไม่ออกมาจึงเข้าไปดูในห้องเรียน เมื่อเลื่อนเปิดประตูเข้าไป พบลูกชายนั่งขัดสมาธิเอาฮูดปิดหัวก้มหน้าร้องไห้อยู่หน้าประตูห้องเรียนคนเดียว หัวใจของฉันเย็นวูบหล่นลงไปที่ตาตุ่ม [ในใจคิดว่าลูกฉันมานั่งก้มหน้าร้องไห้อยู่ที่นี่ทำไม?  เพราะอะไร?]  ในขณะที่นักเรียนคนอื่นนั่งเรียนเป็นวงกลม 7-8 คน มีครูพี่เลี้ยงผู้ชายหนึ่งคนนั่งสอนหนังสือให้นักเรียนอยู่ จึงถามครูพี่เลี้ยงว่า  ”น้องเป็นอะไรคะ”  ฉันพยายามคุมไม่ให้เสียงสั่น ตอนนั้นวิตกกังวลมาก ครูพี่เลี้ยงตอบว่า

”น้องไม่อยากเรียน”

          ดิฉันจึงแปลกใจ ลูกชายมาเรียนด้วยความสมัครใจ ไม่ได้บังคับหรือรบเร้า จึงถามลูกชายว่า “น้องเป็นอะไรครับ” มีเพียงเสียงสะอื้นแทนคำตอบ (ดิฉันปวดใจมาก) จึงพาลูกออกมาให้หยุดสะอื้นค่อยสอบถามอีกทีได้ความว่า ในขณะที่เรียนทำแบบเรียนคณิต น้องไม่มีสมาธิ “เด็กข้างๆ เคาะโต๊ะผม เดินไปมาไม่ยอมเรียนไม่เขียนอะไรสักอย่าง เค้าเรียนอยู่ชั้น ป.2”  “ผมบอกให้หยุดเคาะ เพราะผมไม่มีสมาธิ” เค้าก็ไม่หยุด ครูพี่เลี้ยงบอกเค้าก็ไม่หยุด และทำต่อเหมือนยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ  ต่อมาพี่ผู้หญิงเข้ามาบอกว่าให้ผมเรียนต่ออีก 1 ชั่วโมง ผมจะเรียนต่อไปไงเพราะมันไม่มีสมาธิ!!!....ดิฉันจึงถามน้องว่า “นั่งร้องไห้อยู่หน้าประตูนานเท่าไหร่” ลูกชายบอกว่า “หลังจากแม่ออกไป 50 นาที ผมทำแบบเรียนได้แค่ 3 ข้อ”  จึงถามครูพี่เลี้ยงว่า “น้องไม่อยากเรียนทำไมไม่ไปบอกคุณแม่ ทำไมให้น้องนั่งร้องไห้อยู่หน้าประตูคนเดียว” ครูพี่เลี้ยงบอกว่า "ผมอยู่คนเดียว และนึกว่าน้องผู้หญิงหน้าเคาน์เตอร์ไปบอกแล้ว เพราะเข้ามาเห็นน้องร้องไห้เหมือนกัน” ดิฉันได้คำตอบแล้วอึ้งมากค่ะ ดิฉันจึงถามครูพี่เลี้ยงว่า "ทำไมลูกชายดิฉันได้เรียนกับเด็กชั้น ป.2-3 คะ แล้วเด็กชั้น ป.4-5 ที่เคยเรียนด้วยกันคอร์สแรกไปไหนหมดคะ"  ครูพี่เลี้ยงตอบว่า  "ไม่มีครับ มีแต่ชั้น ป.2 -3 และลูกชายดิฉัน”  
          ถ้าดิฉันไม่เอะใจเข้าไปดู  ลูกชายดิฉันคงนั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้นไปอีกนานแค่ไหน [นี่หรือสถานบันเรียนพิเศษมีชื่อเสียง ชื่อเป็นร้านหนังสือดัง ซึ่งดิฉันเองก็มีบัตรสมาชิกร้านหนังสือแห่งนี้เหมือนกัน]
              เพราะฉะนั้น ก่อนจะส่งลูกไปเรียนพิเศษ ต้องดูสถาบัน และที่สำคัญที่สุด ต้องดูคนที่จะรับช่วงต่อดูแลลูกเราในช่วงเวลาแค่ชั่วโมงหรือสองชั่วโมง ว่าเค้าสนใจ ใส่ใจ  จริงใจกับเด็กๆ ที่เค้ารับดูแลหรือไม่?  แต่เหตุการณ์ของดิฉัน เขาคงคิดว่า “ไม่ใช่ลูกกรู” เรียนได้เรียนไปถ้าไม่อยากเรียนก็ไม่เป็นไร ดิฉันเสียเงินค่าคอร์สไปไม่ปวดใจเท่าเห็นลูกนั่งร้องไห้  ถ้าเป็นคุณ...คุณจะทำอย่างไร?  เห็นลูกร้องไห้โดยเค้าไม่สนใจอย่างลูกดิฉันคุณจะรู้สึกอย่างไร? หากว่าคุณเป็นดิฉันคุณจะแก้ไขสถานการณ์นี้อย่างไร?? หลายคนอาจจะร้อนรนใจเหมือนฉัน แต่อาจจะมีสติมากกว่า ขอให้เรื่องราวจากประสบการณ์ของฉันเป็นบทเรียนของผู้ที่อ่านต่อไป อาจจะเป็นเรื่องราวเข้าใจผิดกันเล็กน้อย แต่ดิฉันไม่อยากให้ผู้ปกครองท่านอื่นได้มาเห็นลูกของเขาในสภาพเดียวกับที่ดิฉันเห็นลูกของตัวเอง เพราะฉันเข้าใจความรู้สึกเป็นห่วงลูกราวกับแก้วตาดวงใจ....

              ปกติน้องจะเป็นคนร้องไห้ยาก และฉันเชื่อด้วยหัวใจว่าเขาโตมาจะเป็นคนเข้มแข็ง  “เพราะโตขึ้นผมอยากเป็นทหาร” ประโยคนี้คุณแม่อย่างดิฉันจะหัวเราะทุกครั้ง นี่เป็นฝันของเด็ก ป.5  จึงบอกลูกไปว่า “อยากเป็นทหารต้องเรียนเก่งๆ นะลูก เป็นเด็กฉลาดจะได้เป็นนายทหาร ดูแลลูกน้องและประเทศชาติ” ฉันอยากให้เขาได้รับสิ่งที่ดี เพื่อในอนาคตเขาจะเป็นผู้แบ่งปันสิ่งดีๆ ให้แก่ผู้อื่นในอนาคต...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่