หยิบ
Runaway Bride มาดูเพื่อชาร์จไฟให้ตัวเอง ตามสไตล์ "
เด็กรักหนังที่โตมากับยุค 90" ครับ
ผมว่ายุค 90 เป็นยุคแห่งสูตรสำเร็จ หนังแต่ละเรื่องมักจบลงอย่าง Happy ยิ่งแนวรักๆ นี่จะอุดมไปด้วยมุขตลก และรักอันสวยงามที่ลงเอยด้วยรอยยิ้มและความสุขชั่วนิรันดร์ (ออกแนวเทพนิยายหน่อยๆ)
และคู่ที่คนปลิ้มกันสุดๆ ต้องยกให้
Richard Gere และ
Julia Roberts ที่ดังระเบิดจาก
Pretty Woman ในปี 1990 ซึ่งแฟนๆ ก็อยากเห็น 2 คนนี้มาคู่กันอีกครับ ต้องรอจนปี 1999 นั่นแหละ พวกเขาถึงกลับมาสร้างความฟินให้ผู้ชมอีกครั้ง (โดย
Garry Marshall ตามมากำกับให้อีกรอบ)
รอบแรกที่ผมดูนี่ฟินมากครับ มันมีทุกสิ่งที่สูตรหนังรักต้องมี
+ พระเอกหล่อ-นางเอกสวย
+ เพื่อนพระเอก-นางเอกมีหน้าที่ตบมุขและขโมยซีน
+ ต้องมีตัวละครสูงอายุคอยทำอะไรรั่วๆ ให้เราฮา
+ เพลง Soundtrack จัดเต็ม (กะขายเทปไปในตัว)
+ มุขฮาแทรกทุกๆ 5 นาที
+ ต้องมีประโยค "ฮุค" กระแทกใจ ให้คนดูนำไปใช้
+ จบแบบ Happy Ending ฝุดๆ
สมัยนั้นดูแล้วสุขมากครับ ครั้นมาดูสมัยนี้ก็ยังยิ้มเหมือนคนบ้า ซึ่งผมไม่ปฏิเสธครับว่าหนังมันไม่ได้สมบูรณ์ มันไม่ได้ซึ้งสุดๆ ขนาดนั้น
แล้วทำไมผมยังยิ้มกับมัน?
1. อย่างที่บอกครับ ผมโตมากับหนังสูตรสำเร็จแบบนี้ มันเลยเหมือนกลับไปเยี่ยมเพื่อนเก่า ที่เราไม่สนหรอกครับว่าเพื่อนคนนี้จะมีจุดบกพร่องอะไร ไม่แคร์ด้วยว่าเพื่อนคนนั้นจะเล่นมุขเดิมๆ ที่เล่นมาเป็น 10 ปี
ความสมบูรณ์ไม่สำคัญ เท่ากับ "
ความรู้สึกดีๆ ณ วันนั้น ที่เพื่อน (หนัง) มอบให้เรา"
2. เคยไหมครับที่สมัยวัยรุ่นน่ะ หนังเป็นเหมือน "
ไดอารี่" ของเรา
การดูเรื่องนั้นทำให้นึกถึงเรื่องนี้ นึกถึงเพื่อนที่ไปดูด้วย นึกถึงวีรกรรมที่ทำกันมา นึกถึงคนที่เราแอบชอบและนึกระหว่างดูว่า "
อยากให้เขา/เธอมาดูกับเราจัง"
อาจเพราะวัยรุ่นเป็นช่วงวัยที่ฮอร์โมนเข้มข้น หลายอย่างเลยยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำส่วนลึก
หนังเรื่องนี้ (และอีกหลายเรื่องในยุค 90 คาบมาถึงต้นยุค 2000) สำหรับผมแล้ว มันไม่ได้มีแค่เนื้อเรื่องในหนัง... แต่มันมี Special Features เป็น "
เนื้อเรื่องของชีวิตเรา" แทรกลงไปด้วย
ผมเรียกมันว่า "
Viewer Commentary"
3. หนังเรื่องไหนมี Soundtrack ดังๆ ล่ะเราจะยิ่งจำได้แม่นครับ ยิ่งเพลงเกี่ยวกับความรักนี่ โหย แค่ได้ยินก็จะมี MV เวอร์ชั่นตัดต่อเอง (ในสมองเรา) ผุดขึ้นมา
แล้วเรื่องนี้ก็เหลือเกินครับ แต่ละเพลงอ้ะ ไม่ใช่แค่เพราะ แต่เนื้อหามันทำใจเรา "ระทวย" ได้อีก
อย่าง
Before I Fall In Love ของ
Coco Lee เพลงนี้สุดบาทาครับท่านที่เคารพ คนที่เคยอกหักหรือแอบรักน่าจะคุ้นกับฤทธิ์ของเพลงนี้ดี ตามด้วย
You Sang to Me ของ
Marc Anthony ที่ทำให้นึกไปถึงบรรยากาศยามเย็นที่เราได้เดินเล่นกับใครสักคนที่เราชอบ ณ ตอนนั้น
ยังมี
Blue Eyes Blue, You Can't Hurry Love และ
Never Saw Blue Like That อีก แต่ละเพลงนี่ถ้าใครไม่เคยฟังโปรดหามาฟังนะครับ มันไม่ใช่แค่เพราะ แต่มันยัง "
ขยายความนิยามแห่งรัก" ได้อย่างหลากหลายมุมจริงๆ
4. ประโยคขอแต่งงานที่จี๊ดสุดๆ (คนยุคนั้นจดไปใช้กันเพียบ!)
5. พี่จักรกฤษณ์พากย์คู่กับพี่กรรณิการ์ อะ ไร จะ ฟิน ไป กว่า นี้!
https://www.facebook.com/10000tip/photos/a.117975268233283.11996.117783054919171/805563192807817/?l=87b2531097
หมื่นทิพชวนรำลึก "Runaway Bride (1999) สาวกลัวฝน อลวนทุกวิวาห์"
หยิบ Runaway Bride มาดูเพื่อชาร์จไฟให้ตัวเอง ตามสไตล์ "เด็กรักหนังที่โตมากับยุค 90" ครับ
ผมว่ายุค 90 เป็นยุคแห่งสูตรสำเร็จ หนังแต่ละเรื่องมักจบลงอย่าง Happy ยิ่งแนวรักๆ นี่จะอุดมไปด้วยมุขตลก และรักอันสวยงามที่ลงเอยด้วยรอยยิ้มและความสุขชั่วนิรันดร์ (ออกแนวเทพนิยายหน่อยๆ)
และคู่ที่คนปลิ้มกันสุดๆ ต้องยกให้ Richard Gere และ Julia Roberts ที่ดังระเบิดจาก Pretty Woman ในปี 1990 ซึ่งแฟนๆ ก็อยากเห็น 2 คนนี้มาคู่กันอีกครับ ต้องรอจนปี 1999 นั่นแหละ พวกเขาถึงกลับมาสร้างความฟินให้ผู้ชมอีกครั้ง (โดย Garry Marshall ตามมากำกับให้อีกรอบ)
รอบแรกที่ผมดูนี่ฟินมากครับ มันมีทุกสิ่งที่สูตรหนังรักต้องมี
+ พระเอกหล่อ-นางเอกสวย
+ เพื่อนพระเอก-นางเอกมีหน้าที่ตบมุขและขโมยซีน
+ ต้องมีตัวละครสูงอายุคอยทำอะไรรั่วๆ ให้เราฮา
+ เพลง Soundtrack จัดเต็ม (กะขายเทปไปในตัว)
+ มุขฮาแทรกทุกๆ 5 นาที
+ ต้องมีประโยค "ฮุค" กระแทกใจ ให้คนดูนำไปใช้
+ จบแบบ Happy Ending ฝุดๆ
สมัยนั้นดูแล้วสุขมากครับ ครั้นมาดูสมัยนี้ก็ยังยิ้มเหมือนคนบ้า ซึ่งผมไม่ปฏิเสธครับว่าหนังมันไม่ได้สมบูรณ์ มันไม่ได้ซึ้งสุดๆ ขนาดนั้น
แล้วทำไมผมยังยิ้มกับมัน?
1. อย่างที่บอกครับ ผมโตมากับหนังสูตรสำเร็จแบบนี้ มันเลยเหมือนกลับไปเยี่ยมเพื่อนเก่า ที่เราไม่สนหรอกครับว่าเพื่อนคนนี้จะมีจุดบกพร่องอะไร ไม่แคร์ด้วยว่าเพื่อนคนนั้นจะเล่นมุขเดิมๆ ที่เล่นมาเป็น 10 ปี
ความสมบูรณ์ไม่สำคัญ เท่ากับ "ความรู้สึกดีๆ ณ วันนั้น ที่เพื่อน (หนัง) มอบให้เรา"
2. เคยไหมครับที่สมัยวัยรุ่นน่ะ หนังเป็นเหมือน "ไดอารี่" ของเรา
การดูเรื่องนั้นทำให้นึกถึงเรื่องนี้ นึกถึงเพื่อนที่ไปดูด้วย นึกถึงวีรกรรมที่ทำกันมา นึกถึงคนที่เราแอบชอบและนึกระหว่างดูว่า "อยากให้เขา/เธอมาดูกับเราจัง"
อาจเพราะวัยรุ่นเป็นช่วงวัยที่ฮอร์โมนเข้มข้น หลายอย่างเลยยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำส่วนลึก
หนังเรื่องนี้ (และอีกหลายเรื่องในยุค 90 คาบมาถึงต้นยุค 2000) สำหรับผมแล้ว มันไม่ได้มีแค่เนื้อเรื่องในหนัง... แต่มันมี Special Features เป็น "เนื้อเรื่องของชีวิตเรา" แทรกลงไปด้วย
ผมเรียกมันว่า "Viewer Commentary"
3. หนังเรื่องไหนมี Soundtrack ดังๆ ล่ะเราจะยิ่งจำได้แม่นครับ ยิ่งเพลงเกี่ยวกับความรักนี่ โหย แค่ได้ยินก็จะมี MV เวอร์ชั่นตัดต่อเอง (ในสมองเรา) ผุดขึ้นมา
แล้วเรื่องนี้ก็เหลือเกินครับ แต่ละเพลงอ้ะ ไม่ใช่แค่เพราะ แต่เนื้อหามันทำใจเรา "ระทวย" ได้อีก
อย่าง Before I Fall In Love ของ Coco Lee เพลงนี้สุดบาทาครับท่านที่เคารพ คนที่เคยอกหักหรือแอบรักน่าจะคุ้นกับฤทธิ์ของเพลงนี้ดี ตามด้วย You Sang to Me ของ Marc Anthony ที่ทำให้นึกไปถึงบรรยากาศยามเย็นที่เราได้เดินเล่นกับใครสักคนที่เราชอบ ณ ตอนนั้น
ยังมี Blue Eyes Blue, You Can't Hurry Love และ Never Saw Blue Like That อีก แต่ละเพลงนี่ถ้าใครไม่เคยฟังโปรดหามาฟังนะครับ มันไม่ใช่แค่เพราะ แต่มันยัง "ขยายความนิยามแห่งรัก" ได้อย่างหลากหลายมุมจริงๆ
4. ประโยคขอแต่งงานที่จี๊ดสุดๆ (คนยุคนั้นจดไปใช้กันเพียบ!)
5. พี่จักรกฤษณ์พากย์คู่กับพี่กรรณิการ์ อะ ไร จะ ฟิน ไป กว่า นี้!
https://www.facebook.com/10000tip/photos/a.117975268233283.11996.117783054919171/805563192807817/?l=87b2531097