คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 8
เภสัชกรร้านยา และแพทย์ มีกระบวนการคิดเหมือนกันครับ คือ ดูจากอาการที่มา ค้นหาสาเหตุ วินิจฉัยโรค ให้การรักษา
แต่แตกต่างกัน คือ
1.ความแตกต่างในการดูอาการ และค้นหาสาเหตุ มาจากกฎหมาย
-แพทย์สามารถตรวจได้ทุกอย่าง (เจาะเลือด เอ็กซ์เรย์ ฯลฯ) แต่ต้องเลือกการตรวจให้ถูกต้องเหมาะสม โดยพิจารณาจากการซักประวัติ
-แต่กฎหมายกำนดให้เภสัชกรร้านยาไม่สามารถตรวจโรคได้ ดังนั้นเภสัชต้องใช้การซักประวัติให้มากที่สุด ครอบคลุมที่สุด เพื่อหาสาเหตุให้ได้
----------------------------------------------
2.ความแตกต่างในวินิจฉัยโรค มาจากความรู้
-แพทย์เรียนเรื่องโรค สาเหตุการเกิดโรค->แล้วตรวจ->แล้วรักษาทั้งแบบใช้ยาและไม่ใช้ยา (เช่น การผ่าตัด ฯลฯ)
-เภสัช เรียนเรื่องยาเป็นหลัก โครงสร้างยา->แล้วกลไกการออกฤทธิ์ของยา->แล้วส่งผลต่อสาเหตุของโรค->แล้วรักษาโรค
นอกจากนี้เภสัชยังไปเรียนเรื่องยาด้านอื่นอีก เช่น การคิดค้นและพัฒนายา การวิจัยยา การผลิตยา การตรวจสอบยา เป็นต้น
ข้อดี
-ทำให้แพทย์สามารถตรวจ รู้สาเหตุและลักษณะของโรคลึกไปจนถึงเกิดอะไรขึ้นในเซลล์ แล้วเลือกวิธีการรักษาได้ดีกว่าเภสัช
-แต่เภสัชจะรู้ว่ายาตัวไหนเหมาะสมกับผู้ป่วยแบบไหนมากกว่า รู้จนลึกว่ายาแต่ละตัวออกฤทธิ์ในเซลล์ได้แตกต่างกัน
ข้อเสีย
-เคยเห็นแพทย์จบใหม่รู้ว่าต้องรักษายังไง แต่จำไม่ได้ว่ามียากลุ่มไหนอีกบ้างที่ใช้แทนกันได้ ใช้ยาเฉพาะที่ตัวเองเคยใช้ ยาใหม่ๆบางตัวไม่เคยใช้ก็ต้องมาเปิดหนังสือ
-เภสัชไม่ได้รู้จักโรคทั้งหมด บางครั้งดูแค่อาการแล้วบอกไม่ถูกว่ามันเป็นโรคอะไร โรคแปลกๆอาการแปลกๆก็ต้องขอเปิดหนังสือก่อน ถ้าเห็นว่าอาจร้ายแรงก็ต้องส่งพบแพทย์
----------------------------------------------
3.ความแตกต่างในการรักษา มาจากความรู้และกฎหมาย
-แพทย์สามารถเลือกการรักษาแบบใช้ยา และการรักษาแบบอื่นๆได้ เช่น ฉีดยา ผ่าตัด รังสี ฯลฯ และสามารถเลือกได้หลากหลายและเหมาะสมกว่า
-เภสัชไม่เคยเรียนเรื่องการรักษาแบบอื่นๆ จึงใช้ยาและให้คำแนะนำเพิ่ม แต่กฎหมายก็กำหนดให้ใช้ยาได้เฉพาะบางประเภทเท่านั้น ห้ามใช้ยาควบคุมพิเศษ และห้ามฉีดยา
ดังนั้นเภสัชกรร้านยาไม่ใช่แค่จ่ายยาไปตามอาการที่บอกเฉยๆ แต่เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านความรู้และกฎหมายอยู่ครับ
แต่แตกต่างกัน คือ
1.ความแตกต่างในการดูอาการ และค้นหาสาเหตุ มาจากกฎหมาย
-แพทย์สามารถตรวจได้ทุกอย่าง (เจาะเลือด เอ็กซ์เรย์ ฯลฯ) แต่ต้องเลือกการตรวจให้ถูกต้องเหมาะสม โดยพิจารณาจากการซักประวัติ
-แต่กฎหมายกำนดให้เภสัชกรร้านยาไม่สามารถตรวจโรคได้ ดังนั้นเภสัชต้องใช้การซักประวัติให้มากที่สุด ครอบคลุมที่สุด เพื่อหาสาเหตุให้ได้
----------------------------------------------
2.ความแตกต่างในวินิจฉัยโรค มาจากความรู้
-แพทย์เรียนเรื่องโรค สาเหตุการเกิดโรค->แล้วตรวจ->แล้วรักษาทั้งแบบใช้ยาและไม่ใช้ยา (เช่น การผ่าตัด ฯลฯ)
-เภสัช เรียนเรื่องยาเป็นหลัก โครงสร้างยา->แล้วกลไกการออกฤทธิ์ของยา->แล้วส่งผลต่อสาเหตุของโรค->แล้วรักษาโรค
นอกจากนี้เภสัชยังไปเรียนเรื่องยาด้านอื่นอีก เช่น การคิดค้นและพัฒนายา การวิจัยยา การผลิตยา การตรวจสอบยา เป็นต้น
ข้อดี
-ทำให้แพทย์สามารถตรวจ รู้สาเหตุและลักษณะของโรคลึกไปจนถึงเกิดอะไรขึ้นในเซลล์ แล้วเลือกวิธีการรักษาได้ดีกว่าเภสัช
-แต่เภสัชจะรู้ว่ายาตัวไหนเหมาะสมกับผู้ป่วยแบบไหนมากกว่า รู้จนลึกว่ายาแต่ละตัวออกฤทธิ์ในเซลล์ได้แตกต่างกัน
ข้อเสีย
-เคยเห็นแพทย์จบใหม่รู้ว่าต้องรักษายังไง แต่จำไม่ได้ว่ามียากลุ่มไหนอีกบ้างที่ใช้แทนกันได้ ใช้ยาเฉพาะที่ตัวเองเคยใช้ ยาใหม่ๆบางตัวไม่เคยใช้ก็ต้องมาเปิดหนังสือ
-เภสัชไม่ได้รู้จักโรคทั้งหมด บางครั้งดูแค่อาการแล้วบอกไม่ถูกว่ามันเป็นโรคอะไร โรคแปลกๆอาการแปลกๆก็ต้องขอเปิดหนังสือก่อน ถ้าเห็นว่าอาจร้ายแรงก็ต้องส่งพบแพทย์
----------------------------------------------
3.ความแตกต่างในการรักษา มาจากความรู้และกฎหมาย
-แพทย์สามารถเลือกการรักษาแบบใช้ยา และการรักษาแบบอื่นๆได้ เช่น ฉีดยา ผ่าตัด รังสี ฯลฯ และสามารถเลือกได้หลากหลายและเหมาะสมกว่า
-เภสัชไม่เคยเรียนเรื่องการรักษาแบบอื่นๆ จึงใช้ยาและให้คำแนะนำเพิ่ม แต่กฎหมายก็กำหนดให้ใช้ยาได้เฉพาะบางประเภทเท่านั้น ห้ามใช้ยาควบคุมพิเศษ และห้ามฉีดยา
ดังนั้นเภสัชกรร้านยาไม่ใช่แค่จ่ายยาไปตามอาการที่บอกเฉยๆ แต่เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านความรู้และกฎหมายอยู่ครับ
แสดงความคิดเห็น
การจ่ายยาของเภสัชกร และการวินัจฉัยสั่งจ่ายยาของแพทย์ แตกต่างกันไหมครับ
ผมเข้าใจถูกผิดยังไง บอกน่อยน่ะครับ ขอบคุณครับ