ก่อนอื่นนะครับอันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับถ้าใครมีข้อเท็จจริงที่กระจ่างกว่านี้ก็สามารถเสนอความเห็นได้ครับ
รายละเอียดต่าง ๆ น่าจะรู้ในหลายกระทู้แล้ว จะขอไม่พูดถึงในแง่ธุรกิจหรือแง่กฏหมายนะครับ
กาแฟมงคล สำหรับผมมองว่า มันเริ่มมาจากสองกลุ่มที่ไว้ใจและการให้ความสำคัญเป็นตัวตั้ง
-
กาแฟมงคล ฝั่งคุณโอปอล์มองเป็นธุรกิจครอบครัว
เชื่อว่าคุณโอปอล์คงอยากให้น้องชาย(คุณโอเปก)มีธุรกิจ เลยให้นำเงินมาให้น้องชายมาเปิดร้านกาแฟกับเพื่อน โดยที่คุณโอปอล์จะช่วยประชาสัมพันธ์
ร้านกาแฟนี้ให้ด้วยชื่อเสียงของคุณโอปอล์
-
กาแฟมงคล ฝั่งคุณนกมองเป็นธุรกิจของเหล่าเพื่อนที่ตั้งใจมาทำร้านกาแฟ
กาแฟมงคลในมุมมองคุณนก เกิดมาจากคุณเพื่อน(คุณโอเปก)อยากจะเปิดร้านกาแฟ เลยตั้งใจมาช่วยโดยมีหุ้นส่วนอีกหลายคน
ซึ่งแน่นอน คุณโอเปกก็เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของหุ้นส่วนในร้านที่มีพี่สาวเป็นดาราเท่านั้น
ถึงแม้ว่าจุดเริ่มต้นที่อาจจะดูแตกต่างแต่กาแฟมงคลก็อยู่ด้วยคำว่าไว้ใจและความสำคัญ
- คุณโอปอล์ไว้ใจคุณโอเปกทุกเรื่องเพราะมองว่าเป็นกิจการของน้องชายให้จัดการ โดยที่คุณโอปอล์อาจไม่มาดูแลร้านโดยตรง
- คุณนกให้ความสำคัญกับร้านกาแฟนี้มาก ทำทุกอย่างให้ร้านกาแฟนี้มีประสิทธิภาพโดยช่วยกับคุณโอเปกดูแลร้านอย่างเต็มที่
แม้กระทั้งเรื่องการจดลิขสิทธิ์ ส่วนตัวเชื่อว่าทุกคนก็น่าจะรู้เห็นการจดลิขสิทธิ์ครั้งนี้ (อันนี้เป็นการคาดเดานะครับ)
ผมมองว่าด้วยความตั้งใจและให้ความสำคัญของร้านกาแฟ คุณนกและคุณโอเปกเลยตั้งใจไปจดลิขสิทธิ์เพื่อขยายทำธุรกิจ
โดยในตอนนั้นทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่ดีอยู่ ก็เลยให้คุณนกจดในชื่อคุณนกคนเดียว
ซึ่งคุณโอปอล์อาจจะรับทราบและก็ไว้ใจ เพราะคงเห็นน้องชายกับเพื่อนมีความสัมพันธ์ที่ดี
แต่เมื่อผ่านไปมีปัญหาขัดแย้งกันต่างฝ่ายต่างแยกออกมาทำกาแฟเป็นของตัวเองแต่ทั้งคู่ยังใช้กาแฟมงคลอยู่
แน่นอนว่าถึงจะเป็นร้านกาแฟชื่อเดียวกัน แต่คนบริหารคนละคนก็ย่อมมีความแตกต่างกัน
มีลูกค้าที่เป็นแฟนกาแฟก็อาจจะมาบ่นกับคุณนกเรื่องทำไมกาแฟมงคลบางที่รสชาติไม่เหมือนที่นี่
คุณนกซึ่งได้ให้ความสำคัญกับธุรกิจนี้เลยมาคุยกับฝั่งคุณโอปอล์ให้ทำรสชาติให้เหมือนกัน
แต่ก็เป็นเรื่องเป็นเวลานานจนมาสิ้นสุดดังเช่นตามข่าว
ด้วยเวลาที่ยาวนานจากจุกแตกหักทางธุรกิจ แต่ทุกคนก็ยังทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ ยังมีการบริหารร้าน ขยายสาขารวมถึงประชาสัมพันธ์
กันอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยในตอนนี้ธุรกิจมันแตกไปแล้วย่อมมีมุมมองที่แตกต่างกันเกิดขึ้น อาจจากเริ่มจากฝั่งคุณนกเอง
เพราะแน่นอน ในมุมมองฝั่งคุณนกและเพื่อนมองว่าธุรกิจที่มันแยกกันทำแล้ว แต่ด้วยความที่คุณนกคิดว่าตัวเองก็บริหารร้านเอง
และก็พัฒนาร้านแต่ยังมีหุ้นส่วนเก่ายังใช้ชื่ออยู่เลยมองว่าไม่เป็นธรรมกับคุณนก
ซึ่งไม่แปลกใจเพราะคุณนกและเพื่อนมองว่า
คุณโอเปกเป็นหุ้นส่วนหนึ่งของร้าน ถึงไม่มีคุณโอเปกก็ยังเหลือกันอีกหลายคนที่ช่วยกันได้อยู่แล้ว ยิ่งคุณโอปอล คุณไม่เคยคิดว่า
คุณโอปอลเป็นหุ้นส่วนอยู่แล้ว เพราะคุณโอปอลแค่ช่วยประชาสัมพันธ์ร้าน (จึงไม่แปลกว่าทำไมเพื่อนคุณนกถึงอยู่ข้างคุณนก)
ก็เลยอาจจะมีความกลัวว่าคุณโอปอล์และโอเปกจะมายึดธุรกิจที่พวกคุณทำมาไป จึงเริ่มจากให้มีการระบุชัดเจนตอนนี้ใครดูแลสาขาใคร
ซึ่งก็น่าจะจบ แต่คุณนกมองว่าอยากให้ธุรกิจนี้เต็มตัวสักทีเลยยื่นเอกสารจดสิทธิบัตรให้คุณโอปอล์จึงให้เกิดเรื่องแถลงข่าวขึ้น
กลับมามองฝั่งคุณโอปอล์บ้าง
ถ้าคุณเป็นคนเจอเหตุการณ์แบบคุณโอปอล์คุณจะรู้สึกอย่างไร
เหมือนคุณทำสัญญากับเพื่อนด้วยสัญญาใจแต่ก็ทำเป็นสัญญาลายลักษณ์อักษรไว้เพื่อความถูกต้อง
แต่พอมีความขัดแย้งกัน อีกฝ่ายกลับเอาสัญญาอันนี้มันมาบังคับใช้ให้ทำตามอย่างถูกต้อง แน่นอนว่าเรื่องกฏหมายก็ต้องปฏิบัติตาม
แต่ความไว้ใจที่คุณโอปอล์แสดงมาตลอด กลับถูกทำอย่างนี้ก็เลยเกิดการแถลงข่าวทวงสิทธิ์ชื่อร้านคืนขึ้น
แน่นอนหลังการแถลงข่าวก็มีผลตามมามากมาย รวมไปถึงการขุดคุ้ยเรื่องราวของแต่ละฝ่ายอย่างสนุกสนาน
โดยเหมือนเป็นการสร้างบาดแผลให้เจ็บกันไป
ฝ่ายคุณนกเลือกจะเงียบโดยมองว่าการแถลงข่าวแล้วมีเรื่องส่วนตัวทำให้ฝ่ายคุณนกเสียหาย และพยายามพูดว่าเพราะตัวเองไม่มีสื่อ
ตัวเองไม่ใช่ดาราไม่มีใครฟังหรอก และพยายามนำประเด็นส่วนตัวจากข่าวมาสร้างความเข้าใจกับเพื่อนและลูกค้าเพื่อให้มองว่า
ฝ่ายตัวเองถูกรังแก
แน่นอนว่ากาแฟมงคล ที่เบื้องหลังอาจไม่มงคลเหมือนชื่อกำลังเป็นที่น่าสนใจระดับหนึ่ง
ฝ่ายหนึ่งกำลังตั้งคำถามให้กับสังคมว่ากาแฟนี้เป็นของใคร อีกฝ่ายหนึ่งก็เรียกร้องสิทธิ์ในการทำกาแฟทั้งหมดให้ของตนเอง
ส่วนตัวเชื่อว่าลึก ๆ ที่คุณโอปอล์ปล่อยให้ปัญหานี้เกิดขึ้นเป็นเวลานานจนมาถึงจุดแตกหักขั้นสุด อาจจะเป็นเพราะว่า
คุณโอปอล์คงไม่อยากเสียความภาคภูมิใจ ในการสร้างแบรนด์กาแฟที่ตัวเองได้มีส่วนลงทุนแต่ต้องมีปัญหาด้วยเรื่องแบบนี้
จนทำให้กาแฟปิดตัว อาจจะมาพร้อมคำนินทาของคนในสังคมว่า สุดท้ายแค่ร้านกาแฟก็ยังทำเจ๊งได้
แต่ฝ่ายคุณนกมองมองการยื้อเวลาว่า คุณโอปอล์และโอเปกจะทำการฮุบร้านเป็นของตนเอง จึงปรึกษากับเพื่อนเลยเลือกไพ่ตาย
ใบสำคัญคือเอกสารจดสิทธิบัตร แต่ไพ่ตายใบนี้กลับกลายเป็นเชือกที่มัดฝ่ายคุณนกอยู่บนเก้าอี้ให้สังคมกำลังเอาหินรุมปาอย่างสนุกสนาน
เพราะไพ่ตายใบนี้เต็มไปด้วยคำถามที่สังคมต้องการคำตอบ
ผมว่าฝ่ายคุณนกอาจจะเต็มที่และตั้งใจกับธุรกิจนี้ ที่ให้ความสำคัญกับทุกสิ่ง ให้ความสำคัญให้ร้านดีขึ้น
ทำทุกสิ่งทุกอย่างลงแรงและปั้นมากับมือ คอยคิดพัฒนาสูตรกาแฟ และรับคำติชมของลูกค้าอย่างดีเยื่ยม
แต่ฝั่งคุณนกไม่เคยให้ความสำคัญเลยคือ ชื่อร้านมีที่มาจากอะไร และ ทำไมร้านนี้มันถึงมีชื่อเสียงจนถึงทุกวันนี้
อาจจะเป็นเพราะว่าฝ่ายคุณนก มองว่าสิทธิบัตรที่จดเป็นของตนเองโดยกลับลืมว่าในตอนแรกที่จดสิทธิบัตรมีความตั้งใจเพื่ออะไร
พอคิดว่าตัวเองได้สิทธิ์ตรงนี้ แต่กลับไม่ให้ความสำคัญคือชื่อร้านนี้ที่มีมาอย่างไร
และที่ร้านมีชื่อเสียงมาจากรสชาติกาแฟอย่างเดียวจริงหรือไม่
จริง ๆ ถ้าฝ่ายคุณนกจะจดสิทธิบัตรสูตรกาแฟผมว่าจะไม่มีใครว่าคุณนกได้เลยนะ แต่คงเพราะคิดว่าทุกอย่างมันรวมไปในชื่ออยู่แล้ว
เลยลืมตรงนั้นไป นั่นจึงเป็นความสำคัญ...ผิด ที่สังคมกำลังตั้งคำถามที่รอคำตอบ
เรื่องราวอาจจะยังไม่จบเพราะอาจจะมีเรื่องมากมายเกิดขึ้นอีก
ตอนนี้ต่างฝ่ายมีธุรกิจของตนเองอย่างชัดเจน สามารถให้ความไว้ใจและให้ความสำคัญอย่างเต็มที่
ฝ่ายหนึ่งบริหารร้านกาแฟไปตามที่ตัวเองประชาสัมพันธ์
อีกฝายก็ต้องบริหารร้านกาแฟที่ตนเองมีอยู่และให้ความสำคัญในรสชาติเพื่อรักษาลูกค้าต่อไปโดยที่ไม่ต้องกลัวใครฮุบ
แต่ไม่มีใครมาช่วยประชาสัมพันธ์ให้อีกแล้ว
และก็ให้กฎหมายและกลไกธุรกิจและการตลาดรวมถึงกฏแห่งกรรมทำหน้าที่ของมันไป ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
ขอแสดงความคิดเห็น "กาแฟมงคล" ความไว้ใจ กับ ความสำคัญ...(ผิด)
รายละเอียดต่าง ๆ น่าจะรู้ในหลายกระทู้แล้ว จะขอไม่พูดถึงในแง่ธุรกิจหรือแง่กฏหมายนะครับ
กาแฟมงคล สำหรับผมมองว่า มันเริ่มมาจากสองกลุ่มที่ไว้ใจและการให้ความสำคัญเป็นตัวตั้ง
- กาแฟมงคล ฝั่งคุณโอปอล์มองเป็นธุรกิจครอบครัว
เชื่อว่าคุณโอปอล์คงอยากให้น้องชาย(คุณโอเปก)มีธุรกิจ เลยให้นำเงินมาให้น้องชายมาเปิดร้านกาแฟกับเพื่อน โดยที่คุณโอปอล์จะช่วยประชาสัมพันธ์
ร้านกาแฟนี้ให้ด้วยชื่อเสียงของคุณโอปอล์
- กาแฟมงคล ฝั่งคุณนกมองเป็นธุรกิจของเหล่าเพื่อนที่ตั้งใจมาทำร้านกาแฟ
กาแฟมงคลในมุมมองคุณนก เกิดมาจากคุณเพื่อน(คุณโอเปก)อยากจะเปิดร้านกาแฟ เลยตั้งใจมาช่วยโดยมีหุ้นส่วนอีกหลายคน
ซึ่งแน่นอน คุณโอเปกก็เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของหุ้นส่วนในร้านที่มีพี่สาวเป็นดาราเท่านั้น
ถึงแม้ว่าจุดเริ่มต้นที่อาจจะดูแตกต่างแต่กาแฟมงคลก็อยู่ด้วยคำว่าไว้ใจและความสำคัญ
- คุณโอปอล์ไว้ใจคุณโอเปกทุกเรื่องเพราะมองว่าเป็นกิจการของน้องชายให้จัดการ โดยที่คุณโอปอล์อาจไม่มาดูแลร้านโดยตรง
- คุณนกให้ความสำคัญกับร้านกาแฟนี้มาก ทำทุกอย่างให้ร้านกาแฟนี้มีประสิทธิภาพโดยช่วยกับคุณโอเปกดูแลร้านอย่างเต็มที่
แม้กระทั้งเรื่องการจดลิขสิทธิ์ ส่วนตัวเชื่อว่าทุกคนก็น่าจะรู้เห็นการจดลิขสิทธิ์ครั้งนี้ (อันนี้เป็นการคาดเดานะครับ)
ผมมองว่าด้วยความตั้งใจและให้ความสำคัญของร้านกาแฟ คุณนกและคุณโอเปกเลยตั้งใจไปจดลิขสิทธิ์เพื่อขยายทำธุรกิจ
โดยในตอนนั้นทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่ดีอยู่ ก็เลยให้คุณนกจดในชื่อคุณนกคนเดียว
ซึ่งคุณโอปอล์อาจจะรับทราบและก็ไว้ใจ เพราะคงเห็นน้องชายกับเพื่อนมีความสัมพันธ์ที่ดี
แต่เมื่อผ่านไปมีปัญหาขัดแย้งกันต่างฝ่ายต่างแยกออกมาทำกาแฟเป็นของตัวเองแต่ทั้งคู่ยังใช้กาแฟมงคลอยู่
แน่นอนว่าถึงจะเป็นร้านกาแฟชื่อเดียวกัน แต่คนบริหารคนละคนก็ย่อมมีความแตกต่างกัน
มีลูกค้าที่เป็นแฟนกาแฟก็อาจจะมาบ่นกับคุณนกเรื่องทำไมกาแฟมงคลบางที่รสชาติไม่เหมือนที่นี่
คุณนกซึ่งได้ให้ความสำคัญกับธุรกิจนี้เลยมาคุยกับฝั่งคุณโอปอล์ให้ทำรสชาติให้เหมือนกัน
แต่ก็เป็นเรื่องเป็นเวลานานจนมาสิ้นสุดดังเช่นตามข่าว
ด้วยเวลาที่ยาวนานจากจุกแตกหักทางธุรกิจ แต่ทุกคนก็ยังทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ ยังมีการบริหารร้าน ขยายสาขารวมถึงประชาสัมพันธ์
กันอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยในตอนนี้ธุรกิจมันแตกไปแล้วย่อมมีมุมมองที่แตกต่างกันเกิดขึ้น อาจจากเริ่มจากฝั่งคุณนกเอง
เพราะแน่นอน ในมุมมองฝั่งคุณนกและเพื่อนมองว่าธุรกิจที่มันแยกกันทำแล้ว แต่ด้วยความที่คุณนกคิดว่าตัวเองก็บริหารร้านเอง
และก็พัฒนาร้านแต่ยังมีหุ้นส่วนเก่ายังใช้ชื่ออยู่เลยมองว่าไม่เป็นธรรมกับคุณนก ซึ่งไม่แปลกใจเพราะคุณนกและเพื่อนมองว่า
คุณโอเปกเป็นหุ้นส่วนหนึ่งของร้าน ถึงไม่มีคุณโอเปกก็ยังเหลือกันอีกหลายคนที่ช่วยกันได้อยู่แล้ว ยิ่งคุณโอปอล คุณไม่เคยคิดว่า
คุณโอปอลเป็นหุ้นส่วนอยู่แล้ว เพราะคุณโอปอลแค่ช่วยประชาสัมพันธ์ร้าน (จึงไม่แปลกว่าทำไมเพื่อนคุณนกถึงอยู่ข้างคุณนก)
ก็เลยอาจจะมีความกลัวว่าคุณโอปอล์และโอเปกจะมายึดธุรกิจที่พวกคุณทำมาไป จึงเริ่มจากให้มีการระบุชัดเจนตอนนี้ใครดูแลสาขาใคร
ซึ่งก็น่าจะจบ แต่คุณนกมองว่าอยากให้ธุรกิจนี้เต็มตัวสักทีเลยยื่นเอกสารจดสิทธิบัตรให้คุณโอปอล์จึงให้เกิดเรื่องแถลงข่าวขึ้น
กลับมามองฝั่งคุณโอปอล์บ้าง ถ้าคุณเป็นคนเจอเหตุการณ์แบบคุณโอปอล์คุณจะรู้สึกอย่างไร
เหมือนคุณทำสัญญากับเพื่อนด้วยสัญญาใจแต่ก็ทำเป็นสัญญาลายลักษณ์อักษรไว้เพื่อความถูกต้อง
แต่พอมีความขัดแย้งกัน อีกฝ่ายกลับเอาสัญญาอันนี้มันมาบังคับใช้ให้ทำตามอย่างถูกต้อง แน่นอนว่าเรื่องกฏหมายก็ต้องปฏิบัติตาม
แต่ความไว้ใจที่คุณโอปอล์แสดงมาตลอด กลับถูกทำอย่างนี้ก็เลยเกิดการแถลงข่าวทวงสิทธิ์ชื่อร้านคืนขึ้น
แน่นอนหลังการแถลงข่าวก็มีผลตามมามากมาย รวมไปถึงการขุดคุ้ยเรื่องราวของแต่ละฝ่ายอย่างสนุกสนาน
โดยเหมือนเป็นการสร้างบาดแผลให้เจ็บกันไป
ฝ่ายคุณนกเลือกจะเงียบโดยมองว่าการแถลงข่าวแล้วมีเรื่องส่วนตัวทำให้ฝ่ายคุณนกเสียหาย และพยายามพูดว่าเพราะตัวเองไม่มีสื่อ
ตัวเองไม่ใช่ดาราไม่มีใครฟังหรอก และพยายามนำประเด็นส่วนตัวจากข่าวมาสร้างความเข้าใจกับเพื่อนและลูกค้าเพื่อให้มองว่า
ฝ่ายตัวเองถูกรังแก
แน่นอนว่ากาแฟมงคล ที่เบื้องหลังอาจไม่มงคลเหมือนชื่อกำลังเป็นที่น่าสนใจระดับหนึ่ง
ฝ่ายหนึ่งกำลังตั้งคำถามให้กับสังคมว่ากาแฟนี้เป็นของใคร อีกฝ่ายหนึ่งก็เรียกร้องสิทธิ์ในการทำกาแฟทั้งหมดให้ของตนเอง
ส่วนตัวเชื่อว่าลึก ๆ ที่คุณโอปอล์ปล่อยให้ปัญหานี้เกิดขึ้นเป็นเวลานานจนมาถึงจุดแตกหักขั้นสุด อาจจะเป็นเพราะว่า
คุณโอปอล์คงไม่อยากเสียความภาคภูมิใจ ในการสร้างแบรนด์กาแฟที่ตัวเองได้มีส่วนลงทุนแต่ต้องมีปัญหาด้วยเรื่องแบบนี้
จนทำให้กาแฟปิดตัว อาจจะมาพร้อมคำนินทาของคนในสังคมว่า สุดท้ายแค่ร้านกาแฟก็ยังทำเจ๊งได้
แต่ฝ่ายคุณนกมองมองการยื้อเวลาว่า คุณโอปอล์และโอเปกจะทำการฮุบร้านเป็นของตนเอง จึงปรึกษากับเพื่อนเลยเลือกไพ่ตาย
ใบสำคัญคือเอกสารจดสิทธิบัตร แต่ไพ่ตายใบนี้กลับกลายเป็นเชือกที่มัดฝ่ายคุณนกอยู่บนเก้าอี้ให้สังคมกำลังเอาหินรุมปาอย่างสนุกสนาน
เพราะไพ่ตายใบนี้เต็มไปด้วยคำถามที่สังคมต้องการคำตอบ
ผมว่าฝ่ายคุณนกอาจจะเต็มที่และตั้งใจกับธุรกิจนี้ ที่ให้ความสำคัญกับทุกสิ่ง ให้ความสำคัญให้ร้านดีขึ้น
ทำทุกสิ่งทุกอย่างลงแรงและปั้นมากับมือ คอยคิดพัฒนาสูตรกาแฟ และรับคำติชมของลูกค้าอย่างดีเยื่ยม
แต่ฝั่งคุณนกไม่เคยให้ความสำคัญเลยคือ ชื่อร้านมีที่มาจากอะไร และ ทำไมร้านนี้มันถึงมีชื่อเสียงจนถึงทุกวันนี้
อาจจะเป็นเพราะว่าฝ่ายคุณนก มองว่าสิทธิบัตรที่จดเป็นของตนเองโดยกลับลืมว่าในตอนแรกที่จดสิทธิบัตรมีความตั้งใจเพื่ออะไร
พอคิดว่าตัวเองได้สิทธิ์ตรงนี้ แต่กลับไม่ให้ความสำคัญคือชื่อร้านนี้ที่มีมาอย่างไร
และที่ร้านมีชื่อเสียงมาจากรสชาติกาแฟอย่างเดียวจริงหรือไม่
จริง ๆ ถ้าฝ่ายคุณนกจะจดสิทธิบัตรสูตรกาแฟผมว่าจะไม่มีใครว่าคุณนกได้เลยนะ แต่คงเพราะคิดว่าทุกอย่างมันรวมไปในชื่ออยู่แล้ว
เลยลืมตรงนั้นไป นั่นจึงเป็นความสำคัญ...ผิด ที่สังคมกำลังตั้งคำถามที่รอคำตอบ
เรื่องราวอาจจะยังไม่จบเพราะอาจจะมีเรื่องมากมายเกิดขึ้นอีก
ตอนนี้ต่างฝ่ายมีธุรกิจของตนเองอย่างชัดเจน สามารถให้ความไว้ใจและให้ความสำคัญอย่างเต็มที่
ฝ่ายหนึ่งบริหารร้านกาแฟไปตามที่ตัวเองประชาสัมพันธ์
อีกฝายก็ต้องบริหารร้านกาแฟที่ตนเองมีอยู่และให้ความสำคัญในรสชาติเพื่อรักษาลูกค้าต่อไปโดยที่ไม่ต้องกลัวใครฮุบ
แต่ไม่มีใครมาช่วยประชาสัมพันธ์ให้อีกแล้ว
และก็ให้กฎหมายและกลไกธุรกิจและการตลาดรวมถึงกฏแห่งกรรมทำหน้าที่ของมันไป ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร