คือต้องทำความเข้าใจก่อนนะครับ บางคนเอาสะใจอย่างเดียว ซึ่งก็ไม่ผิดหรอก สะใจได้ แต่ช่วยเห็นใจคนที่อาจจะตกเป็นเหยื่อในอนาคตนิดนึงเหอะนะ
ลองคิดดูว่า ถ้าคดีข่มขืนในอนาคต จะต้องโทษ 'ประหารสถานเดียว' สมมติถ้าเป็นคุณ ไปข่มขืนใครเข้าสักคน เสร็จกิจละจะทำไงต่อครับ ?
แน่นอน เหยื่อตายเรียบ โดนปิดปากแหงแซะ เพราะถ้าโดนจับก็มีแต่ตายกับตาย ชิงฆ่าไปก่อนเลยดีกว่า อย่างน้อยช่วยลดโอกาสในการโดนจับ จริงไหม ?
แล้วถ้าคดีข่มขืนต้องโทษ 'ตัดเจี๊xว' ล่ะ ? เออ ฟังดูสะใจดีนะ แต่หลังจากพ้นโทษ คุณรู้ไหมครับว่ามีความเสี่ยงสูงมากที่เราจะได้ตัว 'อาชญากรวิปริต' กลับเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในสังคมปะปนอยู่กับเรา ๆ ท่าน ๆ และบุตรหลาน (วิปริตยังไง อ่านต่อไปก่อนนะจ๊ะ)
แล้วยังไงจะดีล่ะ ผมลองคิดดูเล่น ๆ เบื้องต้น สรุปมาได้ประมาณนี้ อยากแชร์กับทุกท่านว่า ถ้าเอาเป็นแบบนี้จะดีไหมครับ
----------
1)
'พวกที่ข่มขืนแล้วฆ่า' หรือ 'ฆ่าแล้วข่มขืน' = เมื่อจับกุมได้แล้ว ก็ควบคุมตัวไว้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด หากพิสูจน์แล้วพบว่ามีความผิดจริง ตามหลักฐาน พยานแวดล้อม นิติวิทยาศาสตร์ บลา ๆๆ อะไรก็แล้วแต่ แน่นพอจะพิจารณาได้ว่าไม่ผิดตัว ไม่ใช่การจัดฉาก ผลสรุปก็คือ
'ประหารชีวิต' ยังไงก็ควรจะต้องตายตกตามกันไป ไม่มียกเว้น ตามนั้น คือให้รู้เลยว่า ถ้าคุณไปฆ่าเขา ก็ต้องโทษตายแน่นอน จะประหารด้วยวิธีใดก็แล้วแต่ อาจจะไม่ต้องโหดมาก แต่อย่างน้อยก็ต้องชดใช้ชีวิตด้วยชีวิต ไม่มีลดหย่อนใด ๆ ทั้งสิ้น
----------
2)
'พวกที่ข่มขืน แต่ไม่ได้ฆ่า' = กรรมวิธีเดียวกันกับกรณีด้านบน หลังจากควบคุมตัวไว้จนคดีถึงที่สุด หากพบว่ามีความผิดจริง ก็ต้อง
'จำคุกตลอดชีวิต' ให้สาสมกับที่ขังเหยื่อไว้ใน 'คุกแห่งจิตใจที่หวาดระแวงและบอบช้ำ' ไปตลอดชีวิตของเหยื่อเช่นเดียวกัน
ทว่าหากเป็นนักโทษชั้นดีมาก มาก ๆๆ อาจจะให้มีการลดหย่อนผ่อนส่งบ้าง เผื่อว่าระหว่างชดใช้กรรม ได้เกิดดวงตาเห็นธรรม มีความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะกลับตัวกลับใจมาเป็นพลเมืองดี อยากได้โอกาสในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ อยากกลับมาสร้างคุณประโยชน์ใด ๆ แก่ประเทศชาติและครอบครัว
เช่นนั้นแล้ว สังคมก็ควรจะให้โอกาส แต่ ..... แต่ ..... แต่ ..... จะต้องผ่านกรรมวิธีบางอย่างก่อน นั่นคือ
'การฉีดยาให้หมดความต้องการหรือความรู้สึกทางเพศ' แบบที่ประเทศเกาหลีใต้และในบางประเทศของยุโรปทำอยู่ โดยเกาหลีใต้ได้ผ่านร่างกฎหมายการลงโทษอาชญากรคดีข่มขืนด้วยการฉีดยาที่มีฤทธิ์ให้อัณฑะฝ่อในปี 2543 และได้ดำเนินการครั้งแรกเมื่อเดือน พ.ค. 2555 (ขอบคุณข้อมูลจากเว็บ โพสทูเดย์) หลังจากนั้นแล้วจึงจะปล่อยตัวออกมาใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อีกครั้ง
เหตุที่ต้องใช้วิธีเช่นนี้ แทนการตัด/ตอน แบบที่หลาย ๆ คนอยากให้เป็นและคิดว่ายุ่งยากน้อยกว่า นั่นก็เพราะว่าการริบของกลางไปเฉย ๆ โดยที่ผู้ต้องหายังมีความต้องการอยู่นั้น เมื่อพ้นโทษออกมาแล้ว มีความเสี่ยงสูงที่จะทำการก่อคดีซ้ำโดยวิปริต คือใช้ขวดหรือขาเก้าอี้ข่มขืนแทน ส่งผลให้เหยื่อบาดเจ็บทรมานทางกายภาพรุนแรงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก มีงานวิจัยและเคสแบบนี้เกิดขึ้นมาแล้วในต่างประเทศ ท่านใดสนใจก็ลองค้น ๆ อ่านดูเอานะครับ
----------
ทั้งหมดนี้ ย้ำว่า ต้องเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นหลังจากคดี ถึงที่สุด แบบสุด ๆ แล้วอะนะครับ
พอใช้ได้มั้ยครับ ผมคิดว่าน่าจะปลอดภัยต่อเหยื่อและต่อแพะมากขึ้นนะ อย่างน้อยก็ไม่ต้องตายฟรี หรือตายฟรียากขึ้น แต่แพะบางคนก็อาจจะต้องติดคุกฟรี ๆ ไปก่อนระหว่างรอการพิสูจน์ แต่แหม มันก็พูดยากนะ อันนี้ก็ต้องอยู่ที่การทำงานของเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องล่ะ และผมคิดว่า สมัยนี้ ถ้าจะทำกันจริง ๆ การพิสูจน์หลักฐานด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน น่าาจะลดความเสี่ยงของการเกิดแพะเหมือนตอนคดีเชอรี่แอนได้มากอยู่แล้ว ทั้งตรวจเนื้อเยื่อ ดีเอ็นเอ บลา ๆ
สิ่งสำคัญคือ ผมรู้สึกว่า คนที่กลัวว่ามีโทษแรง ๆ แล้วจะส่งผลร้ายต่อคนที่ถูกจับมาเป็นแพะน่ะ ผมอยากถามว่า ถ้ามองแบบตรงไปตรงมา ทุกวันนี้ ในทุก ๆ คดีก็มีโอกาสจับแพะได้ทั้งนั้นไม่ใช่เหรอครับ ??
ทุกวันนี้ไม่มีใครโดนยัดยาเหรอครับ ? ไม่มีใครโดนจัดฉากเหรอครับ ? ถ้าคำตอบคือ ก็ยังมี แล้วทำไมคดีข่มขืนถึงจะมีโทษรุนแรงเท่ากับคดีค้ายาบ้าอะไรแบบนี้ไม่ได้ล่ะ หรือมันจัดฉากง่ายกว่าเอายามายัดกางเกง !?? ถ้างั้นก็ต้องพิสูจน์กันไปตามลำดับขั้นตอนสิครับ ไม่ใช่กลัวมีแพะ ก็ไม่ลงโทษรุนแรง งั้นไม่ต้องมีกฎหมายก็ได้มั้ง เดี๋ยวมีแพะ ฮาา
ปัญหามันอยู่ที่ระบบการทำงานของเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องมากกว่าครับ ถ้าจะบอกว่ามีงานวิจัย ชี้ผลว่าโทษที่เพิ่มมากขึ้น ไม่ได้ลดปริมาณการเกิดอาชญากรรมลง ไม่มีผลต่อการตัดสินใจของอาชญากร ก็แล้วทำไมพวกที่ขายยาต้องพยายามแก้ต่างว่ามีไว้เพื่อเสพเอง ? มันก็เพราะกลัวโทษที่หนักกว่าไม่ใช่หรือไงครับ
อนึ่ง คำว่า จนกว่าคดีจะถึงที่สุด คือแบบ ถึงที่สุดแล้วจริง ๆ อะนะ คือพยานหลักฐานแน่นเอี๊ยด พิจารณาแล้วทุกลำดับขั้นตอนทาง กม. พบว่าใช่ชัว ๆ ไม่ได้โดนแบล็คเมล หรือโดนจัดฉาก สร้างหลักฐานเท็จขึ้นมาปรักปรำ อะไรเงี้ย ตรงส่วนนี้เข้าใจตรงกันนะครับ
ขอบคุณที่ร่วมแสดงความคิดเห็นครับ ใครว่ายังไง มาแชร์กันเนอะ
[[[ ถ้าเอะอะจะประหารชีวิต จะเสี่ยงต่อเหยื่อและแพะในคดีข่มขืนมากเกินไปไหม ลองแบบนี้ดีไหมครับ ]]]
ลองคิดดูว่า ถ้าคดีข่มขืนในอนาคต จะต้องโทษ 'ประหารสถานเดียว' สมมติถ้าเป็นคุณ ไปข่มขืนใครเข้าสักคน เสร็จกิจละจะทำไงต่อครับ ?
แน่นอน เหยื่อตายเรียบ โดนปิดปากแหงแซะ เพราะถ้าโดนจับก็มีแต่ตายกับตาย ชิงฆ่าไปก่อนเลยดีกว่า อย่างน้อยช่วยลดโอกาสในการโดนจับ จริงไหม ?
แล้วถ้าคดีข่มขืนต้องโทษ 'ตัดเจี๊xว' ล่ะ ? เออ ฟังดูสะใจดีนะ แต่หลังจากพ้นโทษ คุณรู้ไหมครับว่ามีความเสี่ยงสูงมากที่เราจะได้ตัว 'อาชญากรวิปริต' กลับเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในสังคมปะปนอยู่กับเรา ๆ ท่าน ๆ และบุตรหลาน (วิปริตยังไง อ่านต่อไปก่อนนะจ๊ะ)
แล้วยังไงจะดีล่ะ ผมลองคิดดูเล่น ๆ เบื้องต้น สรุปมาได้ประมาณนี้ อยากแชร์กับทุกท่านว่า ถ้าเอาเป็นแบบนี้จะดีไหมครับ
----------
1) 'พวกที่ข่มขืนแล้วฆ่า' หรือ 'ฆ่าแล้วข่มขืน' = เมื่อจับกุมได้แล้ว ก็ควบคุมตัวไว้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด หากพิสูจน์แล้วพบว่ามีความผิดจริง ตามหลักฐาน พยานแวดล้อม นิติวิทยาศาสตร์ บลา ๆๆ อะไรก็แล้วแต่ แน่นพอจะพิจารณาได้ว่าไม่ผิดตัว ไม่ใช่การจัดฉาก ผลสรุปก็คือ 'ประหารชีวิต' ยังไงก็ควรจะต้องตายตกตามกันไป ไม่มียกเว้น ตามนั้น คือให้รู้เลยว่า ถ้าคุณไปฆ่าเขา ก็ต้องโทษตายแน่นอน จะประหารด้วยวิธีใดก็แล้วแต่ อาจจะไม่ต้องโหดมาก แต่อย่างน้อยก็ต้องชดใช้ชีวิตด้วยชีวิต ไม่มีลดหย่อนใด ๆ ทั้งสิ้น
----------
2) 'พวกที่ข่มขืน แต่ไม่ได้ฆ่า' = กรรมวิธีเดียวกันกับกรณีด้านบน หลังจากควบคุมตัวไว้จนคดีถึงที่สุด หากพบว่ามีความผิดจริง ก็ต้อง 'จำคุกตลอดชีวิต' ให้สาสมกับที่ขังเหยื่อไว้ใน 'คุกแห่งจิตใจที่หวาดระแวงและบอบช้ำ' ไปตลอดชีวิตของเหยื่อเช่นเดียวกัน
ทว่าหากเป็นนักโทษชั้นดีมาก มาก ๆๆ อาจจะให้มีการลดหย่อนผ่อนส่งบ้าง เผื่อว่าระหว่างชดใช้กรรม ได้เกิดดวงตาเห็นธรรม มีความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะกลับตัวกลับใจมาเป็นพลเมืองดี อยากได้โอกาสในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ อยากกลับมาสร้างคุณประโยชน์ใด ๆ แก่ประเทศชาติและครอบครัว
เช่นนั้นแล้ว สังคมก็ควรจะให้โอกาส แต่ ..... แต่ ..... แต่ ..... จะต้องผ่านกรรมวิธีบางอย่างก่อน นั่นคือ 'การฉีดยาให้หมดความต้องการหรือความรู้สึกทางเพศ' แบบที่ประเทศเกาหลีใต้และในบางประเทศของยุโรปทำอยู่ โดยเกาหลีใต้ได้ผ่านร่างกฎหมายการลงโทษอาชญากรคดีข่มขืนด้วยการฉีดยาที่มีฤทธิ์ให้อัณฑะฝ่อในปี 2543 และได้ดำเนินการครั้งแรกเมื่อเดือน พ.ค. 2555 (ขอบคุณข้อมูลจากเว็บ โพสทูเดย์) หลังจากนั้นแล้วจึงจะปล่อยตัวออกมาใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อีกครั้ง
เหตุที่ต้องใช้วิธีเช่นนี้ แทนการตัด/ตอน แบบที่หลาย ๆ คนอยากให้เป็นและคิดว่ายุ่งยากน้อยกว่า นั่นก็เพราะว่าการริบของกลางไปเฉย ๆ โดยที่ผู้ต้องหายังมีความต้องการอยู่นั้น เมื่อพ้นโทษออกมาแล้ว มีความเสี่ยงสูงที่จะทำการก่อคดีซ้ำโดยวิปริต คือใช้ขวดหรือขาเก้าอี้ข่มขืนแทน ส่งผลให้เหยื่อบาดเจ็บทรมานทางกายภาพรุนแรงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก มีงานวิจัยและเคสแบบนี้เกิดขึ้นมาแล้วในต่างประเทศ ท่านใดสนใจก็ลองค้น ๆ อ่านดูเอานะครับ
----------
ทั้งหมดนี้ ย้ำว่า ต้องเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นหลังจากคดี ถึงที่สุด แบบสุด ๆ แล้วอะนะครับ
พอใช้ได้มั้ยครับ ผมคิดว่าน่าจะปลอดภัยต่อเหยื่อและต่อแพะมากขึ้นนะ อย่างน้อยก็ไม่ต้องตายฟรี หรือตายฟรียากขึ้น แต่แพะบางคนก็อาจจะต้องติดคุกฟรี ๆ ไปก่อนระหว่างรอการพิสูจน์ แต่แหม มันก็พูดยากนะ อันนี้ก็ต้องอยู่ที่การทำงานของเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องล่ะ และผมคิดว่า สมัยนี้ ถ้าจะทำกันจริง ๆ การพิสูจน์หลักฐานด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน น่าาจะลดความเสี่ยงของการเกิดแพะเหมือนตอนคดีเชอรี่แอนได้มากอยู่แล้ว ทั้งตรวจเนื้อเยื่อ ดีเอ็นเอ บลา ๆ
สิ่งสำคัญคือ ผมรู้สึกว่า คนที่กลัวว่ามีโทษแรง ๆ แล้วจะส่งผลร้ายต่อคนที่ถูกจับมาเป็นแพะน่ะ ผมอยากถามว่า ถ้ามองแบบตรงไปตรงมา ทุกวันนี้ ในทุก ๆ คดีก็มีโอกาสจับแพะได้ทั้งนั้นไม่ใช่เหรอครับ ??
ทุกวันนี้ไม่มีใครโดนยัดยาเหรอครับ ? ไม่มีใครโดนจัดฉากเหรอครับ ? ถ้าคำตอบคือ ก็ยังมี แล้วทำไมคดีข่มขืนถึงจะมีโทษรุนแรงเท่ากับคดีค้ายาบ้าอะไรแบบนี้ไม่ได้ล่ะ หรือมันจัดฉากง่ายกว่าเอายามายัดกางเกง !?? ถ้างั้นก็ต้องพิสูจน์กันไปตามลำดับขั้นตอนสิครับ ไม่ใช่กลัวมีแพะ ก็ไม่ลงโทษรุนแรง งั้นไม่ต้องมีกฎหมายก็ได้มั้ง เดี๋ยวมีแพะ ฮาา
ปัญหามันอยู่ที่ระบบการทำงานของเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องมากกว่าครับ ถ้าจะบอกว่ามีงานวิจัย ชี้ผลว่าโทษที่เพิ่มมากขึ้น ไม่ได้ลดปริมาณการเกิดอาชญากรรมลง ไม่มีผลต่อการตัดสินใจของอาชญากร ก็แล้วทำไมพวกที่ขายยาต้องพยายามแก้ต่างว่ามีไว้เพื่อเสพเอง ? มันก็เพราะกลัวโทษที่หนักกว่าไม่ใช่หรือไงครับ
อนึ่ง คำว่า จนกว่าคดีจะถึงที่สุด คือแบบ ถึงที่สุดแล้วจริง ๆ อะนะ คือพยานหลักฐานแน่นเอี๊ยด พิจารณาแล้วทุกลำดับขั้นตอนทาง กม. พบว่าใช่ชัว ๆ ไม่ได้โดนแบล็คเมล หรือโดนจัดฉาก สร้างหลักฐานเท็จขึ้นมาปรักปรำ อะไรเงี้ย ตรงส่วนนี้เข้าใจตรงกันนะครับ
ขอบคุณที่ร่วมแสดงความคิดเห็นครับ ใครว่ายังไง มาแชร์กันเนอะ