หลุยส์ ซัวเรซ กำลังจะไปบาร์เซโลน่า... เป็นความจริงที่ The Kop ทุกคนรู้อยู่แก่ใจ และรู้ว่ามาตลอดว่าวันหนึ่ง ซัวเรซ ก็ต้องย้ายออกไปสู่ทีมที่ใหญ่กว่า และพร้อมจะหยิบยื่นเกียรติยศ เหรียญรางวัล ชื่อเสียง เงินทอง และโอกาสต่างๆ ที่เค้าจะได้ ในขณะที่ลิเวอร์พูลยังไม่พร้อมจะมอบให้ในเวลานี้
จากการเฝ้าติดตามข่าวคราวความคืบหน้าการย้ายทีมของซัวเรซ, อเล็กซิส ซานเชซ, ลาซาร์ มาร์โควิช ในช่วง 2-3 วันนี้ มีประโยคหนึ่งที่ผมเห็นผ่านตาทางทวิตเตอร์แล้วเก็บมาคิดอยู่นานสองนาน ว่าควรจะดีใจ หรือเสียใจ หรือรู้สึกยังไงกับประโยคนี้กันแน่
"Liverpool don't buy World Class players. We make them."
ผมนึกไม่ออกจริงๆ ว่าผู้เล่นเกรดเอคนสุดท้ายที่เราเซ็นสัญญาด้วยคือใคร
นักเตะหลายต่อหลายคนเป็นแค่ผู้เล่นธรรมดา เกรด B ไปถึง B+ ในวันที่เค้าเหล่านั้นเซ็นสัญญากับลิเวอร์พูล ไม่มีใครสักคนที่เป็นผู้เล่นระดับโลกเกรด A ซื้อมาแล้วใช้งานได้เลย
ลิเวอร์พูลต่างหาก ที่ทำให้เขาเหล่านั้นกลายเป็นนักเตะ "ระดับโลก"
โอเว่น... เคยเป็นแค่เด็กปั้นดาวรุ่งคนหนึ่งจากการสร้างของทีมเยาวชน แต่วันที่ย้ายออก เค้าคือกองหน้าตัวหลักทีมชาติอังกฤษที่มีความเร็วเป็นอาวุธ และได้เซ็นสัญญากับ รีล มาดริด ในยุคที่เริ่มประกาศตัวเป็นกาแลคติกอส ออกล่าซูเปอร์สตาร์จากทั่วทุกมุมโลก ... โอเว่นได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งใน "ระดับโลก" ที่มาดริดต้องการมาร่วมทีมด้วย
ชาบี อลอนโซ่... เป็นแค่กองกลางจากทีมกลางตารางในสเปน ก้าวมาเป็นมิดฟิลด์ตัวจ่ายที่หวังผลได้ทั้งรุกและรับ เป็นคนที่สร้างความสมดุลให้กับแผงกลางของลิเวอร์พูลในยุคหลังได้ดีที่สุด อลอนโซ่รับ เจอร์ราร์ดรุก และแน่นอนว่าเสร็จ รีล มาดริด ไปอีกราย (และหลังจากอลอนโซ่ย้ายออกไป ก็ทำให้เกิดเอฟเฟคอย่างรุนแรงกับทีม หลุดออกจากการลุ้นอันดับไปเล่นแชมเปี้ยนส์ลีก และแผงกลางลิเวอร์พูลก็ไม่เคยทำผลงานได้ดีขนาดนั้นอีกเลย)
ฮาเวียร์ มาสเคราโน่... อีกหนึ่งดาวรุ่งที่เลือกย้ายจากทีมระดับท็อปในอเมริกาใต้ มาประสบปัญหาในการปรับตัวกับทีมกลางตารางอย่างเวสต์แฮม จนถึงขั้นหลุดไปเป็นตัวสำรอง ไม่มีแม้แต่โอกาสจะลงเล่น แต่ก็เป็นราฟาที่ยื่นโอกาสในการร่วมทีมลิเวอร์พูลให้ และเมื่อมาสเคปรับตัวให้เข้ากับระบบของราฟาได้ ก็ทำให้เกิดสามเหลี่ยมสุดคลาสสิค เป็นแผงกลางที่ดีที่สุด มาสเคตัดเกม อลอนโซ่จ่าย เจอร์ราร์ดรุก และในที่สุดก็เป็นบาร์เซโลน่าที่รับตัวไปคุมเกมรับของพวกเขาต่อ
เฟร์นานโด ตอร์เรส... เป็นดาวรุ่งที่น่าจับตาของ แอตโลติโก มาดริด ก็จริงอยู่ แต่สถิติการยิงประตูในเวลานั้นก็ยังห่างไกลจากค่าเฉลี่ยปกติที่กองหน้าคมๆ ควรทำได้ ตอร์เรสไม่ใช่กองหน้าที่ยิงเยอะมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว เป็นลิเวอร์พูลในยุคที่มีอลอนโซ่ มาสเคราโน่ เจอร์ราร์ด ต่างหาก ที่คอยคุมเกมและประเคนบอลให้ตอร์เรสยิงเอาๆ จนกลายเป็นกองหน้าระดับท็อปของพรีเมียร์ลีก จนเชลซีทุ่มเงินซื้อไปด้วยค่าตัวระดับสถิติของลีกในเวลานั้น
และกับคนล่าสุด... หลุยส์ ซัวเรซ เป็นคนที่ดูจะใกล้เคียงกับความเป็น "ระดับโลก" ในวันที่ลิเวอร์พูลเซ็นสัญญาด้วยที่สุดแล้วเมื่อเทียบกับหลายๆ คนที่ผ่านมา ซัวเรซย้ายมาร่วมทีมลิเวอร์พูลด้วยดีกรีดาวซัลโวจากลีกดัตช์ และใช้เวลาไม่นานเลยในการแสดงออกถึงระดับของตัวเขาในการเล่นฟุตบอล ถึงแม้จะมีพฤติกรรมในสนามหลายอย่างที่ไม่เหมาะสม ทั้งใช้มือปัดบอลในฟุตบอลโลก 2010, กัดแขนบรานิสลาฟ อิวาโนวิชจนโดนแบนยาว 9 นัด, เหยียดผิวปาทริช เอวร่า (ถึงแม้จะออกมาบอกว่าทำไปด้วยความเข้าใจผิดด้วยบริบทของภาษาก็ตาม), และล่าสุดกับการกัด จอร์โจ้ คิเอลลินี่จนโดนแบนรุนแรงที่สุดตั้งแต่ตัวเองโดนมา แต่ถึงอย่างไร ถ้าให้แฟนลิเวอร์พูลเลือกว่าอยากเก็บไว้ หรืออยากขาย เชื่อว่าเสียงส่วนใหญ่ย่อมอยากมีซัวเรซเอาไว้ในทีมอยู่แล้ว เพราะเขาพิสูจน์แล้วว่าเป็นคนที่สามารถพลิกเกมและสร้างโอกาสได้มากมายในยามที่ทีมต้องการประตูเพื่อชนะ
ถ้ามองในแง่ดี คงต้องบอกว่า ไม่มีอะไรที่ต้องเสียใจกับการที่ซัวเรซกำลังจะย้ายออก ในเมื่อเราเคยปั้นนักเตะระดับโลกได้หลายต่อหลายคน แน่นอนว่าหลังจากนี้ เราก็ยังจะทำได้เหมือนเดิม กองเชียร์ทุกคนให้ความเชื่อมั่นกับระบบทีมของรอดเจอร์สอยู่มาก มากจนเชื่อว่าการเสียซัวเรซไป ก็เป็นแค่การเสียกองหน้าคนหนึ่ง ซึ่งสามารถทดแทนได้หากเราได้กองหน้าที่เล่นเข้าระบบได้มาเสริม ทีมก็ยังเดินหน้าต่อไปได้เหมือนปกติ และเงินค่าตัวที่ได้จากการขายซัวเรซไป ก็จะทำให้ทีมมีเงินมากพอที่จะซื้อผู้เล่นที่มีเกรดสูงกว่าที่ผ่านมา อาจจะได้ถึง 2-3 คนเลยด้วยซ้ำ แถมเวลานี้ เรายังมีโอกาสในการเล่นแบมเปี้ยนส์ลีกที่จะมอบให้พวกเขาเหล่านั้น เพื่อโน้มน้าวให้มาสร้างฝันด้วยการที่แอนฟิลด์แห่งนี้
แต่ถ้ามองในอีกมุม ต้องบอกว่าน่าเสียดาย ที่ครั้งนี้จะเป็นอีกครั้งที่ลิเวอร์พูลไม่สามารถเหนี่ยวรั้งนักเตะระดับโลกให้อยู่กับทีมต่อไปได้ ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง ทั้งการขาดแคลนความสำเร็จในช่วงหลัง ขนาดของทีม สตาร์ในทีม เงินอัดฉีดทีมในแต่ละปี เพดานค่าเหนื่อยของทีม ฯลฯ
ในขณะที่ทีมอื่นๆ กำลังเดินหน้าพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ลิเวอร์พูลกลับทำได้แค่ขายฝันและอดีตของตัวเองอยู่ซ้ำๆ เป็นความจริงที่โหดร้าย ที่แฟนลิเวอร์พูลอย่างผมเองบางทีก็เถียงไม่ออกจริงๆ
ในขณะที่เราค่อยๆ เสียสตาร์ไปทีละคน... แมนยูไนเต็ดได้แชมป์ลีกเยอะกว่าลิเวอร์พูลไปแล้ว อาร์เซนอลเริ่มฉีกเพดานของตัวเองด้วยการซื้อ "ระดับโลก" ด้วยเงินก้อนโตแล้ว แมนซิตี้ที่เคยตกชั้น ก็กลายเป็นทีมระดับลุ้นแชมป์ไปแล้ว (และลุ้นสำเร็จไปแล้วสองครั้งด้วยกัน) หรือแม้แต่สเปอร์ส ก็กลายเป็นทีมที่ดึงดูดเป้าหมายหลายๆ คนของลิเวอร์พูล ได้ดีกว่าลิเวอร์พูลเองไปแล้ว (เดมป์ซีย์, ชิกูร์ดสัน, คริสเตียน เอริคเซ่น)
ท่ามกลางความสูญเสียที่กำลังจะเกิดขึ้นจากการเสียซัวเรซไป สิ่งหนึ่งที่ทำให้แฟนๆ ลิเวอร์พูลยังพอมองเห็นอนาคตของทีมได้ นั่นคือระบบการเล่นของทีมที่รอดเจอร์สได้วางเอาไว้ และเริ่มออกดอกออกผลในปีที่ผ่านมา จากการก้าวขึ้นไปเป็นทีมที่มีโอกาสลุ้นแชมป์จนนัดสุดท้าย, เป็นหนึ่งในสองทีม ที่ยิงทะลุร้อยลูก เยอะเป็นอันดับสองรองจากแมนซิตี้แค่ลุกเดียวเท่านั้น และเก็บชัยชนะเยอะเป็นอันดับสอง รองจากแมนซิตี้แค่นัดเดียวอีกเช่นกัน
อีกแค่เดือนกว่าๆ เราก็จะได้รู้กันแล้วว่าผลงานในปีที่ผ่านมา เกิดขึ้นจากระบบของรอดเจอร์สจริงๆ หรือเกิดขึ้นจากฝีเท้าของซัวเรซที่ยกระดับตัวเองขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนก้าวขึ้นมาเป็นดาวยิงที่ดีที่สุดของลีกและทำให้ทีมบินสูงกันแน่
การที่ซัวเรซจะย้ายออก เป็นเรื่องที่ผมรับได้ เพราะผมไม่คาดหวังให้ลิเวอร์พูลสามารถเก็บนักเตะระดับโลกทุกคนไว้กับทีมได้จนพ้นวันที่พวกเค้าเหล่านั้นเลยจุดสูงสุดในอาชีพการค้าแข้งไปแล้ว ถึงค่อยปล่อยเค้าออกจากทีมหรอก ผมรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ สเปอร์สเคยเสียเบลให้มาดริดมาแล้ว อาร์เซนอลเสียกัปตันของตัวเองแทบทุกปีจนกลายเป็นเรื่องตลกร้ายไปแล้ว หรือแม้แต่แมนยูไนเต็ดเองก็ยังเสียโรนัลโด้ในวันที่พีคที่สุดให้กับมาดริดเลย ทุกอย่างมันเป็นวัฏจักรของอาชีพนักฟุตบอล ซึ่งความรักภักดีที่นักเตะจะมีให้สโมสรหนึ่ง คงถือได้ว่าเป็นโบนัสที่แสนวิเศษสำหรับแฟนบอลเท่านั้นเอง
แต่หลังจากที่เราเสียซัวเรซไปจริงๆ ในใจผมภาวนาอยู่สามอย่าง
หนึ่ง... ขอให้ระบบทีมที่รอดเจอร์สวางไว้ เป็นของจริง และพิสูจน์ให้ได้ว่าที่ทีมบินสูง เป็นเพราะระบบ ไม่ใช่เพราะใครคนใดคนหนึ่ง
สอง... ขอให้ทีมปั้นนักเตะระดับโลกคนต่อๆ ไปได้สำเร็จ ทั้งคนที่จะมาแทนซัวเรซ และคนที่จะมาแทนนักเตะระดับโลกคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ในทีมอย่าง เจอร์ราร์ด ที่เริ่มโรยราเข้าไปทุกทีๆ
และ สาม... ขอให้ข้อหนึ่งกับข้อสองรวมกันให้สำเร็จ ขอให้ทีมบินสูงจากระบบที่มีนักเตะระดับโลกเป็นองค์ประกอบ ซึ่งหากข้อสามเกิดขึ้นได้จริง ผมเชื่อว่าปรากฏการณ์การเสียนักเตะระดับโลก น่าจะลดน้อยถอยลงไปบ้าง
หรืออย่างแย่ เราก็แค่มีนักเตะระดับโลกให้เสียไปเยอะขึ้นเท่านั้นเอง
จากนี้ไป หากซัวเรซย้ายไปบาร์เซโลน่าจริงๆ ผมขอให้เขาทำผลงานได้ดีไม่น้อยไปกว่าปีสุดท้ายที่เค้าทำให้กับลิเวอร์พูล อย่าให้ใครว่าได้ว่าเค้าไม่เก่งจริง หรือได้ดีเพราะลูกตุกติก หรือเป็นแค่ไอ้ขี้โกงคนหนึ่ง เพราะจากผลงานในปีที่ผ่านมา ผมเชื่อว่าซัวเรซคือของจริง คือกองหน้าระดับโลกในเกรดเดียวกับเมสซี่ โรนัลโด้ ซลาตัน
จะมีกองหน้าสักกี่คนที่ครบเครื่องมากขนาดนี้ ทั้งยิง จ่าย เลี้ยง ยิงฟรีคิก จนสามารถพุดได้เต็มปากว่า อะไรที่ทำให้หวังให้เกิดประตูได้ ซัวเรซก็ทำได้หมด
ขอให้ประสบความสำเร็จเยอะๆ ได้เหรียญแชมป์ ได้ชูถ้วยแชมป์ ได้สร้างสถิติมากมายหลังจากนี้ ให้คนได้พูดถึงในฐานะของ....
"นักเตะระดับโลกคนหนึ่ง"
"Liverpool don't buy World Class players. We make them."
จากการเฝ้าติดตามข่าวคราวความคืบหน้าการย้ายทีมของซัวเรซ, อเล็กซิส ซานเชซ, ลาซาร์ มาร์โควิช ในช่วง 2-3 วันนี้ มีประโยคหนึ่งที่ผมเห็นผ่านตาทางทวิตเตอร์แล้วเก็บมาคิดอยู่นานสองนาน ว่าควรจะดีใจ หรือเสียใจ หรือรู้สึกยังไงกับประโยคนี้กันแน่
"Liverpool don't buy World Class players. We make them."
ผมนึกไม่ออกจริงๆ ว่าผู้เล่นเกรดเอคนสุดท้ายที่เราเซ็นสัญญาด้วยคือใคร
นักเตะหลายต่อหลายคนเป็นแค่ผู้เล่นธรรมดา เกรด B ไปถึง B+ ในวันที่เค้าเหล่านั้นเซ็นสัญญากับลิเวอร์พูล ไม่มีใครสักคนที่เป็นผู้เล่นระดับโลกเกรด A ซื้อมาแล้วใช้งานได้เลย
ลิเวอร์พูลต่างหาก ที่ทำให้เขาเหล่านั้นกลายเป็นนักเตะ "ระดับโลก"
โอเว่น... เคยเป็นแค่เด็กปั้นดาวรุ่งคนหนึ่งจากการสร้างของทีมเยาวชน แต่วันที่ย้ายออก เค้าคือกองหน้าตัวหลักทีมชาติอังกฤษที่มีความเร็วเป็นอาวุธ และได้เซ็นสัญญากับ รีล มาดริด ในยุคที่เริ่มประกาศตัวเป็นกาแลคติกอส ออกล่าซูเปอร์สตาร์จากทั่วทุกมุมโลก ... โอเว่นได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งใน "ระดับโลก" ที่มาดริดต้องการมาร่วมทีมด้วย
ชาบี อลอนโซ่... เป็นแค่กองกลางจากทีมกลางตารางในสเปน ก้าวมาเป็นมิดฟิลด์ตัวจ่ายที่หวังผลได้ทั้งรุกและรับ เป็นคนที่สร้างความสมดุลให้กับแผงกลางของลิเวอร์พูลในยุคหลังได้ดีที่สุด อลอนโซ่รับ เจอร์ราร์ดรุก และแน่นอนว่าเสร็จ รีล มาดริด ไปอีกราย (และหลังจากอลอนโซ่ย้ายออกไป ก็ทำให้เกิดเอฟเฟคอย่างรุนแรงกับทีม หลุดออกจากการลุ้นอันดับไปเล่นแชมเปี้ยนส์ลีก และแผงกลางลิเวอร์พูลก็ไม่เคยทำผลงานได้ดีขนาดนั้นอีกเลย)
ฮาเวียร์ มาสเคราโน่... อีกหนึ่งดาวรุ่งที่เลือกย้ายจากทีมระดับท็อปในอเมริกาใต้ มาประสบปัญหาในการปรับตัวกับทีมกลางตารางอย่างเวสต์แฮม จนถึงขั้นหลุดไปเป็นตัวสำรอง ไม่มีแม้แต่โอกาสจะลงเล่น แต่ก็เป็นราฟาที่ยื่นโอกาสในการร่วมทีมลิเวอร์พูลให้ และเมื่อมาสเคปรับตัวให้เข้ากับระบบของราฟาได้ ก็ทำให้เกิดสามเหลี่ยมสุดคลาสสิค เป็นแผงกลางที่ดีที่สุด มาสเคตัดเกม อลอนโซ่จ่าย เจอร์ราร์ดรุก และในที่สุดก็เป็นบาร์เซโลน่าที่รับตัวไปคุมเกมรับของพวกเขาต่อ
เฟร์นานโด ตอร์เรส... เป็นดาวรุ่งที่น่าจับตาของ แอตโลติโก มาดริด ก็จริงอยู่ แต่สถิติการยิงประตูในเวลานั้นก็ยังห่างไกลจากค่าเฉลี่ยปกติที่กองหน้าคมๆ ควรทำได้ ตอร์เรสไม่ใช่กองหน้าที่ยิงเยอะมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว เป็นลิเวอร์พูลในยุคที่มีอลอนโซ่ มาสเคราโน่ เจอร์ราร์ด ต่างหาก ที่คอยคุมเกมและประเคนบอลให้ตอร์เรสยิงเอาๆ จนกลายเป็นกองหน้าระดับท็อปของพรีเมียร์ลีก จนเชลซีทุ่มเงินซื้อไปด้วยค่าตัวระดับสถิติของลีกในเวลานั้น
และกับคนล่าสุด... หลุยส์ ซัวเรซ เป็นคนที่ดูจะใกล้เคียงกับความเป็น "ระดับโลก" ในวันที่ลิเวอร์พูลเซ็นสัญญาด้วยที่สุดแล้วเมื่อเทียบกับหลายๆ คนที่ผ่านมา ซัวเรซย้ายมาร่วมทีมลิเวอร์พูลด้วยดีกรีดาวซัลโวจากลีกดัตช์ และใช้เวลาไม่นานเลยในการแสดงออกถึงระดับของตัวเขาในการเล่นฟุตบอล ถึงแม้จะมีพฤติกรรมในสนามหลายอย่างที่ไม่เหมาะสม ทั้งใช้มือปัดบอลในฟุตบอลโลก 2010, กัดแขนบรานิสลาฟ อิวาโนวิชจนโดนแบนยาว 9 นัด, เหยียดผิวปาทริช เอวร่า (ถึงแม้จะออกมาบอกว่าทำไปด้วยความเข้าใจผิดด้วยบริบทของภาษาก็ตาม), และล่าสุดกับการกัด จอร์โจ้ คิเอลลินี่จนโดนแบนรุนแรงที่สุดตั้งแต่ตัวเองโดนมา แต่ถึงอย่างไร ถ้าให้แฟนลิเวอร์พูลเลือกว่าอยากเก็บไว้ หรืออยากขาย เชื่อว่าเสียงส่วนใหญ่ย่อมอยากมีซัวเรซเอาไว้ในทีมอยู่แล้ว เพราะเขาพิสูจน์แล้วว่าเป็นคนที่สามารถพลิกเกมและสร้างโอกาสได้มากมายในยามที่ทีมต้องการประตูเพื่อชนะ
ถ้ามองในแง่ดี คงต้องบอกว่า ไม่มีอะไรที่ต้องเสียใจกับการที่ซัวเรซกำลังจะย้ายออก ในเมื่อเราเคยปั้นนักเตะระดับโลกได้หลายต่อหลายคน แน่นอนว่าหลังจากนี้ เราก็ยังจะทำได้เหมือนเดิม กองเชียร์ทุกคนให้ความเชื่อมั่นกับระบบทีมของรอดเจอร์สอยู่มาก มากจนเชื่อว่าการเสียซัวเรซไป ก็เป็นแค่การเสียกองหน้าคนหนึ่ง ซึ่งสามารถทดแทนได้หากเราได้กองหน้าที่เล่นเข้าระบบได้มาเสริม ทีมก็ยังเดินหน้าต่อไปได้เหมือนปกติ และเงินค่าตัวที่ได้จากการขายซัวเรซไป ก็จะทำให้ทีมมีเงินมากพอที่จะซื้อผู้เล่นที่มีเกรดสูงกว่าที่ผ่านมา อาจจะได้ถึง 2-3 คนเลยด้วยซ้ำ แถมเวลานี้ เรายังมีโอกาสในการเล่นแบมเปี้ยนส์ลีกที่จะมอบให้พวกเขาเหล่านั้น เพื่อโน้มน้าวให้มาสร้างฝันด้วยการที่แอนฟิลด์แห่งนี้
แต่ถ้ามองในอีกมุม ต้องบอกว่าน่าเสียดาย ที่ครั้งนี้จะเป็นอีกครั้งที่ลิเวอร์พูลไม่สามารถเหนี่ยวรั้งนักเตะระดับโลกให้อยู่กับทีมต่อไปได้ ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง ทั้งการขาดแคลนความสำเร็จในช่วงหลัง ขนาดของทีม สตาร์ในทีม เงินอัดฉีดทีมในแต่ละปี เพดานค่าเหนื่อยของทีม ฯลฯ
ในขณะที่ทีมอื่นๆ กำลังเดินหน้าพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ลิเวอร์พูลกลับทำได้แค่ขายฝันและอดีตของตัวเองอยู่ซ้ำๆ เป็นความจริงที่โหดร้าย ที่แฟนลิเวอร์พูลอย่างผมเองบางทีก็เถียงไม่ออกจริงๆ
ในขณะที่เราค่อยๆ เสียสตาร์ไปทีละคน... แมนยูไนเต็ดได้แชมป์ลีกเยอะกว่าลิเวอร์พูลไปแล้ว อาร์เซนอลเริ่มฉีกเพดานของตัวเองด้วยการซื้อ "ระดับโลก" ด้วยเงินก้อนโตแล้ว แมนซิตี้ที่เคยตกชั้น ก็กลายเป็นทีมระดับลุ้นแชมป์ไปแล้ว (และลุ้นสำเร็จไปแล้วสองครั้งด้วยกัน) หรือแม้แต่สเปอร์ส ก็กลายเป็นทีมที่ดึงดูดเป้าหมายหลายๆ คนของลิเวอร์พูล ได้ดีกว่าลิเวอร์พูลเองไปแล้ว (เดมป์ซีย์, ชิกูร์ดสัน, คริสเตียน เอริคเซ่น)
ท่ามกลางความสูญเสียที่กำลังจะเกิดขึ้นจากการเสียซัวเรซไป สิ่งหนึ่งที่ทำให้แฟนๆ ลิเวอร์พูลยังพอมองเห็นอนาคตของทีมได้ นั่นคือระบบการเล่นของทีมที่รอดเจอร์สได้วางเอาไว้ และเริ่มออกดอกออกผลในปีที่ผ่านมา จากการก้าวขึ้นไปเป็นทีมที่มีโอกาสลุ้นแชมป์จนนัดสุดท้าย, เป็นหนึ่งในสองทีม ที่ยิงทะลุร้อยลูก เยอะเป็นอันดับสองรองจากแมนซิตี้แค่ลุกเดียวเท่านั้น และเก็บชัยชนะเยอะเป็นอันดับสอง รองจากแมนซิตี้แค่นัดเดียวอีกเช่นกัน
อีกแค่เดือนกว่าๆ เราก็จะได้รู้กันแล้วว่าผลงานในปีที่ผ่านมา เกิดขึ้นจากระบบของรอดเจอร์สจริงๆ หรือเกิดขึ้นจากฝีเท้าของซัวเรซที่ยกระดับตัวเองขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนก้าวขึ้นมาเป็นดาวยิงที่ดีที่สุดของลีกและทำให้ทีมบินสูงกันแน่
การที่ซัวเรซจะย้ายออก เป็นเรื่องที่ผมรับได้ เพราะผมไม่คาดหวังให้ลิเวอร์พูลสามารถเก็บนักเตะระดับโลกทุกคนไว้กับทีมได้จนพ้นวันที่พวกเค้าเหล่านั้นเลยจุดสูงสุดในอาชีพการค้าแข้งไปแล้ว ถึงค่อยปล่อยเค้าออกจากทีมหรอก ผมรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ สเปอร์สเคยเสียเบลให้มาดริดมาแล้ว อาร์เซนอลเสียกัปตันของตัวเองแทบทุกปีจนกลายเป็นเรื่องตลกร้ายไปแล้ว หรือแม้แต่แมนยูไนเต็ดเองก็ยังเสียโรนัลโด้ในวันที่พีคที่สุดให้กับมาดริดเลย ทุกอย่างมันเป็นวัฏจักรของอาชีพนักฟุตบอล ซึ่งความรักภักดีที่นักเตะจะมีให้สโมสรหนึ่ง คงถือได้ว่าเป็นโบนัสที่แสนวิเศษสำหรับแฟนบอลเท่านั้นเอง
แต่หลังจากที่เราเสียซัวเรซไปจริงๆ ในใจผมภาวนาอยู่สามอย่าง
หนึ่ง... ขอให้ระบบทีมที่รอดเจอร์สวางไว้ เป็นของจริง และพิสูจน์ให้ได้ว่าที่ทีมบินสูง เป็นเพราะระบบ ไม่ใช่เพราะใครคนใดคนหนึ่ง
สอง... ขอให้ทีมปั้นนักเตะระดับโลกคนต่อๆ ไปได้สำเร็จ ทั้งคนที่จะมาแทนซัวเรซ และคนที่จะมาแทนนักเตะระดับโลกคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ในทีมอย่าง เจอร์ราร์ด ที่เริ่มโรยราเข้าไปทุกทีๆ
และ สาม... ขอให้ข้อหนึ่งกับข้อสองรวมกันให้สำเร็จ ขอให้ทีมบินสูงจากระบบที่มีนักเตะระดับโลกเป็นองค์ประกอบ ซึ่งหากข้อสามเกิดขึ้นได้จริง ผมเชื่อว่าปรากฏการณ์การเสียนักเตะระดับโลก น่าจะลดน้อยถอยลงไปบ้าง
หรืออย่างแย่ เราก็แค่มีนักเตะระดับโลกให้เสียไปเยอะขึ้นเท่านั้นเอง
จากนี้ไป หากซัวเรซย้ายไปบาร์เซโลน่าจริงๆ ผมขอให้เขาทำผลงานได้ดีไม่น้อยไปกว่าปีสุดท้ายที่เค้าทำให้กับลิเวอร์พูล อย่าให้ใครว่าได้ว่าเค้าไม่เก่งจริง หรือได้ดีเพราะลูกตุกติก หรือเป็นแค่ไอ้ขี้โกงคนหนึ่ง เพราะจากผลงานในปีที่ผ่านมา ผมเชื่อว่าซัวเรซคือของจริง คือกองหน้าระดับโลกในเกรดเดียวกับเมสซี่ โรนัลโด้ ซลาตัน
จะมีกองหน้าสักกี่คนที่ครบเครื่องมากขนาดนี้ ทั้งยิง จ่าย เลี้ยง ยิงฟรีคิก จนสามารถพุดได้เต็มปากว่า อะไรที่ทำให้หวังให้เกิดประตูได้ ซัวเรซก็ทำได้หมด
ขอให้ประสบความสำเร็จเยอะๆ ได้เหรียญแชมป์ ได้ชูถ้วยแชมป์ ได้สร้างสถิติมากมายหลังจากนี้ ให้คนได้พูดถึงในฐานะของ....
"นักเตะระดับโลกคนหนึ่ง"