นานๆจะมีสาระกับเค้าสักที ^^
การปกครองในโลก แบ่งคร่าวก็ได้ 4 แบบ คือ เผด็จการทหาร, ราชาธิปไตย, ประชาธิไตย และคอมมิวนิสต์
แต่จะคุยแค่ 2 อย่างสุดท้ายที่เรายังไม่ค่อยคุ้นเคยกันครับ
บทนำนิดหน่อย - มนุษย์เป็นสัตว์สังคม แปลว่า เราต้องอยู่ร่วมกันหลายๆคน เพราะฉะนั้นเมื่ออยู่ร่วมกันหลายๆคนก็ต้องมีคนที่เป็นผู้นำ
- แต่ความเป็นจริงคือ พระเจ้ายังไม่สามารถสร้างมนุษย์ให้เท่ากันทุกคนได้เลย (อันที่จริงผมเชื่อว่าไม่มีพระเจ้านะครับ ผมหมายถึงธรรมชาติต่างหาก แต่ช่างเหอะ ไม่ใช่ประเด็น)
เรื่องที่ไม่น่าเชื่อคือว่าทั้ง คอมมิวนิสต์ และประชาธิปไตย ซึ่งแทบจะเป็น 2 แนวคิดที่แตกต่างกันสุดขั้ว ตั้งอยู่บนพื้นฐานเดียวกันคือ "มนุษย์เรา เท่าเทียมกัน"
"The worst form of inequality is to try to make unequal things equal." / Aristotle
แต่การที่จะให้ทุกคนเท่าเทียมกันนั้น เราก็ต้องมีกฎเกณฑ์เล็กน้อยว่า จะเอาคนกลุ่มไหนมาเท่าเทียมกัน และเท่าเทียมกันด้วยเหตุใดบ้าง
-เด็กทารก
....สิทธิ์ที่กฎหมายให้ - สิทธิ์ในความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกับผู้ใหญ่ (คนไปฆ่าเด็ก ย่อมโดนโทษเหมือนฆ่าผู้ใหญ่)
....สิทธิ์ที่กฎหมายจำกัด (อันที่จริงน่าจะบอกว่าถูกจำกัดด้วยธรรมชาติมากกว่า) - สิทธิ์ในการทำนิติกรรม, สิทธิ์ในการเดินทางไปไหนมาไหน ฯลฯ
-คนวิกลจริต ก็คล้ายๆเด็ก
....สิทธิ์ที่กฎหมายให้ - สิทธิ์ในความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกับคนปกติ คือ ไม่มีใครมีสิทธิ์ไปทำร้ายร่างกาย ไม่มีสิทธิ์ไปฆ่าเค้า ฯลฯ
....สิทธิ์ที่กฎหมายจำกัด (อันที่จริงน่าจะบอกว่าถูกจำกัดด้วยธรรมชาติมากกว่า) - สิทธิ์ในการทำนิติกรรม, สิทธิ์ในการเลือกตั้ง ฯลฯ
-คนปัญญาอ่อน อันนี้ก็เหมือนกัน
....สิทธิ์ที่กฎหมายให้ - สิทธิ์ในความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกับคนปกติ คือ ไม่มีใครมีสิทธิ์ไปทำร้ายร่างกาย ไม่มีสิทธิ์ไปฆ่าเค้า ฯลฯ
....สิทธิ์ที่กฎหมายจำกัด (อันที่จริงน่าจะบอกว่าถูกจำกัดด้วยธรรมชาติมากกว่า) - สิทธิ์ในการทำนิติกรรม, สิทธิ์ในการเลือกตั้ง ฯลฯ
ซึ่งการที่สิทธิ์บางประการถูกจำกัด ในบุคคลแต่ละจำพวกมีเหมือนกันทั้งในระบอบคอมมิวนิสต์ และระบอบประชาธิปไตยครับ (ผมยังไม่เคยเห็นคนวิกลจริตเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์นะครับ)
เอาล่ะเข้าเรื่องการปกครองกัน - หลังจากที่เราได้คนกลุ่มนึงที่ "ถูกสมมติ" ว่าเท่าเทียมกันมาแล้ว
1.ในระบอบประชาธิปไตย - เมื่อทุกคนเท่ากัน (เอาเฉพาะคนที่เท่ากันมานะ คนที่ไม่อยู่ในเกณฑ์ไม่เอามาคิด) เพราะฉะนั้นเวลาเลือกผู้นำก็คือ นับคะแนนเสียงว่าใครได้เสียงสนับสนุนเยอะกว่า โดยทุกคนมี 1 เสียงเท่ากัน
2.ในระบอบคอมมิวนิสต์ - เมื่อทุกคนเท่ากัน
----พรรคการเมือง ก็มีพรรคเดียวก็ได้ เพราะจะมีกี่พรรค มันก็เท่ากัน
----การเลือกตั้ง ไม่ต้องมีก็ได้ (ใช้คำว่า "ก็ได้" นะครับ เพราะบางทีมันก็มี) ใช้ระบบที่ว่าให้ตัวแทนของประชาชน (ก็คือ สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์น่ะแหล่ะ เลือกผู้นำให้) เพราะทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่ว่าใครจะเลือก ก็เหมือนกัน
ง่ายๆแค่นี้เองครับ
แถมนิดนึงระบบเศรษฐกิจก็ทำนองคล้ายๆกัน โดยแบ่งออกเป็น ทุนนิยม และสังคมนิยม
สมมติ นาย ก. และ นาย ข. ทำงานเป็นกรรมกรแบกข้าวสารเหมือนกัน แต่นาย ก. แข็งแรงกว่า แบกได้วันละ 50 กระสอบ นาย ข. แบกได้วันละ 40 กระสอบ
-ระบบทุนนิยม จะมองที่ เงินทุน ซึ่งจะคิดทำนองว่าค่าจ้างในการแบกข้าวสารควรเป็นกระสอบละเท่าไหร่ (คือความเท่าเทียม วัดจากจำนวนกระสอบที่แบกได้) เพราะฉะนั้นคนที่แบกได้มากกว่า ก็ย่อมต้องได้เงินมากกว่า เหมือนกับที่บอกว่า พนักงานในบริษัทเดียวกัน ตำแหน่งเดียวกัน ยังได้เงินเดือนไม่เท่ากัน อันนี้มักพบในระบอบประชาธิปไตย
-ระบบสังคมนิยม จะมองที่ สังคม นั่นคือตัดในสิ่งที่พระเจ้าให้มาไม่เท่ากันออก (คือ ความแข็งแรงของร่างกาย) แต่จะถือว่าในสังคมเดียวกัน (คือสังคมของคนแบกข้าวสาร ต้องเท่าเทียมกัน) นั่นคือ จะได้เงินเดือนเท่ากัน (เท่าที่จำได้เมื่อก่อนเวียดนามใช้ระบบนี้ ไม่แน่ใจว่าตอนนี้เปลี่ยนยังครับ)
"la démocratie est un mauvais système mais elle est le moins mauvais de tous les systèmes."
จำไม่ได้ว่าเอามาจากใคร แปลประมาณว่า "ประชาธิปไตยเป็นระบอบที่แย่ แต่ก็แย่น้อยที่สุด"
จบแล้วครับ
ผมเชื่อแล้วล่ะว่าคนที่ไม่เข้าใจในระบอบประชาธิปไตยมีอยู่เยอะจริงๆครับ
การปกครองในโลก แบ่งคร่าวก็ได้ 4 แบบ คือ เผด็จการทหาร, ราชาธิปไตย, ประชาธิไตย และคอมมิวนิสต์
แต่จะคุยแค่ 2 อย่างสุดท้ายที่เรายังไม่ค่อยคุ้นเคยกันครับ
บทนำนิดหน่อย - มนุษย์เป็นสัตว์สังคม แปลว่า เราต้องอยู่ร่วมกันหลายๆคน เพราะฉะนั้นเมื่ออยู่ร่วมกันหลายๆคนก็ต้องมีคนที่เป็นผู้นำ
- แต่ความเป็นจริงคือ พระเจ้ายังไม่สามารถสร้างมนุษย์ให้เท่ากันทุกคนได้เลย (อันที่จริงผมเชื่อว่าไม่มีพระเจ้านะครับ ผมหมายถึงธรรมชาติต่างหาก แต่ช่างเหอะ ไม่ใช่ประเด็น)
เรื่องที่ไม่น่าเชื่อคือว่าทั้ง คอมมิวนิสต์ และประชาธิปไตย ซึ่งแทบจะเป็น 2 แนวคิดที่แตกต่างกันสุดขั้ว ตั้งอยู่บนพื้นฐานเดียวกันคือ "มนุษย์เรา เท่าเทียมกัน"
แต่การที่จะให้ทุกคนเท่าเทียมกันนั้น เราก็ต้องมีกฎเกณฑ์เล็กน้อยว่า จะเอาคนกลุ่มไหนมาเท่าเทียมกัน และเท่าเทียมกันด้วยเหตุใดบ้าง
-เด็กทารก
....สิทธิ์ที่กฎหมายให้ - สิทธิ์ในความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกับผู้ใหญ่ (คนไปฆ่าเด็ก ย่อมโดนโทษเหมือนฆ่าผู้ใหญ่)
....สิทธิ์ที่กฎหมายจำกัด (อันที่จริงน่าจะบอกว่าถูกจำกัดด้วยธรรมชาติมากกว่า) - สิทธิ์ในการทำนิติกรรม, สิทธิ์ในการเดินทางไปไหนมาไหน ฯลฯ
-คนวิกลจริต ก็คล้ายๆเด็ก
....สิทธิ์ที่กฎหมายให้ - สิทธิ์ในความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกับคนปกติ คือ ไม่มีใครมีสิทธิ์ไปทำร้ายร่างกาย ไม่มีสิทธิ์ไปฆ่าเค้า ฯลฯ
....สิทธิ์ที่กฎหมายจำกัด (อันที่จริงน่าจะบอกว่าถูกจำกัดด้วยธรรมชาติมากกว่า) - สิทธิ์ในการทำนิติกรรม, สิทธิ์ในการเลือกตั้ง ฯลฯ
-คนปัญญาอ่อน อันนี้ก็เหมือนกัน
....สิทธิ์ที่กฎหมายให้ - สิทธิ์ในความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกับคนปกติ คือ ไม่มีใครมีสิทธิ์ไปทำร้ายร่างกาย ไม่มีสิทธิ์ไปฆ่าเค้า ฯลฯ
....สิทธิ์ที่กฎหมายจำกัด (อันที่จริงน่าจะบอกว่าถูกจำกัดด้วยธรรมชาติมากกว่า) - สิทธิ์ในการทำนิติกรรม, สิทธิ์ในการเลือกตั้ง ฯลฯ
ซึ่งการที่สิทธิ์บางประการถูกจำกัด ในบุคคลแต่ละจำพวกมีเหมือนกันทั้งในระบอบคอมมิวนิสต์ และระบอบประชาธิปไตยครับ (ผมยังไม่เคยเห็นคนวิกลจริตเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์นะครับ)
เอาล่ะเข้าเรื่องการปกครองกัน - หลังจากที่เราได้คนกลุ่มนึงที่ "ถูกสมมติ" ว่าเท่าเทียมกันมาแล้ว
1.ในระบอบประชาธิปไตย - เมื่อทุกคนเท่ากัน (เอาเฉพาะคนที่เท่ากันมานะ คนที่ไม่อยู่ในเกณฑ์ไม่เอามาคิด) เพราะฉะนั้นเวลาเลือกผู้นำก็คือ นับคะแนนเสียงว่าใครได้เสียงสนับสนุนเยอะกว่า โดยทุกคนมี 1 เสียงเท่ากัน
2.ในระบอบคอมมิวนิสต์ - เมื่อทุกคนเท่ากัน
----พรรคการเมือง ก็มีพรรคเดียวก็ได้ เพราะจะมีกี่พรรค มันก็เท่ากัน
----การเลือกตั้ง ไม่ต้องมีก็ได้ (ใช้คำว่า "ก็ได้" นะครับ เพราะบางทีมันก็มี) ใช้ระบบที่ว่าให้ตัวแทนของประชาชน (ก็คือ สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์น่ะแหล่ะ เลือกผู้นำให้) เพราะทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่ว่าใครจะเลือก ก็เหมือนกัน
ง่ายๆแค่นี้เองครับ
แถมนิดนึงระบบเศรษฐกิจก็ทำนองคล้ายๆกัน โดยแบ่งออกเป็น ทุนนิยม และสังคมนิยม
สมมติ นาย ก. และ นาย ข. ทำงานเป็นกรรมกรแบกข้าวสารเหมือนกัน แต่นาย ก. แข็งแรงกว่า แบกได้วันละ 50 กระสอบ นาย ข. แบกได้วันละ 40 กระสอบ
-ระบบทุนนิยม จะมองที่ เงินทุน ซึ่งจะคิดทำนองว่าค่าจ้างในการแบกข้าวสารควรเป็นกระสอบละเท่าไหร่ (คือความเท่าเทียม วัดจากจำนวนกระสอบที่แบกได้) เพราะฉะนั้นคนที่แบกได้มากกว่า ก็ย่อมต้องได้เงินมากกว่า เหมือนกับที่บอกว่า พนักงานในบริษัทเดียวกัน ตำแหน่งเดียวกัน ยังได้เงินเดือนไม่เท่ากัน อันนี้มักพบในระบอบประชาธิปไตย
-ระบบสังคมนิยม จะมองที่ สังคม นั่นคือตัดในสิ่งที่พระเจ้าให้มาไม่เท่ากันออก (คือ ความแข็งแรงของร่างกาย) แต่จะถือว่าในสังคมเดียวกัน (คือสังคมของคนแบกข้าวสาร ต้องเท่าเทียมกัน) นั่นคือ จะได้เงินเดือนเท่ากัน (เท่าที่จำได้เมื่อก่อนเวียดนามใช้ระบบนี้ ไม่แน่ใจว่าตอนนี้เปลี่ยนยังครับ)
จำไม่ได้ว่าเอามาจากใคร แปลประมาณว่า "ประชาธิปไตยเป็นระบอบที่แย่ แต่ก็แย่น้อยที่สุด"
จบแล้วครับ