วันนี้ได้มีโอกาส ดูหนัง Begin Again ซึ่งเป็นหนังเรื่องนึงที่ผมเฝ้ารอ และต้องไปดูในโรงให้ได้ เพราะเห็นว่า ทั้งผู้กำกับ และผู้เขียนบท คือJohn Carney ซึ่งได้ฝากผลงานที่น่าประทับใจอย่าง ONCE หนังเรื่องโปรดของผม โดยก่อนเข้าโรง ได้อ่านรีวิวหลายๆกระทู้รวมไปถึง ตัวนักแสดงเอง ก็พอรู้ว่า หนังมีความเป็นตลาดมากขึ้นแต่พอได้ดูจริง กลับมีความเป็นตลาดมากกว่าที่คาดไว้เยอะมาก จนทำให้หลายสิ่งหลายๆอย่างที่ผมชอบในตัวหนังของ ONCEไม่ดรอปลงก็หายไปเลย
1.ข้อแรกเลยที่ผมจะพูดถึงก็คือเรื่องมุมกล้อง และตัวกล้องที่ใช้ถ่ายทอดเนื้อหาหนัง ความหยาบของกล้องบวกกับการสั่นของกล้องเล็กน้อยที่เจอในเรื่อง ONCE กลับถูกทดแทนด้วยกล้องที่ดูเป็นหนังใหญ่มากขึ้น แต่ความใกล้ชิดกับตัวละคร กลับลดน้อยลง ถ้าคุณเคยดูONCEคุณจะรู้ว่า ความหยาบ ของกล้องนั้น ไม่ใช่ข้อเสียแต่กลับเป็นข้อดีของหนังเพราะมันทำให้เรา รู้สึกอินไปกับตัวหนังมาก เหมือนเราได้ติดตามตัวเดินเรื่องนั้นอย่างใกล้ชิด จนถึงขั้น ตามถือกล้องอัดเองเลยก็ว่าได้ แต่ด้วยหนังที่ใช้กล้องไม่ต่างกับหนังฮอลลิวูดทั่วไปทำให้ คนดูกับตัวละคร ห่างเหินกันมากขึ้น
2.ความสำคัญของเพลง ซึ่งเรื่องนี้ได้ลดบทบาทของเนื้อเพลงลงมากจนแทบจะเป็นตัวประกอบเพื่อดำเนินเรื่อง ต่างจากONCE ที่แทบจะใช้เนื้อเพลงเป็นตัวเอก ตัวเดินเรื่องเลย การบอกอดีต ความรู้สึกของตัวละคร การพบเจอ การจากลา ทุกอย่างสื่อผ่านเนื้อเพลงทั้งสิ้น ต่างจาก บีกิน อเกน ที่กลับใช้การแฟลชแบก เล่าเรื่องในอดีต และใช้คำพูดทั่วไปบ่งบอกความรู้สึกของตัวละคร ไม่ต่างจากหนังทั่วไป และใช้เพลงในการประคองเรื่อง ทำให้เนื้อเพลงลดความสำคัญลงไป
3.ถ้าพูดถึงตัวเพลงก็ต้องพูดถึงฉาก ร้องเพลง ซึ่ง ONCE สื่อออกมาได้น่าประทับใจและน่าจดจำกว่าเยอะ ไม่ว่าจะเป็นฉากที่ พระเอกเล่นกีตาร์ เพลง Falling Slowly และให้นางเอกเล่นเปียโน คลอไปด้วย หรือจะเป็นฉากที่นางเอกแต่งเพลงที่พระเอกทิ้งโจทย์ไว้ให้ ฉากเดินกลับบ้านจากการไปซื้อถ่านไฟฉาย และ ฉากที่นางเอกเล่นเปียโนเพลงThe Hillให้พระเอกฟัง ซึ่งเนื้อหาของเพลงได้ถูกใส่มาในฉากได้ตรงเวลา และ สื่อถึงความรู้สึก ความคิดของตัวละครนั้นออกมาอย่างสวยงาม และไพเราะ Begin Again ก็มีฉากที่ว่าเหมือนกัน แต่ทำออกมาได้ไม่น่าประทับใจและน่าจดจำเท่า ถ้าสังเกตดีๆ Begin Again จะไม่มีฉาก ที่ตัวละครเล่นเพลงหรือร้องเพลงคนเดียวเลย ซึ่ง ความเป็นMusical ของหนังแทบจะหาไม่เจอเลย
4.ข้อนี้ อารมณ์ส่วนตัวของผมล้วนๆครับ เรื่องความรู้สึกหลังชม หรืออารมณ์ตอนหนังจบ บทสรุปของONCE ทำออกมาได้ดีกว่า มันเศร้าลึก และจับใจกว่า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ส่วนBegin Again จะสรุปไปในทางที ฟีล กู๊ดกว่ามากๆ
สรุปคือผลงานก่อนของผู้กำกับท่านนี้ ถ่ายทำได้หยาบกว่า แต่กลับมีความละเอียดกว่าทั้งทางด้านเนื้อหาและอารมณ์ของตัวหนัง
สุดท้ายนี้ผมขอฝากว่าที่เขียนมาทั้งหมดนี้ไม่ใช่ หนังเรื่องนี้ไม่ดี หนังเรื่องนี้ดีมากครับ ให้ข้อคิดในหลายๆเรื่อง แต่ที่เขียนถึงนั้นเป็นแค่สิ่งที่ขาดหายไป จากที่คิดไว้ และเป็นความเห็นส่วนตัวของผมทั้งสิ้น
<Begin Again>กลุ่มตลาดใหญ่ขึ้น กับหลายๆอย่างที่ขาดหายไป
1.ข้อแรกเลยที่ผมจะพูดถึงก็คือเรื่องมุมกล้อง และตัวกล้องที่ใช้ถ่ายทอดเนื้อหาหนัง ความหยาบของกล้องบวกกับการสั่นของกล้องเล็กน้อยที่เจอในเรื่อง ONCE กลับถูกทดแทนด้วยกล้องที่ดูเป็นหนังใหญ่มากขึ้น แต่ความใกล้ชิดกับตัวละคร กลับลดน้อยลง ถ้าคุณเคยดูONCEคุณจะรู้ว่า ความหยาบ ของกล้องนั้น ไม่ใช่ข้อเสียแต่กลับเป็นข้อดีของหนังเพราะมันทำให้เรา รู้สึกอินไปกับตัวหนังมาก เหมือนเราได้ติดตามตัวเดินเรื่องนั้นอย่างใกล้ชิด จนถึงขั้น ตามถือกล้องอัดเองเลยก็ว่าได้ แต่ด้วยหนังที่ใช้กล้องไม่ต่างกับหนังฮอลลิวูดทั่วไปทำให้ คนดูกับตัวละคร ห่างเหินกันมากขึ้น
2.ความสำคัญของเพลง ซึ่งเรื่องนี้ได้ลดบทบาทของเนื้อเพลงลงมากจนแทบจะเป็นตัวประกอบเพื่อดำเนินเรื่อง ต่างจากONCE ที่แทบจะใช้เนื้อเพลงเป็นตัวเอก ตัวเดินเรื่องเลย การบอกอดีต ความรู้สึกของตัวละคร การพบเจอ การจากลา ทุกอย่างสื่อผ่านเนื้อเพลงทั้งสิ้น ต่างจาก บีกิน อเกน ที่กลับใช้การแฟลชแบก เล่าเรื่องในอดีต และใช้คำพูดทั่วไปบ่งบอกความรู้สึกของตัวละคร ไม่ต่างจากหนังทั่วไป และใช้เพลงในการประคองเรื่อง ทำให้เนื้อเพลงลดความสำคัญลงไป
3.ถ้าพูดถึงตัวเพลงก็ต้องพูดถึงฉาก ร้องเพลง ซึ่ง ONCE สื่อออกมาได้น่าประทับใจและน่าจดจำกว่าเยอะ ไม่ว่าจะเป็นฉากที่ พระเอกเล่นกีตาร์ เพลง Falling Slowly และให้นางเอกเล่นเปียโน คลอไปด้วย หรือจะเป็นฉากที่นางเอกแต่งเพลงที่พระเอกทิ้งโจทย์ไว้ให้ ฉากเดินกลับบ้านจากการไปซื้อถ่านไฟฉาย และ ฉากที่นางเอกเล่นเปียโนเพลงThe Hillให้พระเอกฟัง ซึ่งเนื้อหาของเพลงได้ถูกใส่มาในฉากได้ตรงเวลา และ สื่อถึงความรู้สึก ความคิดของตัวละครนั้นออกมาอย่างสวยงาม และไพเราะ Begin Again ก็มีฉากที่ว่าเหมือนกัน แต่ทำออกมาได้ไม่น่าประทับใจและน่าจดจำเท่า ถ้าสังเกตดีๆ Begin Again จะไม่มีฉาก ที่ตัวละครเล่นเพลงหรือร้องเพลงคนเดียวเลย ซึ่ง ความเป็นMusical ของหนังแทบจะหาไม่เจอเลย
4.ข้อนี้ อารมณ์ส่วนตัวของผมล้วนๆครับ เรื่องความรู้สึกหลังชม หรืออารมณ์ตอนหนังจบ บทสรุปของONCE ทำออกมาได้ดีกว่า มันเศร้าลึก และจับใจกว่า [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สรุปคือผลงานก่อนของผู้กำกับท่านนี้ ถ่ายทำได้หยาบกว่า แต่กลับมีความละเอียดกว่าทั้งทางด้านเนื้อหาและอารมณ์ของตัวหนัง
สุดท้ายนี้ผมขอฝากว่าที่เขียนมาทั้งหมดนี้ไม่ใช่ หนังเรื่องนี้ไม่ดี หนังเรื่องนี้ดีมากครับ ให้ข้อคิดในหลายๆเรื่อง แต่ที่เขียนถึงนั้นเป็นแค่สิ่งที่ขาดหายไป จากที่คิดไว้ และเป็นความเห็นส่วนตัวของผมทั้งสิ้น