“วัดสายตาด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ”
พวกเราหลายๆ คนที่กำลังอ่านอยู่นี้คงเคยได้ยินว่า “วัดสายตาด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ” หรือเคยไปใช้บริการแล้วด้วย แต่พวกเราสังเกตกันมั้ยว่า บางคนก็แฮปปี้ บางคนก็ไม่แฮปปี้ บางคนเกลียดแว่นไปเลยก็มี ทั้งๆที่เขาก็เคลมว่าเป็นระบบคอมพิวเตอร์ความละเอียดแม่นยำสูง ซึ่งฟังๆ ดูแล้วมันน่าจะดีแต่ทำไมมันถึงเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ได้ แล้วถ้าวัดด้วยระบบคอมพิวเตอร์ไม่มีแล้ววัดด้วยอะไรมันถึงจะดี วันนี้ผมมีการทดลองด้วยตัวของผมเองมาเล่าสู่กันฟัง
ผมพึ่งได้ทดลองด้วยตัวของวันนี้นี่เอง เมื่อตอน 5 โมงเย็น (5 กรกฎาคม 2557 )
เป็นการค้นพบที่น่าสนใจ และอยากจะมาแชร์ให้เพื่อนๆได้ทราบกัน ผมอยากให้ทุกท่านได้อ่านให้จบบทความ แล้วท่านจะถึงบางอ้อ และถ้าเกิดว่าท่านมีความคิดเห็นไม่ว่าอะไรก็ตามแต่ต่อเนื้อหาที่ผมได้โพส ขอความกรุณาช่วยโพสถามหรือแนะนำ เพื่อให้เกิดความรุ้ในการเก็บข้อมูล ผมยินดีรับฟังทุกข้อแนะนำครับ
Update**
เป็น Movie ระดับ HD ที่น่าสนใจ ที่ทำให้เราเห็น Process ของการวัดสายตา ที่ Rodenstock ทำขึ้นมา
ตามลิ้งค์ไปครับ https://www.youtube.com/watch?v=8lX638Fm2D4
ผมให้เห็นภาพรวมของการตรวจตาก่อนว่ามีกี่วิธี อะไรบ้าง ดีเสียต่างกันอย่างไร
1.การตรวจแบบ Objective คือการตรวจที่คนไข้ไม่ต้องมีส่วนร่วม (นั่งเฉยๆ ไม่ต้องยุ่ง เดี๋ยวคนตรวจจะเป็นคนหาค่าสายตาเอง)
ซึ่งมีอยู่ 2 แบบคือ
1.1 Retinoscopy คือการใช้เครื่องมือที่เรียกว่าเรติโนสโคป ส่องไฟเข้าไปในลูกตา(ขณะให้คนไข้มองไปที่ไกลที่ระยะ 6 เมตร เพื่อให้ระบบการโฟกัสหรือระบบAccommodation อยู่ในสภาพผ่อนคลายที่สุด(Relax)) ไฟจากเรติโนสโคป จะวิ่งผ่านชั้นน้ำตา กระจกตา เลนส์ตา วุ้นในตา จนถึงเรตินา แล้วสะท้อนกลับมาผ่าน วุ้นในตา เลนส์ตา กระจกตา ชั้นน้ำตา ออกมาเป็นลำแสงให้ผู้ตรวจนั้นมองเห็นได้ ผู้ตรวจจะเป็นคนประเมินลักษณะของแสงไฟทีสะท้อนออกมาว่า มีสายตา สั้น ยาว เอียง ซึ่งปัญหาสายตาแต่ละแบบนั้นก็ทำให้เกิดไฟที่มี pattern แตกต่างกันไป แล้วใช้เลนส์ที่อยู่บนเลนส์เสียบ หรือ Phoroptor เพื่อทำการ Neutral ให้เป็นสายตาปกติ
ข้อดี : คนไข้อยู่เฉยๆ ไม่ต้องพูดอะไร เราก็สามารถรู้ว่าสายตาเท่าไหร่ การมองเห็นเป็นอย่างไร และสามารถตรวจในเด็กทารก เด็กเล็ก ๆที่ยังอ่านหนังสือไม่ออกได้ หรือแม้แต่คนที่นอนหมดสติอยู่ก็สามารถตรวจด้วยเช่นกัน
ข้อเสีย : ผู้ที่สามารถใช้วิธีการตรวจโดยเรติโนสโคปอย่างเชี่ยวชาญมีอยู่น้อยมาก เพราะต้องใช้ทักษะเยอะ และต้องฝึกฝนมาก ในการเรียนรู้ไฟสะท้อนในแต่ละแบบและการที่จะ Neutral ค่าสายตาให้หมดนั้นต้องใช้ประสบการณ์อย่างมาก
[CR] "วัดสายตาด้วยระบบคอมพิวเตอร์"......เชื่อได้แค่ใหน
พวกเราหลายๆ คนที่กำลังอ่านอยู่นี้คงเคยได้ยินว่า “วัดสายตาด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ” หรือเคยไปใช้บริการแล้วด้วย แต่พวกเราสังเกตกันมั้ยว่า บางคนก็แฮปปี้ บางคนก็ไม่แฮปปี้ บางคนเกลียดแว่นไปเลยก็มี ทั้งๆที่เขาก็เคลมว่าเป็นระบบคอมพิวเตอร์ความละเอียดแม่นยำสูง ซึ่งฟังๆ ดูแล้วมันน่าจะดีแต่ทำไมมันถึงเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ได้ แล้วถ้าวัดด้วยระบบคอมพิวเตอร์ไม่มีแล้ววัดด้วยอะไรมันถึงจะดี วันนี้ผมมีการทดลองด้วยตัวของผมเองมาเล่าสู่กันฟัง
ผมพึ่งได้ทดลองด้วยตัวของวันนี้นี่เอง เมื่อตอน 5 โมงเย็น (5 กรกฎาคม 2557 )
เป็นการค้นพบที่น่าสนใจ และอยากจะมาแชร์ให้เพื่อนๆได้ทราบกัน ผมอยากให้ทุกท่านได้อ่านให้จบบทความ แล้วท่านจะถึงบางอ้อ และถ้าเกิดว่าท่านมีความคิดเห็นไม่ว่าอะไรก็ตามแต่ต่อเนื้อหาที่ผมได้โพส ขอความกรุณาช่วยโพสถามหรือแนะนำ เพื่อให้เกิดความรุ้ในการเก็บข้อมูล ผมยินดีรับฟังทุกข้อแนะนำครับ
Update** เป็น Movie ระดับ HD ที่น่าสนใจ ที่ทำให้เราเห็น Process ของการวัดสายตา ที่ Rodenstock ทำขึ้นมา
ตามลิ้งค์ไปครับ https://www.youtube.com/watch?v=8lX638Fm2D4
ผมให้เห็นภาพรวมของการตรวจตาก่อนว่ามีกี่วิธี อะไรบ้าง ดีเสียต่างกันอย่างไร
1.การตรวจแบบ Objective คือการตรวจที่คนไข้ไม่ต้องมีส่วนร่วม (นั่งเฉยๆ ไม่ต้องยุ่ง เดี๋ยวคนตรวจจะเป็นคนหาค่าสายตาเอง)
ซึ่งมีอยู่ 2 แบบคือ
1.1 Retinoscopy คือการใช้เครื่องมือที่เรียกว่าเรติโนสโคป ส่องไฟเข้าไปในลูกตา(ขณะให้คนไข้มองไปที่ไกลที่ระยะ 6 เมตร เพื่อให้ระบบการโฟกัสหรือระบบAccommodation อยู่ในสภาพผ่อนคลายที่สุด(Relax)) ไฟจากเรติโนสโคป จะวิ่งผ่านชั้นน้ำตา กระจกตา เลนส์ตา วุ้นในตา จนถึงเรตินา แล้วสะท้อนกลับมาผ่าน วุ้นในตา เลนส์ตา กระจกตา ชั้นน้ำตา ออกมาเป็นลำแสงให้ผู้ตรวจนั้นมองเห็นได้ ผู้ตรวจจะเป็นคนประเมินลักษณะของแสงไฟทีสะท้อนออกมาว่า มีสายตา สั้น ยาว เอียง ซึ่งปัญหาสายตาแต่ละแบบนั้นก็ทำให้เกิดไฟที่มี pattern แตกต่างกันไป แล้วใช้เลนส์ที่อยู่บนเลนส์เสียบ หรือ Phoroptor เพื่อทำการ Neutral ให้เป็นสายตาปกติ
ข้อดี : คนไข้อยู่เฉยๆ ไม่ต้องพูดอะไร เราก็สามารถรู้ว่าสายตาเท่าไหร่ การมองเห็นเป็นอย่างไร และสามารถตรวจในเด็กทารก เด็กเล็ก ๆที่ยังอ่านหนังสือไม่ออกได้ หรือแม้แต่คนที่นอนหมดสติอยู่ก็สามารถตรวจด้วยเช่นกัน
ข้อเสีย : ผู้ที่สามารถใช้วิธีการตรวจโดยเรติโนสโคปอย่างเชี่ยวชาญมีอยู่น้อยมาก เพราะต้องใช้ทักษะเยอะ และต้องฝึกฝนมาก ในการเรียนรู้ไฟสะท้อนในแต่ละแบบและการที่จะ Neutral ค่าสายตาให้หมดนั้นต้องใช้ประสบการณ์อย่างมาก
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น