ฟรีแลนซ์ปีสอง: เมื่อฟรีแลนซ์อยากมีสวัสดิการ

เนื่องจากกระทู้เดิมตกไวมาก ขออนุญาตขึ้นกระทู้ใหม่นะครับ

คำนำสั้น ๆ

เนื้อหาทั้งหมด ผมเขียนจากประสบการณ์จริงในชีวิตเกือบจะ 100%
โดยจะเป็นการเล่าถึงชีวิตการลาออกจากงานประจำ
เพื่อมุ่งสู่การเป็นฟรีแลนซ์ของผม ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันครับ
(ที่ก็ยังเป็นฟรีแลนซ์อยู่) ชอบไม่ชอบอย่างไร ติชมได้เต็มที่เลยนะครับ ขอบคุณครับ


เนื้อหาในกระทู้ที่ผ่านมา

- การลาออกและชีวิตฟรีแลนซ์ครั้งแรก
- [ข้อคิด] ก่อนจะตัดสินใจเป็นฟรีแลนซ์
- งานประจำและการลาออกครั้งที่สอง
- เป็นฟรีแลนซ์เต็มตัวอีกครั้ง

- เมื่อฟรีแลนซ์อยากมีบัตรเครดิต


เมื่อฟรีแลนซ์อยากมีสวัสดิการ

หลังจากผมเป็นฟรีแลนซ์มาจนใกล้จะครบปี บวกกับงานที่ถาโถมเข้ามาเรื่อย ๆ
สิ่งหนึ่งที่ผมเริ่มสังเกตเห็นและเป็นกังวลคือสุขภาพของตัวผมเอง ผมเริ่มนึกถึงสมัยทำงานประจำ
วันไหนผมไม่สบาย ผมสามารถลาป่วยได้ ตอนที่ผมไปโรงพยาบาล
ผมมีบัตรประกันสุขภาพที่บริษัทไว้ให้พนักงาน ซึ่งเบิกค่ารักษาพยาบาลเบื้องต้นได้
โดยที่ผมไม่จำเป็นต้องควักเงินในกระเป๋าจ่ายเองเลยแม้แต่บาทเดียว

ดังนั้น เมื่อเทียบกับฟรีแลนซ์ที่มีแต่รายได้เป็นตัวเงินล้วน ๆ ผมจึงเริ่มสนใจและศึกษาดูว่า
ในฐานะฟรีแลนซ์ พอจะมีวิธีการหรือช่องทางใดบ้าง ที่ผมจะสามารถสร้างสวัสดิการให้ตัวผมเองได้บ้าง
เนื่องจากสวัสดิการเป็นประเด็นหนึ่งที่สำคัญ ที่ทำให้ผู้ใหญ่และอีกหลาย ๆ คนมองว่าเป็นข้อเสียของฟรีแลนซ์

ซึ่งหลังจากที่ผมได้ลองศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ผมกล้าพูดได้เต็มปากเลยว่า
เราสามารถสร้างสวัสดิการให้ตัวเราเองได้ และหากเราวางแผนอย่างเหมาะสม สวัสดิการของฟรีแลนซ์อย่างเรา
อาจจะหรูกว่าพนักงานกินเงินเดือนบางแห่งอีกครับ

ก่อนที่เราจะพูดกันต่อในเรื่องของการวางแผนสวัสดิการ เรามาลองดูกันก่อนว่า โดยทั่วไป
การทำงานเป็นพนักงานบริษัทเอกชนนั้น มีสวัสดิการอะไรบ้าง เริ่มจากสวัสดิการยอดนิยมก็คือ ประกันสังคม
ตรงส่วนนี้ เผื่อบางท่านไม่ทราบ ประกันสังคมนั่น บริษัทส่วนใหญ่ จะหักเงินเดือนของเรา
ไปส่งให้ทางหน่วยงานประกันตนอีกทีนะครับ อาจจะมีแค่ไม่กี่ที่ ที่จะควักเงินของบริษัทจ่ายให้เอง
ซึ่งในส่วนนี้ หากเราเป็นฟรีแลนซ์ เราสามารถจ่ายเงินให้ประกันสังคม เพื่อประกันตนเองต่อได้ครับ
เราเรียกตรงส่วนนี้ว่าการเป็นสมาชิกประกันสังคมภาคสมัครใจ สามารถติดต่อขอสมัครได้ที่สำนักงานประกันสังคม
ประจำเขตที่เราอยู่ได้เลยครับ หลักฐานก็ใช้แค่บัตรประชาชนอย่างเดียว ดังนั้น เรื่องประกันสังคม แย้งได้เลยนะครับ ว่าเราก็มี

สวัสดิการถัดมา ที่หลาย ๆ คนให้ความสำคัญไม่แพ้ประกันสังคม ก็คือประกันสุขภาพ
ซึ่งประกันสุขภาพตรงนี้ มักจะเป็นของบริษัทประกันชั้นนำ ทำให้เราสามารถเข้าโรงพยาบาลเอกชนได้
โดยเสียเงินเพิ่มน้อยกว่าปกติ เรียกได้ว่าหรูกว่าประกันสังคมไปอีกขั้น แน่นอนครับว่า การเป็นฟรีแลนซ์
เราก็สามารถซื้อประกันสุขภาพให้ตัวเราเองได้เช่นกัน จะเอาหรูแค่ไหนก็อยู่ที่เราพร้อมจะจ่ายเบี้ยแพงแค่ไหน

ทั้งนี้ ผมขออนุญาตอธิบายไว้เป็นความรู้ก่อนนะครับ หากท่านใดทราบอยู่แล้ว จะข้ามส่วนนี้ไปเลยก็ได้
คือในปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ประเภทประกันนั้น จะมีทั้ง “ประกันชีวิต” และ “ประกันสุขภาพ”
ซึ่งเรามักจะถูกทำให้สับสนระหว่างสองคำนี้ สมัยก่อนที่ผมสนใจจะทำประกัน ผมแค่อยากจะแน่ใจว่าเวลาผมเจ็บหนัก
นอนโรงพยาบาล ผมจะไม่ต้องจ่ายเงินก้อนโต สิ่งที่ผมเจอจากนายหน้าขายประกันก็คือการ
“ทำประกันชีวิต แล้วซื้อสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพ” อย่าเพิ่งงงนะครับ ผมจะอธิบายให้ฟังตามนี้

“ประกันชีวิต” คือถ้าเราเสียชีวิต หรือประสบอุบัติเหตุ ตัวเราหรือผู้เอาผลประโยชน์ จะได้รับเงินประกัน
โดยเราจะต้องส่งเบี้ยประกันไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะครบจำนวนปีที่กำหนด แล้วรอจนกว่าจะหมดสัญญา
หรือรอจนเราเสียชีวิต/ประสบอุบัติเหตุ ถึงจะได้เงินก้อนคืน และเบี้ยที่จ่ายไปก็ใช้หักลดหย่อนภาษีได้

“ประกันสุขภาพ” คือถ้าเราเจ็บป่วย นอนโรงพยาบาล เราจะได้รับสิทธิคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลตามเงื่อนไข
โดยส่วนนี้จะคุ้มครองปีต่อปี ปีไหนเราจ่าย ก็คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลปีนั้น จบปีก็หมดกัน เบี้ยที่จ่ายไป หักลดหย่อนภาษีไม่ได้

ดังนั้น ประกันชีวิต ซื้อสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพ ก็คือ เป็นกลยุทธ์ของบริษัทขายประกัน ที่จะขายประกันชีวิต
แล้วพ่วงประกันสุขภาพมาในรูปแบบสัญญาเพิ่มเติม ซึ่งถ้าเราไม่ต้องการ ก็มีประกันอยู่หลายค่าย
ที่ให้บริการเฉพาะในส่วนของประกันสุขภาพเพียงอย่างเดียว และราคาก็ไม่แพงอย่างที่คิดครับ
ยกตัวอย่างของค่ายหนึ่ง เสียเบี้ยปีละ 6,000 บาท (ตกเดือนละ 500 บาท)
นอนโรงพยาบาลเบิกได้คืนละ 2,000 บาท สูงสุดไม่เกินปีละ 200,000

ดังนั้น หากเราต้องการแค่ในส่วนของการเบิกค่ารักษาพยาบาลเมื่อป่วย ให้ทำเฉพาะประกันสุขภาพก็พอครับ
อย่าไปทำประกันชีวิตแล้วซื้อสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพ เพราะมันจะเป็นภาระกับตัวเราในระยะยาว
เราควรทำประกันชีวิตก็ต่อเมื่อเราแน่ใจว่าเราต้องการทิ้งมรดกไว้ให้คนที่อยู่ข้างหลังเรา
หรือเราต้องการหลักประกันเผื่อเกิดอะไรขึ้นแล้วเราไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไปครับ

เห็นไหมครับ ฟรีแลนซ์ก็สามารถมีสวัสดิการได้เช่นกัน ถ้าเรารู้จักศึกษาและแสวงหา โดยส่วนตัวผมเอง
ผมเลือกไม่ส่งประกันสังคมต่อ แล้วเอาเงินมาจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพแทน บางท่านอาจจะมองว่าเสียดายเงิน
แต่ผมถือว่าผมซื้อความสบายใจครับ เจ็บป่วยทีไม่เดือดร้อนใคร

แต่สวัสดิการที่สำคัญที่สุด ที่ผมจะขอเตือนเลยว่า ส่วนนี้เป็นข้อเสียหลักของฟรีแลนซ์ ที่ทุกคนควรจะทราบ
และไม่ควรมองข้ามไปเลย ก็คือ “วันลา” หากคุณเป็นพนักงานประจำ ตามกฎหมาย คุณมีสิทธิ์ที่จะลาป่วยได้ปีละ 30 วัน
โดยไม่ถูกหักค่าจ้าง และยังได้สิทธิ์ในการลาพักร้อนตามแต่ที่บริษัทจะมอบให้อีกด้วย

ซึ่งการเป็นฟรีแลนซ์ “ไม่มี” ใช่ครับ หากใครเคยมองว่า ฟรีแลนซ์น่าอิจฉา อยากจะหยุดเมื่อไหร่ก็หยุดได้
ไปเที่ยวห้างวันธรรมดาก็ได้ นั่นเป็นความจริงครับ แต่ความจริงอีกประการก็คือ ถ้าวันไหนเราป่วย เราไม่ทำงาน
เราก็ไม่ได้เงินนะครับ และเราอาจจะพลาดโอกาสหรือลูกค้ารายสำคัญไปด้วยเลยก็ได้ ดังนั้น แม้ว่าสวัสดิการอื่น ๆ
เราจะสามารถซื้อหรือจัดหามาทดแทนได้ แต่เรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้นครับ ที่คุณจะไม่ได้รับในการเป็นฟรีแลนซ์
ก็คือ “วันลา” ซึ่งในส่วนนี้ ผมจะขอยกไปพูดรวมในบทถัดไปนะครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่